บทที่ 572: ผู้หญิงที่ทำตัวมีลับลมคมใน
คนที่พูดจนทำให้หญิงสาวคนนั้นยอมทิ้งปลาเน่าไปเป็นผู้หญิงตัวเล็กผอมบางที่หนังแทบจะติดกระดูก
เนื้อตัวของนางสกปรกมอมแมมมีแต่ฝุ่น แม้แต่ใบหน้าก็ยังมีรอยเปื้อน นั่นทำให้คนที่ได้พบเจอแทบไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์เดิมของนางได้อย่างชัดเจน
แล้วสิ่งที่สะดุดตาบนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้คือดวงตาสดใสที่เป็นสีชมพูเหมือนดอกท้อ
นี่เป็นครั้งแรกที่หูเจียวเจียวเห็นภูตที่มีนัยน์ตาสีชมพู
หญิงสาวจึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ขณะที่จิ้งจอกสาวกำลังจะพูดขอบคุณอีกฝ่าย หลงจงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็ทำหน้าเข้มและเลิกคิ้วพูดว่า
“เจ้านี่เอง คนเมื่อตอนนั้น…”
“พี่สาวคนนี้เป็นคนตะโกนให้ทุกคนมายืมถังน้ำจากเรา!” หลงเหยาเองก็จำเตี๋ยฉ่ายได้เหมือนกัน ดวงตากลมโตสีทับทิมจึงเบิกกว้างขึ้น
จากนั้นเขาหันไปมองหน้าพี่ชายคนที่ 3 ก่อนจะมองไปที่แม่จิ้งจอก
ตอนนี้พวกเขามีอารมณ์ผสมปนเปกันไปหมดว่าจะควรขอบคุณหรือโกรธอีกฝ่ายดี
พี่สาวคนนี้เพิ่งช่วยท่านแม่!
ทางด้านหูเจียวเจียวเลิกคิ้ว พวกเด็ก ๆ เพิ่งพบกับหญิงสาวตรงหน้า เป็นไปได้ไหมว่านางจงใจติดตามพวกเขามาที่นี่?
แต่ตัวเธอก็ไม่เห็นสายตามุ่งร้ายของนาง เธอจึงไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้คิดที่จะทำร้ายพวกหลงอวี้
“เมื่อกี้ขอบคุณท่านมาก…”
จิ้งจอกสาวก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าวและทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
ทว่าเตี๋ยฉ่ายกลับเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น และก่อนที่หูเจียวเจียวจะพูดจบ นางก็หันหลังวิ่งหนีไป
ฝ่ายที่เริ่มเอ่ยทักทายก่อนจึงได้แต่ยืนเคว้งคว้างทำหน้าสับสนอยู่กับที่พลางอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า
ท่าทางและคำพูดของฉันเมื่อกี้มันดูน่ากลัวหรือไง
ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้วิ่งเร็วนัก...
“นางวิ่งหนีอีกแล้ว!” หลงจงจ้องตามหลังผู้หญิงที่ทำตัวลึกลับไป “ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงชอบวิ่งหนีทุกครั้ง เราไม่ได้คิดที่จะจับนางกลืนลงท้องสักหน่อย”
เด็กชายเห็นว่าภูตหญิงคนที่เคยทำให้เขาโกรธช่วยแม่ของตนเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกไม่ชอบอีกฝ่ายเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก
“เป็นคนที่ประหลาดจริง ๆ” เขาพึมพำออกมาเบา ๆ
“พวกเจ้าไปรู้จักนางได้ยังไง?” หูเจียวเจียวก้มหน้าลงถามลูก ๆ อย่างสงสัย
หลงอวี้คนที่เป็นกลางที่สุดรีบบอกแม่จิ้งจอกถึงทุกเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
หลังจากพี่ชายคนโตเล่าจบ พี่น้องคนอื่นที่ได้ฟังจากมุมของฝ่ายที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่ได้มีเจตนาร้ายกับพวกเขาก็ได้
เมื่อทุกคนพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สาเหตุที่ผู้หญิงดวงตาสีชมพูพูดเตือนพวกเขาอาจจะเป็นเพราะภูตผมแดงคนนั้นมีพฤติกรรมแปลกประหลาด
คนที่เดินอยู่ดี ๆ ทำไมจู่ ๆ เขาถึงพุ่งเข้ามาชนเสี่ยวเหยาล่ะ?
ถ้าภูตชายที่สวมชุดหนังสัตว์สีดำมีเจตนาร้ายจริง ๆ ต่อให้พวกเขาทั้ง 4 คนจะรวมพลังกันก็คงไม่สามารถเอาชนะภูตโตเต็มวัยได้อยู่ดี
พอเหล่าเด็กตระกูลหลงนึกได้แบบนี้ ใบหน้าของเด็กชายทั้ง 3 ยกเว้นหลงเหยาก็ซีดลง แล้วพวกเขาก็รู้สึกขอบคุณหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีชมพูในใจอยู่พักหนึ่ง
บางทีเมื่อกี้นี้ผู้หญิงคนนั้นอาจจะกำลังช่วยพวกตนเอาไว้
ทางด้านหลงหลิงเอ๋อกับหยินชาง พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งคู่ก็ยืนฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
หูเจียวเจียวเองก็เข้าใจประเด็นสำคัญเป็นอย่างดี
“ภูตผมแดงมีหน้าตาเป็นยังไง แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
จิ้งจอกสาวสัมผัสได้ว่าผู้ชายที่จงใจชนหลงเหยามีบางอย่างผิดปกติ
สีผมของภูตเป็นไปตามร่างสัตว์ของเจ้าตัว แต่ในความเป็นจริง มีภูตเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสีผมโดดเด่นเช่นนี้ และส่วนใหญ่ภูตเผ่าพันธุ์แมลง
เป็นไปได้ไหมว่าการตายของหยินเสวี่ยเกี่ยวข้องกับภูตแมลง?
“เขาดูแปลก ๆ!” หลงเหยารีบตอบพร้อมกับยกมือป้อมสั้นขึ้น
หลงอวี้เห็นดังนั้นจึงกดหัวของเจ้าตัวเล็กลงและพูดต่อว่า
“ตัวเขาไม่ได้สูงมากนัก ผิวดำคล้ำ ดวงตาจมเป็นเบ้าลึก แต่เท่าที่ดูแล้วเขาก็ไม่ได้ดูผอมโซเหมือนคนอื่นที่อพยพมาจากทางเหนือ...”
เด็กชายบรรยายลักษณะของภูตผมแดงอย่างละเอียด
หลังจากคนเป็นพี่ใหญ่พูดจบ เขาก็ชี้ไปยังทิศทางที่ผู้ชายลึบลับวิ่งไป
“แล้วเขาก็หนีไปทางนั้น...”
หูเจียวเจียวมองไปตามนิ้วของหลงอวี้ซึ่งเป็นทิศทางที่พบศพของหยินเสวี่ยและสามีของนาง
พอเธอนึกถึงผู้หญิงดวงตาสีชมพูเมื่อกี้นี้ เธอก็คาดเดาบางอย่างในใจ
หรือว่าผู้ชายคนนั้นคิดที่จะทำร้ายเด็ก ๆ?
เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของหญิงสาวที่เข้ามาขัดจังหวะภูตผมแดง แสดงว่านางต้องรู้อะไรบางอย่าง แต่นางก็ไม่ได้ดูเหมือนคนที่สมรู้ร่วมคิดกับคนร้าย...
ปัจจุบันสมองของจิ้งจอกสาวคิดวิเคราะห์วนเวียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะคิดไปถึงหลงโม่และทุกคนที่ยังคงต่อสู้กับกลุ่มคนบ้าคลั่งที่ต้องการบุกเข้ามาในเผ่าอยู่ข้างนอก จากนั้นหญิงสาวก็หยุดคิดถึงมันชั่วคราวแล้วรอให้มังกรหนุ่มกลับมาก่อนเพื่อที่จะคุยกับเขาอีกครั้ง
สำหรับตอนนี้…
ครู่ถัดมา แม่จิ้งจอกก้มลงมองลูก ๆ พลางพูดว่า
“ช่วงนี้เผ่าเยว่หูมีเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยสงบอยู่มากมาย ฉะนั้นเวลาพวกเจ้าจะไปไหนมาไหนก็ให้บอกพ่อกับแม่ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะพาไป ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าออกไปไหนคนเดียว เข้าใจไหม?”
ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีเธอและหลงโม่อยู่เคียงข้างลูก ๆ มันคงจะทำให้พวกเขาปลอดภัยกว่า
“รับทราบ!”
เด็กทั้ง 6 คนพยักหน้าตอบรับพร้อมกันโดยไม่ถามถึงเหตุผลว่าทำไมจู่ ๆ แม่จิ้งจอกถึงมีคำสั่งแบบนี้
อันที่จริงพวกเขาเองก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่อยู่รอบตัว
ปัจจุบันพระอาทิตย์ที่เคยประจำการอยู่บนท้องฟ้าได้ลาลับไปแล้ว
ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็เริ่มมืดลง
หูเจียวเจียวจึงรีบเดินกลับบ้านพร้อมกับลูก ๆ ทันที
…
อีกด้านหนึ่ง
ยามนี้เตี๋ยฉ่ายวิ่งหนีมาได้สักพักหนึ่งแล้ว พอหันหลังกลับไปมองอีกทีนางก็เห็นว่าไม่มีใครตามมา นางจึงหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งที่มีก้อนหินแล้วนั่งลงหอบหายใจหนัก ๆ
“โชคดีที่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเด็กพวกนั้น...”
หญิงสาวตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อกี้นี้นางแค่อยากจะตามพวกเด็ก ๆ ไปเพราะกลัวว่าชายผมแดงจะแอบไปดักซุ่มทำร้ายพวกเขากลางทาง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นระหว่างนั้นจนตัวนางอดไม่ไหวที่จะสอดมือเข้าไปช่วยจนทำให้แม่ลูกทั้ง 7 คนรู้ตัวว่านางเดินตามพวกเขามาตลอดทาง
ปัจจุบันเหล่าเด็กน้อยกลับบ้านไปพร้อมกับแม่ตัวเองแล้ว พวกเขาคงไม่ตกอยู่ในอันตรายอีก...
พอหญิงสาวคิดได้ดังนั้นก็รู้สึกหมดแรง
ในไม่ช้านางก็เอนตัวลงนอนบนพื้นหญ้าด้านข้างและมองท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นยามค่ำคืน จากนั้นนางก็ทอดถอนหายใจพลางลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเอง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นจากพื้น
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว นางจะต้องรีบหาที่พักให้ตัวเองก่อน
...
ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสของเผ่าไป๋ผีกลับมาจากไร่ด้วยใบหน้ามอมแมม
ทันใดนั้นเขาก็เตะโดนบางอย่างที่เปียกแฉะ
พอชายชราก้มลงมองเท้าตัวเอง สีหน้าที่เหี่ยวเฉาก็พลันสว่างขึ้นทันที!
“นี่มันปลานี่!”
ผู้อาวุโสของเผ่าไป๋ผีรีบหยิบปลาขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขนขณะที่ในใจของเขารู้สึกมีความสุขมาก
“ฮ่า ๆๆ! ไม่นึกเลยว่าวันนี้ข้าจะโชคดีขนาดนี้ แค่เดินอยู่เฉย ๆ ก็ได้ปลาตัวโต ๆ มากิน ในที่สุดวันนี้ข้าก็จะได้กินให้หนำใจสักที...”
ที่ผ่านมาเขากินไม่อิ่มท้องมาหลายเดือนแล้ว
จากสภาพของชายสูงวัยที่เคยซูบผอมก็ยิ่งผอมลงกว่าเดิม แม้แต่ปลาเหม็น ๆ ก็ยังนับได้ว่าเป็นอาหารที่หายากสำหรับเขา
ขณะที่คนเป็นผู้อาวุโสกำลังจะอุ้มปลาตายในอ้อมแขนกลับบ้าน ภูต 2 คนที่กำลังเดินผ่านมาก็พูดเตือนว่า
“ปลาตัวนี้เน่าไปแล้ว ท่านจะเอาไปกินไม่ได้ อย่าเอามันกลับบ้านเลย”
“ถ้าท่านกินมันเข้าไป มันจะทำให้ท่านล้มป่วย รีบทิ้งมันซะ!”
ปัจจุบันด้วยกฎที่ถูกตั้งขึ้น ทางเผ่าจึงได้จัดสรรภูตเอาไว้จัดการกับเรื่องอาหารเน่าเสียโดยเฉพาะ ตามปกติพวกเขาจะลาดตระเวนไปรอบ ๆ เผ่าเพื่อกำจัดอาหารที่มีกลิ่นเหม็นโดยการเอามันไปโยนทิ้งในป่าที่อยู่ห่างไกล
ทว่าเนื่องจากวันนี้นอกเผ่ามีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้น พวกเขาจึงยังไม่มีเวลาจัดการกับงานส่วนดังกล่าว
แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าไม่ควรกินอาหารที่เน่าเสียแล้ว มิฉะนั้นพวกเขาจะล้มป่วยและเสี่ยงเป็นโรคร้าย
เมื่อผู้อาวุโสของเผ่าไป๋ผีได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
“อะไรเน่า เน่าตรงไหน มันไม่ได้เน่าสักหน่อย! ปลาตัวนี้ยังสภาพดีอยู่เลย พวกเจ้าอย่ามาโกหกข้านะ ถ้าข้าโยนทิ้งแล้วพวกเจ้าจะเก็บไปกินเองใช่ไหมล่ะ?”
ชายชราพยายามซ่อนปลาไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาแย่งอาหารมื้อพิเศษของตนไป
แต่ยิ่งพูดท่าทางของเขาก็ยิ่งหยาบคายขึ้นเรื่อย ๆ
“ข้าจะกินมัน! ปลานี่ข้าเก็บได้แล้วมันก็ต้องเป็นของข้า พวกเจ้าอย่าสอดมือมายุ่งเรื่องของคนอื่นให้มากนัก”
ภูตที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนมองผู้อาวุโสของเผ่าไป๋ผีด้วยความโกรธ
“ท่านลุง ข้าเตือนท่านด้วยความหวังดี ทำไมท่านถึง—”
ภูตชายคนนั้นยังไม่ทันพูดจบ สหายที่อยู่ด้านข้างก็รั้งเขาไว้ ก่อนจะขยิบตาและกระซิบข้างหูเขาว่า
“ช่างเถอะ ๆ อย่าไปเสียเวลาโต้เถียงกับเขาเลย เขาเป็นคนของเผ่าไป๋ผีน่ะ”