บทที่ 138 เสี่ยวเฮยไปต่อสู้
บทที่ 138 เสี่ยวเฮยไปต่อสู้
“มาเริ่มกันเลย ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่า ความแตกต่างระหว่างนักรบแท้จริงกับปรมาจารย์นักรบมีช่องว่างห่างกันมากแค่ไหน” เฟิงซินหยูรู้สึกโล่งใจ เมื่อได้ยินว่าหลินเป้ยไม่ได้ใช้อาวุธลับและยันต์หุ่นเชอด
แม้ว่าหลินเป้ยจะใช้เสี่ยวเฮยซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับ 3 ขั้น 9 มาต่อสู้ แต่เฟิงซินหยูก็คิดว่า นางสามารถจัดการกับมันได้
ส่วนหลินเป้ยนั้น เป็นเพียงแค่นักรบแท้จริงขั้น 4 เท่านั้นนางเลยไม่ได้สนใจ
แม้ว่าเฟิงซินหยูจะอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์นักรบขั้น 7 แต่ทักษะและวิธีกาบ่มเพาะของนางนั้น ย่อมเหนือกว่าปรมาจารย์นักรบที่ทรงพลังในเมืองชิงหลินมาก
ในฐานะหนึ่งในอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นางสามารถท้าทายคนที่อยู่เหนือระดับนางได้อยู่แล้ว
อัจฉริยะที่ไม่สามารถต่อสู้ข้ามขอบเขต ยังจะเรียกว่าอัจฉริยะได้อยู่หรือ?
นอกเหนือจากการทะลวงขอบเขตบ่มเพาะได้รวดเร็วแล้ว อัจฉริยะที่แท้จริงก็ต้องท้าสู้กับผู้ที่มีขอบเขตบ่มเพาะเหนือตนเองได้
เฟิงซินหยู่คิดว่าเสี่ยวเฮยคือที่พึ่งสุดท้ายของหลินเป้ย ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย
แม้ว่าหลินเป้ยจะโชคดีพอที่จะมีสัตว์อสูรระดับ 3 แต่เขาก็ยังไม่สามารถเทียบเกับตัวนางได้
“แม่นางเฟิง เจ้าก็รู้ว่าข้ามีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณ ดังนั้นข้าจึงเป็นผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณด้วย เจ้าแน่ใจนะว่าจะสู้กับข้า?” หลินเป้ยพูดอย่างใจเย็น
ในความเป็นจริง ในการประลองเมื่อก่อนนั้น ผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณสามารถนำสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณของเขาเข้าสู่การต่อสู้ได้ ทำให้หลายคนคิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะมีทั้งสัตว์เลี้ยงวิญญาณ และผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณเข้าต่อสู้ด้วยกัน
ในปัจจุบัญ ผู้ที่ต่อสู้ในฐานะผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณจะสามารถใช้เพียงสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณในการต่อสู้เท่านั้น และตัวเขาไม่สามารถเข้าร่วมในการต่อสู้ได้โดยตรง ดังนั้นจึงมีการใช้กฎนี้เพื่อให้มีความยุติธรรมมากขึ้น
ตราบใดที่คู่ต่อสู้เอาชนะสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณของผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณได้ เขาก็จะถือว่าพ่ายแพ้ไปนั่นเอง
นี่คือกฎการประลองอย่างเป็นทางการที่ใช้กันทั่วไป แน่นอนว่า หากเป็นการต่อสู้แบบทีมตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป ก็ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว
สำหรับการปประลองด้วยชีวิตและความตายนั้นไม่นับกฎนี้
ความสามารถในการควบคุมสัตว์อสูรในการต่อสู้ก็เป็นวิธีหนึ่งของผู้บ่มเพาะ ซึ่งจำกัดให้ผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณใช้กฎนี้เพียง 3 รูปแบบเท่านั้นคือ การประลองแบบตัวต่อตัว การประลองแบบ 2 ต่อ 2 และการประลองแบบ 3 ต่อ 3
สำหรับการประลองแบบ 4 ต่อ 4 หรือการประลองแบบทีมใหญ่ที่มีคนมากกว่า 4 คนต่อทีม ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว
ไม่มีความยุติธรรมที่แน่นอนในโลก แต่นี่คือความยุติธรรมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ที่ผุ้ฝึกตนส่วนใหญ่เห็นชอบนั่นเอง
“เจ้าอยากต่อสู้ในฐานะผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณใช่ไหม ได้! แต่เจ้าคิดว่าหมาป่าสีครามจะชนะข้าได้งั้นหรือ?” เฟิงซินหยูพูดอย่างเหยียดหยาม
ถ้าเฟิงซินหยูโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมด แม้แต่มหาปรมาจารย์นักรบขั้นแรกยังรับมือนางไม่ไหว แล้วหมาป่าสีครามที่ยังไม่ถึงระดับ 4 จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้อย่างไร?
เรื่องที่หลินเป้ยเป็นผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณนั้น ทำให้หลายคนในที่นี้ต่างประหลาดใจกันมาก
แน่นอนว่า มีเพียงตระกูลโจวและสมาคสเงามืดเท่านั้น ที่รู้ว่าหลินเป้ยมีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณมากกว่าหนึ่งตัว
แม้แต่หมิงหลานก็รู้สึกสนใจเล็กน้อยด้วย
นางรู้เพียงว่าหลินเป้ยเป็นนักปรุงและปรมาจารย์ค่ายกล แต่นี่เขายังเป็นผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณอีกด้วยงั้นเหรอ?
คนผู้หนึ่งสามารถฝึกในได้มากมายขนาดนี้เชียว?
ในตอนแรก หลายคนคิดว่าหลินเป้ยไม่ใช่คู่ต่อสู้เฟิงซินหยู แต่ตอนนี้เขามีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณ ทำให้หลายคนคาดหวังว่าสัตว์อสูรของเขาคืออะไร?
ตั้งแต่แรกเริ่ม เฟิงซินหยูคิดว่าจะเป็นการประลองตัวต่อตัว หลินเป้ยค่อนข้างเป็นคนแปลกๆ หากนางประลองกับเขาโดยตรง เฟิงซินหยูกังวลว่าเขาจะมีวิธีที่ไม่รู้จักบางอย่าง
แต่ตอนนี้เขาปล่อยให้สัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณาต่อสู้กับนางแทน สิ่งนี้ทำให้เฟิงซินหยูรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
เฟิงซินหยูยังคงจำฉากที่หลินเป้ยสังหารผู้เชี่ยวชาญสองคนของสำนักเทียนไห่ได้
ถ้านางไม่เคยพบกับหลินเป้ยมาก่อน วันนี้นางอาจจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่
ในเวลาเดียวกันนางรู้สึกโกรธคนที่มาสืบข่าวเรื่องตระกูลหลินก่อนหน้านี้ ทำไมเขาถึงไม่รายงานเรื่องหลินเป้ยที่ถูกต้อง
เมื่อนางกลับไปเมืองหลวง นางจะคิดบัญชักับสายสีบอย่างแน่นอน
ให้ข้อมูลเท็จไม่พอและยังเก็บเงินนางเป็นจำนวนมากอีก
หากบุคคลนั้นรู้ว่าเฟิงซินหยูกำลังคิดอะไรอยู่ เขาคงจะกรีดร้องอย่างแน่นอน เพราะเมื่อสามเดือนก่อน หลินเป้ยยังเป็นขยะอยู่เลย!
หลังจากที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว “ไม่ต้องกังวล ยังไงเจ้าก็ชนะไม่ได้” หลินเป้ยพูดด้วยรอยยิ้ม
“ออกมา” หลินเป้ยโบกมือ และหมาป่าสีครามก็ปรากฏตัวบนลสนประลองในทันที
เมื่อเสี่ยวเฮยปรากฏตัว ด้วยร่างกายของมันที่แข็งแกร่งราวกับวัวทำให้หลายคนตกใจ
นี่คือหมาป่าสีครามจริงๆเหรอ? มันตัวมันใหญ่ขนาดนี้!?
มันมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของราชาหมาป่าสีครามทั่วไป
ราชาหมาป่าครามโดยเฉลี่ยมีน้ำหนักเพียง 1,000 จิน(500 กิโลกรัม) เท่านั้น ตอนนี้เสี่ยวเฮยเติบโตขึ้นเล็กน้อยในช่วง 2 วันที่ผ่านมา และมันหนักถึง 2,000 จิน(1,000 กกิโลกรัม)
“ราชาหมาป่าสีครามระดับ 3 ขั้น 10!” หลายคนจ้องมองไปที่เสี่ยวเฮยที่ปรากฏตัว ด้วยสีหน้าที่เหลือเชื่อ
นี่เทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญปรมาจารย์นักรบขั้น 10 นี่หลินเป้นมีสัตว์เลี้ยงจิควิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
ไม่ต้องพูดถึงหลินวู่จี้ แม้แต่โจวต้วนผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลโจว ก็ยังรู้สึกหวาดกลัว
ตระกูลโจวคิดเสมอว่า หลินเป้ยมีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณระดับ 3 อยู่ในมือ แต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณระดับ 3 ขั้น 10 ซึ่งสัตว์อสูรตัวนี้เกือบจะเข้าสู่ระดับ 4 แล้ว
แม้แต่คนในตระกูลหลินก็ดูสับสน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อภาพตรงหน้า
พวกเขาหลินเป้ยมีไพ่เด็ดที่แข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
ก่อนหน้านี้เขาขยะนี่นา แล้วจะทำให้ราชาหมาป่าสีครามเชื่องได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าขอบเขตของราชาหมาป่าสีครามนี้สูงกว่าของหลินเป้ยมาก
หลินวู่จี้ก็ตกใจจนพูดไม่ออก จริงๆ แล้วเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหลินเป้ยเลยแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับหลินเทียน แต่อย่างไรก็ตาม เขามีความสุขและภูมิใจมาก ที่บุตรชายของเขาแข็งแกร่งจริงๆ
“มันเลื่อนขั้นแล้ว?” เฟิงซินหยูมองเสี่ยวเฮยที่อยู่ต่อหน้านางด้วยความประหลาดใจ เพียง 3 วัน มันก็เลื่อนไปอีกขั้นได้แล้ว!
“ฮึ่ม แม้ว่ามันจะก้าวหน้า แต่มันก็ยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี” เฟิงซินหยูแค่นเสียงอย่างเย็นชา
“ทักษะต่อสู้ระดับ 3 กระบวนท่ากระบี่ม่านเทียน(กระบี่พรมทั่วฟ้า)” เฟิงซินหยู ถือกระบี่เรียวยาวและโจมตีเสี่ยวเฮย
นี่คือทักษะต่อสู้แบบโจมตีกลุ่ม ที่สามารถควบแน่นปราณกระบี่นับร้อยได้ในทันที ปราณกระบี่สามารถครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ และไม่มีเป้าหมายใดที่สามารถหลบหนีการโจมตีของปราณกระบี่นี้ได้
แม้ว่าพลังของปราณกระบี่จะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็มีจำนวนที่มากกว่าชดเชย ทำให้ยากต่อการหลีกเลี่ยง
แต่คำว่าไม่แข็งแกร่งมากนักก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว กระบวนท่านี้ใช้ออกมาจากอัจฉริยะอย่างเฟิงซินหยู ซึ่งอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์นักรบขั้น 7 ทำให้แม้แต่มหาปรมาจารย์นักรบขั้นแรกยังลำบากได้!
หากเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำถูกห่อหุ้มด้วยปราณกระบี่นี้ เขาจะถูกตัดเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอนเลยทีเดียว
“เสี่ยวเฮย เล่นกับนาง เจ้าแค่เอาชนะก็พอ ห้ามสังหารนางเด็ดขาด” หลินเป้ยสั่งเสี่ยวเฮยทันที
ตอนนี้เสี่ยวเฮยฉลาดขึ้นมามาก และมันรู้ว่าหลินเป้ยหมายถึงอะไร
“แฮ่!” เสียวเฮยคำราม แต่มันไม่ได้หลบ แต่ยอมรับการโจมตีด้วยทักษะต่อสู้นี้โดยตรง
ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนกระทบร่างกายของเสี่ยวเฮย ทำให้เกิดเสียงดัง
ติ๊ง ติ๊ง!
เสียงมันเหมือนกับปราณกระบี่ที่กระทบกับโลหะหนัก
หลังจากที่พายุปราณกระบี่ผ่านไป เสี่ยวเฮยก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย ยกเว้นขนหมาป่าบางส่วนที่ถูกตัดแหว่งออกไป
ปราณกระบี่ไม่สามารถเฉือนผิวหนังมันได้เลย
“อะไรเนี้ย?” เฟิงซินหยูก็ตกใจมากเช่นกันเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่มันไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยเลยเหรอ!?