บทที่ 578: ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม
“ทำไมล่ะ?” เมื่อเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาได้ยินคนเป็นหัวหน้าพูดเช่นนั้น ทุกคนต่างก็มีสีหน้างงงวย
ถ้าเกิดมีภูตที่ติดโรคระบาดแล้วพวกเขาไม่สามารถรับมือได้ทันท่วงที มันจะไม่ทำให้คนอื่นพลอยติดเชื้อไปด้วยหรอกหรือ?
บัดนี้กลุ่มลูกน้องคนสนิทของหยินซางต่างก็รู้สึกไม่พอใจในคำตอบของเขา
โดยปกติในช่วงเวลาวิกฤต พวกเขาย่อมห่วงชีวิตของตัวเองมากกว่าอยู่แล้ว
ไอ้พวกโง่เอ๊ย!!
หยินซางสบถขึ้นในใจขณะมองไปที่พวกลิ่วล้อของตนเอง
“หากเราจัดการภูตที่ติดโรคระบาดในตอนนี้ คนของเผ่าเยว่หูจะต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน แล้วหลังจากนั้นพวกมันก็จะพยายามขับไล่พวกเราออกไป”
“บางทีไอ้แก่หูหลินนั่นอาจจะฆ่าเราแล้วเผาเราทุกคนเพื่อความปลอดภัยของคนในเผ่าของมัน”
คนที่มีจิตใจต่ำทรามคิดร้ายกับคนอื่นมักจะคิดว่าอีกฝ่ายก็มีความคิดเช่นเดียวกับตัวเอง ซึ่งหยินซางก็คือคนประเภทนั้นเช่นกัน
ภูตทั้งหมดที่ได้ยินคำพูดของหัวหน้าต่างก็ตกตะลึง เพราะพวกเขาเกือบจะมองข้ามเรื่องดังกล่าวไปเสียแล้ว
คนที่ติดโรคระบาดจะต้องถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเชื้อโรคหลงเหลืออยู่
ถ้าตอนนี้พวกเขาจุดไฟเพื่อเผาคนป่วย ภูตของเผ่าเยว่หูจะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาอาจไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้
“ในเมื่อเทพอสูรส่งโรคระบาดมาให้เรา ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อดึงไอ้แก่หูหลินลงมาแล้วยึดครองเผ่าเยว่หูล่ะ?”
นี่คือสิ่งที่หยินซางคิดมาตลอด แค่เขายังไม่มีโอกาสได้ลงมือทำ ซึ่งขณะนี้เขาเห็นว่าโอกาสเหมาะมาถึงแล้ว
“ไม่ใช่ว่าผู้หญิงที่ชื่อหูเจียวเจียวนั่นบอกไว้หรือว่าตราบใดที่เจ้าป้องกันตัวเอง เจ้าก็จะไม่ติดเชื้อ ถ้างั้นพวกเจ้าก็เอาข้าวของของคนที่ติดโรคโยนเข้าไปในเผ่าเยว่หูซะ”
เมื่อหยินซื่อได้ยินสิ่งที่หัวหน้าสั่ง เขาก็เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“ท่านหัวหน้า ท่านกำลังจะบอกว่าไม่เพียงแค่เราจะไม่จัดการกับคนป่วยพวกนี้ แต่เรายังจะแพร่เชื้อไปให้ทั่วเผ่าเยว่หูอีกด้วยงั้นหรือ?!”
เขาถามขึ้นมาด้วยความตกใจ
แต่พอชายหนุ่มาคิดดูอีกที ตราบใดที่ภูตพวกนั้นตาย เสบียงของเผ่าเยว่หูทั้งหมดก็จะตกเป็นของพวกเขา
ไม่มีภูตคนไหนที่สามารถปฏิเสธสิ่งล่อตาล่อใจแบบนี้ได้แน่นอน
“ท่านหัวหน้า ท่านฉลาดมาก!”
“ไอ้เจ้าหูหลินคนนั้นกดขี่พวกเรามาตลอด อันที่จริงมันควรจะตายไปนานแล้วด้วยซ้ำ!”
“ท่านหัวหน้า ข้าจะลงมือเดี๋ยวนี้!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายล้วนแต่เป็นคนสนิทของหยินซาง ถึงจะบอกว่าเป็นคนสนิท แต่จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังสมรู้ร่วมคิดกันมากกว่า คนเป็นหัวหน้ามักจะให้ผลประโยชน์แก่พวกเขา จึงทำให้คนเหล่านี้เต็มใจทำตามคำสั่งเขา
อีกทั้งพวกเขาไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ตนทำลงไปเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมหรือว่าจะต้องทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่ด้วย
คนพวกนี้สนใจเพียงว่าตัวเองจะมีอาหารให้กินพอไหม มีหนทางใดที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นบ้าง หรือไม่ก็สนใจแค่ว่าตนจะมีโอกาสได้ครอบครองเสบียงมหาศาลบ้างหรือเปล่าเท่านั้น
เมื่อเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ส่งเสียงยกย่องหัวหน้าเผ่าไป๋ผีได้สักพัก หยินซางก็ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดในทันที แล้วพูดถึงแผนการที่ตนต้องการจับตัวหมอผีกับหยินชาง
“ตอนลงมือ ระวังอย่าให้หมอผีคนนั้นเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
ชายหนุ่มกำชับลูกน้องอีกรอบ เพราะเขาได้ยินมาว่าหมอผีไม่สามารถรักษาตัวเองได้ ดังนั้นการนำตัวหมอผีมาแบบไม่บุบสลายจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
แม้ว่าภูตคนอื่นจะป่วยหรือตายไปก็ช่าง แต่หมอผีตัวน้อยมีประโยชน์สำหรับเขามากกว่า
เขาไม่เพียงแค่สามารถใช้นางเพื่อข่มขู่หยินชางได้เท่านั้น แต่หากเด็กหนุ่มติดโรคโดยไม่ตั้งใจ เขาก็ยังสามารถบอกให้หมอผีรักษาเด็กนั่นให้หายได้อีกด้วย
“ทันทีที่พวกเจ้าสบโอกาส พวกเจ้าก็หาทางลักพาตัวหมอผีกับหยินชางกลับมา” หยินซางเอ่ยปากสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
แล้วแผนการหลังจากนี้ พวกเขาก็แค่ต้องซ่อนตัวอยู่ในที่ของตนเองเพื่อรอเวลาให้ภูตข้างนอกป่วยตายเท่านั้น
เมื่อหยินซางคิดว่ามันง่ายแค่ไหนที่จะยึดครองเผ่าเยว่หู เขาก็รู้สึกดีใจจนเกือบจะส่งเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขออกมา
ทางด้านหยินซื่อที่ยืนฟังแผนการร้ายของผู้เป็นนายจนจบ เขาก็กลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะระมัดระวังในการแสดงอารมณ์ของตนมากขึ้น
หัวหน้าเผ่าไป๋ผีคนนี้พูดเพียงแค่ว่าตัวเองต้องการจับตัวหมอผี แต่ไม่ได้พูดว่าเขาจับหมอผีมาเพื่อรักษาผู้อาวุโสกับภูตคนอื่น ๆ ที่ป่วยหรือเปล่า
หากเขาบังเอิญไปติดโรคจากการทำตามคำสั่งของคนเป็นหัวหน้า มันก็ไม่ต่างจากการที่เขาต้องนอนรอความตายอยู่เฉย ๆ หรอกหรือ?
“พวกเจ้ามัวยืนบื้ออะไรอยู่? ไปเอาของของผู้อาวุโสออกมาแล้วโยนเข้าไปในเผ่าเยว่หูซะ แล้วทำให้แน่ใจว่าพวกมันจะได้สัมผัสของที่มีเชื้อโรคระบาดพวกนั้น”
จากนั้นลูกน้องทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปทำตามที่หัวหน้าสั่งในทันที
พวกเขาห่อร่างกายของตนด้วยหนังสัตว์ผืนใหญ่ให้มิดชิด แล้วเข้าไปในบ้านไม้เพื่อเอาสิ่งของของผู้อาวุโสออกมาโดยใช้หนังสัตว์อีกผืนในการหยิบของทั้งหมดเพราะพวกเขาไม่กล้าสัมผัสมันโดยตรง
ขณะเดียวกัน หยินซางมองไปที่หยินซื่อที่ยืนอยู่คนเดียว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูซาบซึ้งมาก
“วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก เมื่อไหร่ที่ข้ายึดครองเผ่าเยว่หูได้แล้วล่ะก็ ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม และในอนาคตข้าจะให้เจ้ามาเป็นลูกน้องคนสนิทของข้า”
“ขอบคุณท่านหัวหน้า!” หยินซื่อก้มศีรษะลงพร้อมกับเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม โดยที่คนอื่นไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แท้จริงของเขา
หลังจากที่หัวหน้าเผ่าไป๋ผีละสายตาไปจากเขาแล้ว ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้สีหน้าของเขาไม่มีร่องรอยของความปลื้มปีติอยู่เลยแม้แต่น้อย
ถัดมา หยินซื่อตามลูกน้องคนสนิทของหยินซางเพื่อเข้าไปหยิบของจากในบ้านไม้พลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับของชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง จากนั้นเขาจึงหยิบมันขึ้นมาและห่อของชิ้นนั้นด้วยหนังสัตว์หลายชั้น เสร็จแล้วก็ใส่มันเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
…
วันต่อมา
หูเจียวเจียวที่นอนคิดถึงอาการบาดเจ็บของหลงโม่มาหลายวัน ในที่สุดเธอก็คิดขึ้นได้ว่าเนื่องจากเขาไม่อยากให้เธอรู้ เธอก็จะไม่ถามเขาอีกต่อไป
การแปลงร่างไม่สมบูรณ์เกี่ยวข้องกับความสามารถในการรักษาตัวเอง และการที่ไม่สามารถรักษาตัวเองได้ดีนักก็ถือได้ว่ามันเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวงในชีวิตของภูต ดังนั้นคงไม่มีใครอยากให้คนอื่นล่วงรู้ความลับของตัวเอง
จิ้งจอกสาวจึงทำได้เพียงแค่ทำอาหารเพื่อบำรุงร่างกายของมังกรหนุ่มทุกวัน โดยหวังว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะหายดีในไม่ช้า
พอหูเจียวเจียวสงบสติอารมณ์ได้ไม่นาน เธอก็รู้สึกตะหงิดใจว่าตนมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไปหรือไม่
“ช่วงนี้ด้านนอกเผ่าเริ่มสงบ หลังจากความวุ่นวายครั้งที่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก นั่นก็แสดงว่าโรคระบาดที่เห็นในความฝันไม่ได้มาจากด้านนอกเผ่า…”
หญิงสาวทบทวนเหตุการณ์ในความฝันกับตัวเอง เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง ใบหน้าของเธอก็ซีดลงในทันตา
“ถ้ามันไม่ได้มาจากข้างนอกเผ่าก็คง…”
“มันเริ่มขึ้นจากในเผ่า!!!”
หากเป็นแบบนั้นมันต้องแย่มากแน่ ๆ!
เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้พ่อรองมัวแต่วุ่นวายเกี่ยวกับการจัดการภูตที่อยู่นอกเผ่า โดยลืมสนใจคนในเผ่าไปเสียสนิท
หากเกิดปัญหาขึ้นจริง ๆ อาจจะไม่มีใครสังเกตเห็นถึงต้นตอของปัญหาด้วยซ้ำ
กว่าจะรู้ที่มาของโรคระบาด มันก็อาจจะสายเกินแก้
พอหูเจียวเจียวคิดได้ดังนั้น เธอก็รีบออกไปหาภูตที่เดินลาดตระเวนอยู่บริเวณนอกบ้าน
“ตอนนี้หัวหน้าหลินกับหลงโม่อยู่ที่ไหน? พาข้าไปหาพวกเขาที ข้ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกกับพวกเขา”
เมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อที่จะค้นหาภูตผมแดง หูหลินกับหลงโม่มักจะออกจากบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นและกว่าจะกลับมาก็เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ทำให้เธอแทบไม่ได้พบหน้าพวกเขาทั้ง 2 คนเลย
ตามปกติภูตที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนนั้นจำหูเจียวเจียวได้ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำหน้าจริงจัง เขาก็ตอบสนองในทันใด
“เดี๋ยวข้าจะพาท่านไปพบพวกเขาเอง”
ภูตคนนั้นกลายร่างเป็นสิงโตตัวใหญ่ ก่อนจะหมอบตัวลงเพื่อให้จิ้งจอกสาวขึ้นนั่งบนหลังของเขา พอเธอขึ้นไปบนหลังของภูตสิงโตเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทะยานออกไปด้วยความรวดเร็ว
หลังจากภูตหนุ่มวิ่งเต็มกำลังภายในไม่กี่นาที เขาก็พาหูเจียวเจียวออกมานอกเผ่า
ระหว่างนั้นหญิงสาวไม่ได้สนใจที่จะชื่นชมทิวทัศน์ข้างทางเลยสักนิด
สภาพแวดล้อมของป่าในปัจจุบันเลวร้ายกว่าที่เธอเห็นก่อนหน้านี้เสียอีก
ดอกไม้และพุ่มไม้เล็กต่างก็พากันตายเรียบ หน้าดินที่สังเกตเห็นในตอนนี้ดูแห้งแล้งมาก มีเพียงต้นไม้ที่มีรากหยั่งลึกลงไปในดินเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้
ส่วนศพที่เห็นตามทางก็มากกว่าตอนที่หูเจียวเจียวพบเจอในยามที่เธอออกมากับหลงโม่ครั้งล่าสุด
ภาพที่ปรากฏทำให้จิ้งจอกสาวรู้สึกตกใจมาก
หลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวก็เห็นร่างของคนที่ตนอยากจะพบอยู่ข้างหน้าเธอ
นั่นคือหลงโม่กับหูหลินและภูตบางส่วนที่พวกเขาพามาด้วย ขณะนี้พวกเขากำลังมองไปรอบ ๆ เพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง
“เจียวเจียว ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”
เมื่อมังกรหนุ่มเห็นภรรยาสาวนั่งอยู่บนหลังของภูตสิงโต เขาก็ก้าวเข้าไปอุ้มเธอลงมาทันที
ส่วนหูหลินก็มองไปทางภูตสิงโตด้วยสายตาตำหนิก่อนจะดุขึ้นว่า
“ทำไมเจ้าถึงพาเจียวเจียวออกมา? ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนางจะทำยังไง? หากมีเรื่องอะไรเร่งด่วนก็แค่มาเรียกพวกเราให้กลับไปก็ได้!”
“พ่อรอง ข้าเป็นคนอยากออกมาเอง”
หูเจียวเจียวรีบขัดจังหวะคำพูดของพ่อจิ้งจอกวัยกลางคน
“หลงโม่ พ่อรอง ข้าสงสัยว่าโรคระบาดที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากด้านนอกเผ่า แต่มันเริ่มต้นจากในเผ่าของเรา เราต้องรีบตรวจสอบภูตภายในเผ่าให้เร็วที่สุด!”