บทที่ 573: หลงโม่คนเดียวสู้คนได้เป็นร้อย
ภูตทุกคนในเผ่าเยว่หูตั้งแง่กับภูตของเผ่าไป๋ผีกันอยู่แล้ว
ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะคนในครอบครัวของหูเจียวเจียวเท่านั้น ถ้าชาวเผ่าเยว่หูพบเจอกับคนของเผ่าไป๋ผี พวกเขาจะรู้สึกรังเกียจและใจร้ายกับอีกฝ่ายมาโดยตลอด
แน่นอนว่าหลังจากชายที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนได้ยินว่าชายชราที่เขาเข้าไปเตือนเป็นภูตเผ่าไป๋ผี เขาก็ปิดปากฉับก่อนจะมองไปที่คนตรงหน้าด้วยสายตามีเลศนัย
ในเมื่อมันเป็นภูตเผ่าไป๋ผี งั้นก็ปล่อยให้มันกินของเน่าไปเถอะ!
คนพวกนี้สมควรแล้วถ้าพวกมันจะตายเพราะกินของเน่าเสีย เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้เสียอารมณ์!
จากนั้นทั้งคู่ก็เลิกสนใจชายสูงวัยแล้วทำหน้าบึ้งตึงเดินออกไป
ทางด้านผู้อาวุโสของเผ่าไป๋ผีกลอกตามองตามหลังภูตชาย 2 คนที่มาห้ามปรามตน แล้วแอบสบถด่าพวกเขาเบา ๆ
“เฮอะ! นี่มันก็แค่ปลาตัวหนึ่ง คนพวกนั้นยังมีหน้ามาบอกว่ากินเข้าไปแล้วจะเจ็บป่วยอีก”
“เมื่อก่อนช่วงที่ขาดแคลนอาหาร ผู้คนก็กินเนื้อเน่ากันเข้าไปก็ไม่เห็นจะมีใครป่วยแล้วแพร่เชื้อให้กับคนอื่นสักคน ข้าไม่เชื่อหรอก…”
ขณะที่ชายชราพูด เขาก็รีบกอดปลาในอ้อมแขนและเดินกลับบ้านไป
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือในโลกภูตนั้นใหญ่โตมาก ในแต่ละวันมีคนล้มตายเพราะความเจ็บป่วยมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งคนที่อยู่ในโลกแคบ ๆ แค่ในเผ่าของตัวเองคงไม่มีวันรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอก
หากมีเรื่องนี้เกิดขึ้นใกล้ตัวเขาจริง ๆ เขาคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบัน
เป็นเรื่องปกติที่คนเห็นแก่ตัวจะรู้สึกว่าน้ำใจของคนอื่นกลายเป็นการเอาเปรียบตนอยู่เสมอ
ต่อมา คนเป็นผู้อาวุโสเอาปลาไปซ่อนไว้ข้างนอกก่อนจะแอบกลับเข้าไปในบ้านเพื่อจุดไฟแล้วออกมาอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็ไปหาที่ลับตาคนเพื่อก่อไฟย่างปลากินตามลำพัง
ในระหว่างที่ย่าง กลิ่นที่โชยมาจากปลาไม่ค่อยดีนัก แถมเนื้อปลาก็ค่อนข้างเละอีกด้วย
ยามนี้ชายชราลูบมือตัวเองอย่างกระวนกระวาย เขาแทบจะอดใจไม่ไหวในขณะที่รอให้ปลาย่างสุก
ก่อนที่เขาจะนำปลามาย่าง เขาไม่แม้แต่จะควักไส้ปลาออก
นั่นเป็นเพราะตอนนี้เขาหิวมากถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ก้างปลาเขาก็ดูดกินจนไม่เหลือเศษอะไรติด ถ้าไม่ใช่ว่าตนเคี้ยวก้างปลาไม่ไหว เขาก็คงจะกินไม่ให้เหลือแม้แต่เศษซาก
หลังจากชายสูงวัยกินปลาหมดแล้ว เขาก็เลียนิ้วจนครบ 10 นิ้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกไม่อิ่ม
“นับว่าข้ายังฉลาดอยู่ที่ไม่ให้ใครรู้ว่าข้าได้ปลามาในวันนี้ เจ้าปลาตัวนี้เล็กมาก ถ้าข้าต้องแบ่งให้คนอื่นกิน ข้าคงต้องทนหิวยิ่งกว่านี้อีก”
“อย่างน้อยข้าเอามากินคนเดียวก็ยังพอยาไส้อยู่ แต่ถ้าต้องให้แบ่งกับคนอื่น ตัวข้าคงไม่ได้กินแม้สักคำ”
ผู้อาวุโสของเผ่าไป๋ผีเอ่ยชมตัวเองที่ฉลาดและมีไหวพริบ
พอเขาจัดการดับไฟและฝังกระดูกปลาเสร็จแล้ว เขาก็กลับที่พักไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตามปกติเนื้อตัวของเขาก็มีกลิ่นเหม็นอยู่แล้ว ตอนที่เขากลับไปจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อชายชรากลับมาถึงบ้าน เขาก็หยิบกระบวยขึ้นมาตักน้ำจนเต็มแล้วยกดื่มหลายอึก จากนั้นก็เทน้ำที่เหลือกลับเข้าไปในถังเก็บน้ำดังเดิม
พวกเขามักจะดื่มน้ำด้วยวิธีนี้เพราะปัจจุบันเป็นฤดูแล้ง น้ำจึงมีค่ามาก แน่นอนว่าการจะทิ้งน้ำให้สิ้นเปลืองมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
หลังจากที่ผู้อาวุโสเดินออกไปจากถังเก็บน้ำก็มีภูตหญิงหลายคนเดินมาตักน้ำทีละคน...
...
ขณะนี้นอกเผ่าได้เกิดความโกลาหลขึ้น
ภูตที่อยู่ในสภาพเนื้อตัวมอมแมมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังตะเกียกตะกายพุ่งเข้าใส่ประตูเผ่า ซึ่งสภาพของพวกเขาไม่ต่างจากกระแสน้ำเชี่ยวกรากทำให้คนที่มีหน้าที่เฝ้าประตูต้องค่อย ๆ ล่าถอยออกไป
เนื่องจากมีคนจำนวนมากมาก่อเรื่องวุ่นวายอยู่ตรงประตูเผ่าอย่างกะทันหัน คนในเผ่าจึงไม่มีเวลาปิดประตู พอพวกเขาตั้งท่าจะไปปิดประตูมันก็สายไปเสียแล้ว
ภูตส่วนใหญ่จึงกำลังเบียดเสียดกันเข้ามาในเผ่าโดยไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง
“เร็วเข้า! เข้ามาแล้วรีบปิดประตู!”
ภูตเผ่าเยว่หูที่เข้ามาในเผ่าแล้วตะโกนใส่ภูตที่ยังคงต่อต้านฝ่ายตรงข้ามอยู่ข้างนอก
ปัจจุบันพวกภูตที่กำลังเป็นด่านหน้าต้านทานผู้บุกรุกอยู่นั้นไม่กล้าเคลื่อนไหว
พวกเขาหันกลับไปมองประตูเผ่าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมพลางคิดว่าถ้าทุกคนกลับเข้าไปตอนนี้ กลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกจะต้องตามเข้ามาด้วย แล้วพวกเขาก็จะปิดประตูไม่ทัน
เมื่อเหล่าคนที่เฝ้าประตูเห็นว่าพวกภูตข้างนอกกำลังจะบุกเข้ามาได้สำเร็จ ทุกคนก็มองหน้ากันและตัดสินใจ
“พวกเจ้าอยากจะเข้าไปในเผ่างั้นรึ ไม่มีทาง!”
“ข้ามศพพวกข้าไปก่อนเถอะ!”
“ทุกคนต้านพวกมันเอาไว้ ส่วนพวกที่อยู่ข้างหลังรีบปิดประตูเร็วเข้า!!”
กลุ่มภูตเผ่าเยว่หูที่ต้านทานศัตรูกัดฟันกรอด พวกเขาออกแรงผลักอีกฝ่ายออกไปพร้อมกับตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็ไปจัดการกับคนที่กำลังพุ่งมา
พอพวกภูตที่เข้ามาในเผ่าแล้วเห็นภาพนี้ เส้นเลือดบนขมับของพวกเขาก็ปูดขึ้นพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำขณะเขม็งมองภาพสะเทือนใจเบื้องหน้า
“ถอย!”
เสียงนั้นถูกกลบด้วยเสียงตะโกนอย่างรวดเร็ว
ภูตเผ่าเยว่หูหลายคนกัดฟันแน่น พวกเขายังคงสองจิตสองใจอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะถ้าหากไม่ปิดประตู เผ่าก็จะตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าปิดประตูตอนนี้ สหายที่อยู่ข้างนอกก็จะไม่ได้เข้ามาอีก...
“ปิดประตูซะ!!!”
เสียงฝ่ายที่ต้านศัตรูอยู่ด้านนอกยังคงตะโกนบอกให้คนที่อยู่ด้านในปิดประตู
ยามนี้ชายที่ทำหน้าที่เปิดปิดประตูยังคงกำโซ่ไว้แน่น แต่มือของเขาที่จับโซ่อยู่ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
“บัดซบ!” เขากระแทกกำปั้นชกผนังด้านข้างและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าจะออกไปสู้กับพวกเจ้า! แม้ว่าวันนี้จะต้องกลายเป็นศพ แต่พวกเราก็ต้องหยุดพวกมันเอาไว้ให้ได้!”
ทันทีที่ภูตชายพูดจบ เขาก็พุ่งออกไปด้านนอกเป็นคนแรก
พอเหล่าภูตที่เข้ามาข้างในกับเขาเห็นแบบนั้น คนที่เหลือก็พุ่งตามไปติด ๆ
แต่ความแตกต่างทางด้านจำนวนมีเยอะมาก มันเหมือนกับที่แม่น้ำกำลังปะทะกับมหาสมุทร พอฝั่งที่มีน้ำน้อยเจอกับคลื่นมหาศาล พวกมันก็ถูกกลืนกินไปอย่างช้า ๆ
ในพริบตา กลุ่มภูตเผ่าเยว่หูที่พุ่งออกไปต้านทานศัตรูก็อยู่ในสภาพได้รับบาดเจ็บสาหัส
บัดนี้พวกภูตที่อยู่ข้างนอกกำลังเป็นหมาจนตรอกที่หมดหวัง พวกมันจึงกัดคนไม่เลือกหน้า
พอเห็นสหายของตนถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าเหมือนโคลน จิตใจของคนที่มองดูเหตุการณ์ก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ข้าจะส่งพวกเจ้าไปลงนรกเดี๋ยวนี้!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกโกรธแล้วอยากจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามเพื่อล้างแค้นให้กับสหายของตน จู่ ๆ เอาเสียงคำรามของมังกรก็ดังมาจากด้านหลัง ซึ่งมันมาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว
“ถ้าพวกเจ้าไม่ถอย ก็ตายซะให้หมด!”
ขณะนี้ทุกคนกำลังเงยหน้าขึ้น พร้อมกับแสงแห่งความหวังที่สว่างวาบในดวงตาของทุกคน
“นั่นมัน… หลงโม่!”
“ท่านหัวหน้าพากำลังเสริมมาช่วยพวกเราแล้ว! ทุกคนอดทนไว้”
มังกรดำผู้สง่างามมาพร้อมกับรังสีสังหาร แล้วข้างหลังก็มีภูตจำนวนหนึ่งวิ่งตามมา แม้ว่าจำนวนของพวกเขาจะมีน้อยกว่าคนที่อยู่ข้างนอก แต่ขวัญกำลังใจของคนในเผ่าก็พุ่งทะยานขึ้นสูง
ภูตมังกร! นั่นคือสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังที่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้นับร้อยด้วยตัวคนเดียว!
“มีภูตมังกรอยู่ในเผ่านี้...”
“บ้าไปแล้ว นี่พวกเราต้องต่อสู้กับภูตมังกรเพื่อแย่งชิงอาหารงั้นหรือ!!”
ฝั่งภูตที่บุกรุกเข้ามาตกใจกลัวเมื่อเห็นมังกรตัวใหญ่บนท้องฟ้า และภูตบางคนถึงกับวิ่งหนีไปโดยไม่หลงเหลืออารมณ์ฮึกเหิมก่อนหน้านี้อีก
แล้วสถานการณ์การต่อสู้ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าในชั่วพริบตา
...
อีกด้านหนึ่ง
ขณะนี้หูเจียวเจียวพาลูก ๆ กลับถึงบ้านแล้ว
ถัดมา หลงเหยาอาศัยช่วงเวลาที่แม่จิ้งจอกไปทำอาหารเพื่อเดินไปที่ประตูห้องของหลงหลิงเอ๋อเงียบ ๆ
มือเล็กกำหมัดหลวม ๆ แล้วเคาะประตู
ก๊อก ๆๆ
“พี่สี่ นี่เสี่ยวเหยาเอง...”
“เสี่ยวเหยา เจ้ามาหาข้ามีอะไรหรือเปล่า?” เจ้าของห้องเปิดประตูมาหาเด็กน้อยซึ่งสูงเกือบเท่านางด้วยสีหน้างุนงง
ในตอนนี้น้องเล็กของนางไม่ใช่คนตัวเตี้ยแบบเดิมอีกต่อไป
อีกไม่นานเขาน่าจะสูงกว่าพี่สาวของเขาแล้ว
“พี่สี่ เสี่ยวเหยาอยาก...” หลงเหยาเงยหน้าขึ้นกำลังจะเอ่ยปากขอให้หลงหลิงเอ๋อรักษารอยแผลที่ข้อศอกให้เขา
แต่พอคนตัวเล็กเห็นว่าใบหน้าของพี่สาวของตนนั้นซีดมาก แล้วมันแสดงออกถึงความเหนื่อยล้า สิ่งที่เขาตั้งใจจะพูดจึงหยุดอยู่ที่ริมฝีปากทันที
ท่าทางของพี่สี่ดูเหนื่อยมาก มันคงจะเป็นการรบกวนเกินไปหากจะให้พี่สี่มารักษาเขาอีก
“ไม่มีอะไร เสี่ยวเหยาแค่อยาก... มาดูว่าพี่สี่เอาตุ๊กตาของเสี่ยวเหยามาด้วยหรือเปล่า” หลงเหยากะพริบตาถี่ ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนคำพูดของเขาตามความตั้งใจ
เขาเปลี่ยนเรื่องไปถามเกี่ยวกับตุ๊กตาที่หูชิงหลู่ทำให้ในตอนนั้น
“ตุ๊กตาตัวนั้นอยู่ที่เผ่าเฟิงโชว เสี่ยวเหยา ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงคิดอยากจะมาตามหาตุ๊กตาตัวนั้นตอนนี้?” หลงหลิงเอ๋อถาม
“ช่างมันเถอะ ถ้าท่านพี่ไม่ได้เอามาก็ไม่เป็นไร พี่สี่ ท่านรีบพักผ่อนเถอะ เสี่ยวเหยาจะไปแล้ว!”
หลงเหยาพูดจบแล้วก็รีบวิ่งหนีออกไป
นั่นยิ่งทำให้เด็กหญิงรู้สึกสับสน “ทำไมวันนี้เสี่ยวเหยาทำท่าทางแปลก ๆ...”