บทที่ 49: ยุนหยิง เจ้าหญิงน้อยนักชิม!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 49: ยุนหยิง เจ้าหญิงน้อยนักชิม!
ดังนั้นหลินเป่ยฟานจึงเดินทางไปทำงานด้วยรถม้าเมฆมงคลสีม่วงทองและเดินทางกลับเรือนด้วยรถม้าคันเดียวกัน ระหว่างทาง เขาดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารย์เรื่องเขา
“นี่มันรถม้าของขุนนางระดับสูงคนใหม่ หลินเป่ยฟาน มันหรูหรามาก หรูหราเสียยิ่งกว่ารถม้าของขุนนางในราชสำนักหลายคนเสียอีก!”
“ว่ากันว่าจักรพรรดินีเป็นผู้มอบให้เขาเอง! แถมองค์จักรพรรดินียังทรงประทานรางวัลแก่ขุนนางผู้นี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์ ไวน์ชั้นดี อาหารชั้นเลิศและเงินหมื่นตำลึง เมื่อรวมเข้ากับรถม้าที่หรูหราเช่นนี้ เขาคงได้รับพรจากพระเจ้าเป็นแน่!”
“ช่างเป็นตัวกินบ้านกินเมืองนัก กระทั่งจักรพรรดินีก็ยังโปรดปรานเขามาก เหตุไฉนนางถึงโง่เขลาเช่นนี้!”
“ใช่ ว่ากันว่าขุนนางชั้นสูงคนใหม่ผู้นี้ได้ยักยอกเงินหลายล้านตำลึงจากบัณฑิตที่สถาบันจักรพรรดิ ทำลายความดีงามของสถาบันและทำลายรากฐานการศึกษา เขาช่างน่ารังเกียจมาก!”
“ราชสำนักจะยังมีความหวังอยู่หรือไม่ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป?”
“ราษฎรจะยังคงมีความหวังเหลืออีกหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก่นด่าพูดจาวาร้ายเขา แต่หลินเป่ยฟานกลับหลับตาลงเพื่อพักผ่อน เขาได้ยินคำติเตียนมากมายจนเขากลายเป็นคนใจแข็งเป็นหินและคิดไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ
ยามนั้นเอง รถม้าก็ได้หยุดลง
หลินเป่ยฟานลืมตาขึ้นและถามว่า “ทำไมเจ้าถึงหยุดล่ะ?”
“นายท่านขอรับ มีคนขวางทางอยู่และไม่ยอมให้เราผ่านไป!”
“งั้นก็แค่ไล่พวกเขาออกไปสิ!”
“นายท่านขอรับ คนผู้นี้มีสถานะสูงและข้าไม่อาจทำอะไรได้!”
"ผู้ใดกัน?"
“เจ้าหญิงยุนหยิงขอรับ!”
ในตอนนั้นเอง ร่างเล็กๆ ได้กระโดดขึ้นไปบนรถม้าอย่างว่องไวและในชั่วพริบตา นางก็มาถึงด้านหน้าของหลินเป่ยฟาน
“เจ้าคือหลินเป่ยฟาน ขุนนางระดับสูงคนใหม่ที่ทำงานในสถาบันจักรพรรดิในปีนี้ใช่หรือไม่?” ผู้พูดเป็นสาวสวยที่ดูอ่อนเยาว์ในวัยยี่สิบกลางๆ ผมทรงมมวยคู่ ใบหน้ากลมและอวบอ้วน ดวงตากลมโตและใสแจ๋ว สวมเสื้อสีเหลืองลูกเป็ดและกระโปรงสีเขียว ดูน่ารักและมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
ในยามนั้นเอง นางยืนเอามือจับสะโพกของนาง มองลงมาที่หลินเป่ยฟานจากด้านบน
ดวงตาที่ใสแจ๋วของนางดูเหมือนจะพยายามข่มขู่หลินเป่ยฟาน แต่พวกมันไม่มีผลเลย
เพราะหลินเป่ยฟานรู้จักสตรีผู้นี้ดี บิดาของนางเป็นเจ้าชายและเป็นผู้คอยช่วยเหลือจักรวรรดิอย่างแข็งขัน เขาได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากจักรพรรดินี
ว่ากันว่าเขามีความแข็งแกร่งระดับยอดฝีมือแต่กำเนิดขั้นสูงสุด ทั้งยังเป็นผู้บัญชาการกองทัพต้องห้าม 100,000 คนในเมืองหลวง ตำแหน่งของเขาสูงและมีอิทธิพลอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครกล้ายั่วยุคุณหนูตัวน้อยผู้นี้
ซึ่งคุณหนูตัวน้อยผู้นี้ก็เป็นคนที่เกลียดคนชั่วร้ายเปรียบดั่งศัตรูแต่ชาติปางก่อน นางชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น กลั่นแกล้งขุนนางทุจริตและลูกหลานของตระกูลร่ำรวย
นิสัยของนางอีกอย่างหนึ่งคือนางชอบกินและเป็นนักชิมมาตั้งแต่เด็กแล้ว
บางครั้งนางจึงมักจะใช้อาหารเพื่อแกล้งผู้อื่นด้วย
หลินเป่ยฟานรีบโค้งคำนับทันที “ขุนนางผู้นี้คือหลินเป่ยฟาน ยินดีที่ได้พบเจ้าหญิงยุนหยิง!”
ยุนหยิงมองลงมาที่หลินเป่ยฟานและเยาะเย้ยออกมา “เจ้าดูมีความสามารถมาก ทำไมเจ้าไม่ทำงานให้กับราชสำนักเล่า?”
“ท่านกำลังพูดอะไรกัน ท่านหญิง? ขุนนางผู้นี้ไม่เข้าใจ” หลินเป่ยฟานถามกลับไปด้วยความสับสน
“อย่ามาแสร้งโง่กับข้า ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามาหมดแล้ว!” ยุนหยิงตะโกนทันที “ข้าเพิ่งกลับมาที่เมืองหลวงและได้ยินว่าเจ้าผู้เป็นขุนนางระดับสูงหน้าใหม่ได้ใช้ตำแหน่งของเจ้าเพื่อยักยอกและรับสินบนเป็นเงินหลายล้านตำลึง เจ้ามันก็แค่ขุนนางทุจริต! ข้าไม่รู้เลยว่าทำไมท่านพี่สาวจักรพรรดินีถึงชอบเจ้า ฮึ่ม!”
"ใส่ร้ายป้ายสีแล้ว! นั่นเป็นการใส่ร้ายอย่างแน่นอน! ขุนนางผู้นี้สะอาดและเที่ยงธรรมมาโดยตลอด ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?” หลินเป่ยฟานปฏิเสธ
“อย่ามาพูดจาไร้สาระกับข้า แค่สายตาของผู้คนก็ชัดเจนแล้ว!” คุณหนูตัวน้อยพูดเสียงดังลั่น
“ไร้สาระ! ดวงตาของผู้คนล้วนมีเพียงสีดำและขาว ดำครึ่งและขาวครึ่ง ใช่ว่าสายตาของพวกเขาจะสามารถตัดสินได้ว่าสิ่งใดจริงหรือเท็จ!” หลินเป่ยฟานกล่าว
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ท่านหญิงผู้นี้หิวแล้ว เชิญข้าไปกินสิ! หากเจ้าไม่เชิญข้า…” คุณหนูตัวน้อยยกกำปั้นเล็กๆ ขึ้นและขู่ด้วยฟันซี่เล็กของนาง “เจ้าเคยเห็นกำปั้นที่ใหญ่เท่าหม้อดินเหนียวหรือเปล่า?”
หลินเป่ยฟานสบตานาง “ข้าไม่เคยเห็นกำปั้นที่ใหญ่เท่าหม้อดิน แต่ยามนี้ข้าเห็นเพียงกำปั้นที่ใหญ่เท่าขนมปังนึ่ง!”
"อึก!" คุณหนูตัวน้อยรู้สึกโกรธมาก คล้ายกับกำลังถูกอีกฝ่ายดูถูก
นางจึงได้คิดที่จะแสดงพลังของกำปั้นขนาดเท่าหม้อดินให้อีกฝ่ายได้รับรู้
หลินเป่ยฟานจึงรีบพูดไปว่า “ท่านหญิงน้อย อย่าทำเช่นนี้เลย พรุ่งนี้ข้ายังต้องไปที่ราชสำนักช่วงรุ่งสางนะ! ถ้าเกิดจักรพรรดินีถาม ข้าจะบอกว่าท่านทำและท่านจะถูกลงโทษแน่!”
"อ๊า!" คุณหนูตัวน้อยยิ่งคลั่งเข้าไปใหญ่ นางไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกอีกฝ่ายข่มขู่
หมัดเล็กๆ ของท่านหญิงตัวน้อยอยู่ใกล้ใบหน้าของหลินเป่ยฟานเพียงเล็กน้อย
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบตีเจ้าจริงหรือ?”
“เอาเลย ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะกล้า!” หลินเป่ยฟานพูดออกมาอย่างทะเล้น
"เหอะ! เจ้าชนะ! เห็นแก่หน้าท่านพี่สาวจักรพรรดินี ข้าจะหยุดไม่ทำร้ายเจ้าแล้วกัน!" ท่านหญิงตัวน้อยถอนกำปั้นออกไป นั่งในรถม้าและเอามือเท้าคาง
จากนั้นนางก็หันศีรษะ กัดฟันสีขาวของนางและพูดว่า “รออะไรอยู่? ข้าจะกินเงินทั้งหมดที่เจ้ายักยอกมาเอง!”
หลินเป่ยฟานยิ้มเล็กน้อยและสั่งให้รถม้าเดินหน้าต่อไป
หลังจากใช้เวลาประมาณแท่งธูปไหม้ พวกเขาก็มาถึงร้านอาหารสุดหรูร้านหนึ่ง
ท่านหญิงตัวน้อยออกมาด้วยความพอใจว่า “ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ ข้าน่ะได้ไปเยือนร้านอาหารมาเป็นร้อยในเมืองหลวง อาหารของที่นี่น่าพึงพอใจมากที่สุด เสียอย่างเดียวคือมันแพง! วันนี้ข้าจะกินเจ้าให้หมดเปลือกทั้งในบ้านและนอกบ้านเลย!”
“ท่านเคยไปทุกร้านเลยเหรอ? ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา “แต่มีที่หนึ่งที่ท่านไม่เคยไปอย่างแน่นอน!”
“มีที่ที่ตัวเรายังไม่เคยไปอีกเหรอ? เป็นไปไม่ได้หรอก!” ท่านหญิงตัวน้อยส่ายศีรษะไปมา
"มีสิ!" หลินเป่ยฟานพยักหน้าอย่างหนักแน่น
เมื่อมองไปที่สีหน้ามั่นใจของหลินเป่ยฟาน ท่านหญิงตัวน้อยก็เชื่อเขาและถามด้วยความสนใจว่า “มันอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“เรือนร้อยบุปผา ท่านต้องยังไม่เคยไปที่นั่นอย่างแน่นอน!” หลินเป่ยฟานกล่าว
เมื่อได้ยินท่านหญิงตัวน้อย ก็เงียบกริบไป