บทที่ 571: มังกรน้อยผู้พิทักษ์ท่านแม่
“ไปกันเล้ยยย!”
หลงเหยาชูกำปั้นขึ้นสูงพร้อมทำท่าเหมือนจะวิ่งตามหูหลินไปด้วย
หูเจียวเจียวจึงรีบคว้าคอเจ้าตัวเล็กเอาไว้ก่อนเป็นอย่างแรก
แล้วขาป้อมสั้นที่กำลังจะพาเจ้าตัวพุ่งไปข้างหน้าก็ต้องวิ่งอยู่กับที่
“เจ้าจะทำอะไร? นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ รีบกลับบ้านกันเร็ว”
แม่จิ้งจอกคิดว่าตัวเองจะทำเหมือนพ่อมังกรโดยการอุ้มหลงเหยากลับบ้านไปทันที แต่เธอประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองสูงเกินความเป็นจริง และประเมินความเร็วในการเติบโตของเจ้าตัวเล็กต่ำเกินไป
“...”
โอ๊ย! แขนตึงไปหมดแล้ว ไม่ขยับเลย!
จิ้งจอกสาวรีบปล่อยมือตัวเอง แล้วเปลี่ยนไปคว้ามือเล็กเพื่อพาเขาเดินกลับบ้านไปพร้อมกับลูกคนอื่น ๆ แทน
“เสี่ยวเหยาก็อยากจะไปช่วยสั่งสอนคนเลวด้วยเหมือนกัน” หลงเหยาไม่ได้ขัดขืนผู้เป็นแม่ เขาพูดในขณะที่เดิมตามแรงดึงไป
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาฝึกฝนอย่างหนัก ที่เขาทำมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาไว้ต่อสู้กับคนเลว!
“ชิ… แขนขาเล็ก ๆ ของเจ้าคงทำอะไรคนพวกนั้นไม่ได้หรอก เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าจะไปสั่งสอนพวกมันอีก...” เสียงเย้ยหยันของหลงจงดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อภูตข้างนอกหิวมาก พวกมันก็จะกินภูตด้วยกันเอง เสี่ยวเหยา เนื้อเจ้าทั้งนุ่มแล้วก็มีไขมันเยอะมาก จุ๊ๆๆ...” หลงเซียวกล่าวพลางชำเลืองมองคนตัวเล็ก
พอหลงเหยาได้ยินคำพูดข่มขู่ของพี่ชายคนรอง เขาก็กอดแขนแม่จิ้งจอกแน่นโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเขาก็พูดตะกุกตะกักว่า “จะ-จริงหรือ น่ากลัวจัง… พวกมันกินภูตด้วยหรือ?”
“ถ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ลองไปดูด้วยตาตัวเองสิ เด็กแบบเจ้าคงจะโดนพวกมันพุ่งเข้าใส่ทันทีที่ก้าวออกจากเผ่า” หลงจงพูดขู่สำทับพร้อมกับทำท่านับอะไรบางอย่างในอากาศ
ตอนนี้ความฮึกเหิมของหลงเหยาถูกทำลายไปจนสิ้น เขารีบปล่อยมือแม่จิ้งจอกแล้ววิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังเธอพร้อมกับกอดต้นขาของเธอไว้แน่น
“เสี่ยวเหยาไม่ไปแล้ว เสี่ยวเหยาอยากจะอยู่ที่บ้านเพื่อปกป้องท่านแม่ ท่านแม่สำคัญกว่าใครทั้งสิ้น...”
ในเวลานี้เจ้าตัวเล็กตกใจจนหางโผล่ออกมาโดยที่ห่างนั้นม้วนอยู่ตรงหว่างขาของเขา
ภาพที่ปรากฏทำให้หลงจงกลั้นหัวเราะจนน้ำตาแทบไหล
เจ้ามังกรโง่นี่หลอกง่ายชะมัด
ส่วนหลงอวี้เองก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ท่าทางของหลงเหยาทำให้ทุกคนหัวเราะร่า แม้กระทั่งหลงหลิงเอ๋อกับหยินชางยังรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น
ทางด้านหูเจียวเจียว เธอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอไม่ได้เข้าไปแทรกบทสนทนาของพวกเด็ก ๆ แล้วรีบปลอบโยนลูกชายคนเล็ก
“เหยาเอ๋อเป็นคนมีเหตุผลจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็จะได้รับความคุ้มครองจากเหยาเอ๋อ ถ้างั้นเหยาเอ๋อพาแม่กลับบ้านตอนนี้ได้ไหม?”
ขณะนี้หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับมีโซ่ตรวนหนัก ๆ อยู่ที่ขา มันทำให้เธอขยับเดินต่อไปไม่ได้
“ได้เล้ยยย!”
เมื่อหลงเหยาเห็นท่าทางให้กำลังใจของผู้เป็นแม่ เขาก็เรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้และกระดิกหางเดินไปข้างหน้า
ส่วนพวกเด็กตระกูลหลงก็ยังหัวเราะเบา ๆ พลางเดินตามหลังทั้งคู่ไป
เหล่าเด็กน้อยไม่ได้กังวลเกี่ยวกับพ่อมังกร ในสายตาของพวกเขา หลงโม่เป็นภูตที่ทรงพลังที่สุด นอกจากเขาจะสามารถออกจากป่าวิญญาณมาในสภาพสมบูรณ์แล้ว เขายังพาทุกคนกลับมาที่เผ่าได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย นั่นทำให้เด็ก ๆ มั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านพ่อก็สามารถรับมือได้ทุกอย่าง
ตอนนี้คนที่ควรจะกังวลมากที่สุดน่าจะเป็นฝ่ายที่มาสร้างปัญหาอยู่นอกเผ่ามากกว่า
ภายใต้แสงระเรื่อของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า มีเงาหลายเงาทอดยาวไปตามทาง
ปัจจุบันพวกภูตที่ออกไปล่าสัตว์ได้กลับมากันหมดแล้ว พวกเขาต่างก็ยุ่งอยู่กับการจัดการเหยื่ออยู่ตรงหน้าบ้านตัวเอง
ส่งผลให้กลิ่นในอากาศไม่ค่อยดีนักเพราะมันผสมปนเปไปกับกลิ่นเนื้อและกลิ่นคาวเลือด แต่กลิ่นพวกนี้มันทำให้เหล่าภูตรู้สึกสบายใจขึ้นมาก คงมีเพียงเนื้อเท่านั้นที่จะทำให้ทุกคนได้อิ่มท้อง
ยามนี้หูเจียวเจียวและลูกทั้ง 6 คนเดินไปตามถนนที่ทอดยาวไปถึงบ้านหินของพวกเขา ภาพครอบครัวอันสุขสันต์นั้นดึงดูดสายตาอิจฉาของภูตคนอื่นได้เป็นจำนวนมาก
แถมไม่พอพวกนางยังได้สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณผ่องใส แล้วลูกคนสุดท้องก็ดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ซึ่งบ่งบอกได้ว่าสมาชิกในครอบครัวมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีมากแค่ไหน
แต่ตัวพวกเขาเองทำได้เพียงมองดูอีกฝ่ายโดยที่ไม่มีใครกล้าหวังสูงเช่นนั้น
เดิมทีการจะมีชีวิตที่ดีจำต้องพึ่งพาความสามารถของตนเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาคอยช่วยเหลือ
แทนที่จะมัวมานั่งฝันกลางวันแล้วเฝ้ารอถึงสิ่งที่ไม่อาจเอื้อม พวกเขากลับไปพยายามให้หนักขึ้นและกินเนื้อให้มาก ๆ จะดีกว่า
ผู้คนที่มาเข้าร่วมเผ่าเยว่หูรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนควรต้องทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ในขณะที่หูเจียวเจียวถูกคนอื่นจับตามอง เธอก็ระวังพวกเขาเช่นกัน
ปัจจุบันภูตคนอื่นอยู่ในสภาวะที่ต้องทำงานหนักแต่ก็ยังมีกินไม่พออิ่มท้อง ทว่าตัวเธอกับลูก ๆ กลับมีชีวิตที่สุขสบายกว่าใคร ๆ หากพวกเธอเดินออกไปจากเผ่าแห่งนี้ พวกเธอจะตกเป็นเป้าหมายของพวกโจรที่จะมาดักปล้นแน่นอน
จิ้งจอกสาวรู้สึกว่าโชคดีที่กฎระเบียบของเผ่าเยว่หูนั้นค่อนข้างจะชัดเจนและครอบคลุม
หลังจากหญิงสาวเดินกับพวกหลงอวี้ไปได้ไม่นาน เธอก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังแบกปลาตายเดินอยู่บนถนน
ในตอนแรกหูเจียวเจียวไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนัก แต่พอผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านไป เธอก็ได้กลิ่นเหม็นแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนกับกลิ่นคาวปลาทั่วไป
ขณะนั้นหลงหลิงเอ๋อยกมือขึ้นปิดจมูกของตัวเองและพูดเสียงพึมพำว่า
“ท่านป้า ปลาของท่านมันเหม็นเกินไปหรือเปล่า?”
ทันทีที่ภูตหญิงได้ยินเสียงของเด็กหญิง นางก็รีบอุ้มปลาเอาไปซ่อนไว้ข้างหลังตัวเอง ในขณะที่นางมองหน้าหูเจียวเจียวด้วยสายตาระแวดระวัง
“พวกเจ้าจะทำอะไร นี่เป็นปลาของข้า ข้าจับมันมาจากทะเลสาบ ไม่ได้ขโมยมาจากไหน...”
เมื่อจิ้งจอกสาวได้ยินคำพูดของอีกคน เธอก็รู้ว่านางคิดว่าพวกเธอจะฉกปลาของนางไป เธอจึงเอ่ยเตือนขึ้นมาว่า
“พี่สาว ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่อยากจะบอกท่านว่าปลาตัวนี้มันเน่าเสียไปแล้ว ท่านจะกินมันไม่ได้ มิฉะนั้นท่านจะป่วย”
ปลาตัวนี้มีสภาพที่แย่มากและมีกลิ่นเหม็น ถ้าสังเกตดูให้ดีก็จะเห็นหนอนสีขาวตัวยาวกำลังขยับอยู่ในนั้น แถมดวงตาของปลายังเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดและเกล็ดก็มีสีดำผิดปกติซึ่งมันบ่งบอกว่าปลาตายเพราะติดโรค
หากใครก็ตามกินอาหารติดเชื้อในฤดูร้อน แม้แต่ผู้ชายที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจทนแบกรับอาการป่วยไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่อ่อนแอและขี้โรคเลย
“ข้าไม่สนว่าข้าจะป่วยหรือไม่ ถ้าไม่กินตอนนี้ข้าคงอดตาย ทั้งที่ข้าสามารถจับปลาในทะเลสาบได้แล้ว แต่เจ้าก็ยังมาขวางข้าไม่ให้กินมันอีก”
ท่าทางของผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะไม่เชื่อคำพูดของจิ้งจอกสาว แล้วนางก็ส่งสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“หรือว่าเจ้าจะแย่งปลาของข้าไปหลังจากที่ข้าโยนมันทิ้ง?”
ตัวนางเองก็ได้ยินมาว่าภูตที่อยู่ข้างนอกเผ่ากำลังก่อเรื่องวุ่นวาย ซึ่งในครั้งนี้มันรุนแรงกว่าที่ผ่านมามาก
ถ้าไอ้คนป่าเถื่อนพวกนั้นเข้ามาข้างในได้สำเร็จ นางคงไม่ได้กินปลาเน่าแม้แต่คำเดียว
“ท่านป้า เราไม่ได้อยากได้ปลาของท่าน ท่านพ่อของเราจับเหยื่อมาได้ตั้งมากมาย ท่านพ่อไม่ยอมปล่อยให้เราอดตายหรอก”
หลงเหยากลายร่างเป็นผู้พิทักษ์ไปยืนขวางหน้าแม่จิ้งจอกพลางโต้แย้งกับผู้หญิงคนนี้
“การที่พวกเจ้ามีของกินเพียงพอไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะไม่ขโมยอาหารของคนอื่นสักหน่อย” หญิงสาวแปลกหน้ายังคงทำท่าทางไม่ไว้วางใจ แต่น้ำเสียงของนางกลับเบาลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นร่างเจ้าเนื้อของหลงเหยา
เนื่องจากนางเพิ่งเข้าร่วมเผ่าเมื่อไม่นานมานี้ นางจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับภูตในเผ่ามากนัก
สิ่งที่เป็นภาพติดตานางมากที่สุดก็คือ ฝูงภูตที่มีสภาพไม่ต่างจากหมาป่าผู้หิวโหยข้างนอก
แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีอาหารมากมายอยู่ในมือ แต่พวกเขาก็ยังคงปล้นอาหารคนอื่นอยู่ไม่ขาด
ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้คงไม่มีใครคิดว่าตัวเองมีอาหารเพียงพอหรอก
ขณะที่หูเจียวเจียวคาดเดาจากท่าทางของฝ่ายตรงข้ามและกำลังจะอธิบายให้นางฟัง
ทันใดนั้นเสียงเบา ๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านข้างของจิ้งจอกสาว
“ท่านหัวหน้าเคยบอกไปแล้วว่าไม่ควรกินอาหารเน่าเสียและมีกลิ่นเหม็น มันเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่ายมาก มีคนพบว่าคนที่เป็นโรคระบาดนั้นตายอย่างทรมาน แต่ถึงยังไงมันก็คงไม่ทรมานเท่ากับการถูกสัตว์ป่ากินล่ะนะ”
“ถ้าท่านยืนกรานที่จะกินมัน หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าท่านจะเป็นผู้หญิง แต่ท่านหัวหน้าก็จะไล่ท่านออกจากเผ่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของทุกคน”
“ท่านจะไม่อดตายหรอก แต่ท่านจะยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อปลาตัวหนึ่งไหมล่ะ ท่านคิดว่ามันคุ้มค่าไหม?... ถ้าท่านคิดว่ามันคุ้มค่าก็จงกินปลาตัวนั้นซะ!”
หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของปลานึกไม่ถึงว่าโรคระบาดที่คนพูดถึงกันจะทำให้คนที่ป่วยไข้ทรมานแค่ไหน แต่พอได้ยินว่าหากนางติดโรค นางก็จะถูกขับไล่ออกจากเผ่า นางเลยรีบโยนปลาตัวนั้นทิ้งทันที
แต่เพียงแค่นี้มันก็ยังไม่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น นางจึงเช็ดมือกับหนังสัตว์อย่างแรง
“ไม่กิน ข้าไม่อยากกินแล้ว!”
หญิงสาวโพล่งขึ้นมาด้วยท่าทางร้อนรน ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด
นางทำเหมือนกับว่าปลาตัวนั้นน่ารังเกียจเสียเต็มประดา
เสียงปริศนาที่เข้ามาพูดยาวเหยียดนั้นเป็นเสียงของผู้หญิง แถมอีกฝ่ายยังช่วยพูดแทนหูเจียวเจียว ดังนั้นเธอจึงหันไปมองนางอย่างขอบคุณ
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ใช่คนเดียวกับที่เตือนพวกหลงอวี้หรือเปล่านะ