ตอนที่ 538 นักปรุงยาในดินแดนของผู้ใช้กฎ
ตอนที่ 538 นักปรุงยาในดินแดนของผู้ใช้กฎ
ปัจจุบันร่างกายของเซี่ยเฟยเต็มไปด้วยเหงื่อที่ชุ่มไปทั่วทั้งร่างกาย และถึงแม้ว่าเขาจะคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการพยายามเรียนรู้กฎแห่งการกลั่นพลังงาน แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องยากลำบากขนาดนี้ด้วยเหมือนกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากตอนที่ชายหนุ่มฝึกฝนกฎแห่งมิติมาก เพราะถึงแม้ว่าเขาจำเป็นจะต้องใช้พลังงานค่อนข้างสูง แต่มันก็ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาขัดขวางความก้าวหน้าของเขาได้
แต่สถานการณ์ในปัจจุบันค่อนข้างที่จะอยู่ในช่วงวิกฤตมาก เพราะเมื่อเขาเริ่มสร้างอักขระได้ถึง 1 ใน 5 มันก็ดูคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างมาขวางกั้นทำให้เขาไม่สามารถสร้างอักขระที่เหนือเกินกว่านั้นได้
แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด เพราะสิ่งที่เขากำลังรู้สึกแย่ที่สุดคือในระหว่างการฝึกฝนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างกายของเขากำลังเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้เขารู้สึกคล้ายกับตัวเองกำลังนั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยทะเลลาวา
ความรู้สึกเจ็บปวดจากการที่ทั่วทั้งร่างกายกำลังถูกแผดเผาทำให้เซี่ยเฟยแทบที่จะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ตรงนั้นได้ และถึงแม้ว่าเขาจะพยายามทนรับความเจ็บปวดเอาไว้ แต่คลื่นความเจ็บปวดก็ยังคงถาโถมเข้ามาและคลื่นลูกใหม่ก็มีความรุนแรงมากกว่าคลื่นลูกเก่าเสมอ
ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันมันจึงทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดการฝึกฝนเอาไว้ เขาจึงปลดกระดุมเสื้อทั้งหมดของเขาออกเพื่อพยายามระบายความร้อนให้กับร่างกาย
“ดูเหมือนว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางวัดความอดทน บางทีวิธีการของเราอาจจะผิดตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้” อันธกล่าว
“ฉันก็คิดว่าฉันกำลังหลงทางอยู่เหมือนกัน ฉันเลยหยุดการฝึกฝนเอาไว้ก่อนนี่ไง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นพลังงานถึงเป็นตัวตนที่โดดเด่นมาก เพราะการฝึกกฎแห่งการกลั่นพลังงานยากลำบากกว่าตอนที่ฉันพยายามฝึกกฎแห่งความโกลาหลเสียอีก” เซี่ยเฟยกล่าว
กฎแห่งมิติ, กฎแห่งสสารและกฎแห่งเวลาคือ 3 กฎหลักของจักรวาล การพัฒนากฎเหล่านี้จึงแบ่งออกเป็นขั้น ๆ ไล่ตั้งแต่นักรบกฎขั้นที่ 1 ไปจนถึงนักรบกฎขั้นที่ 9 จากนั้นนักรบกฎก็จะพัฒนากลายเป็นอัศวินกฎขั้นที่ 1 และอัศวินกฎก็ต้องพัฒนาไปจนถึงอัศวินกฎขั้นที่ 9 อีกเหมือนกันเพื่อที่เขาจะเริ่มท้าทายจนกลายเป็นราชากฎ
ขณะเดียวกันกฎแห่งความโกลาหลและกฎแห่งการกลั่นพลังงานก็ถือว่าเป็นกฎชนิดพิเศษ ทำให้ระดับขั้นของกฎถูกแบ่งออกเป็น 9 ขั้นเท่านั้น และถ้าหากว่าใครสามารถฝึกฝนกฎเหล่านี้ได้จนถึงขั้นที่ 9 มันก็หมายความว่าพวกเขาสามารถใช้กฎ ๆ นั้นได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามแม้แต่กฎแห่งความโกลาหลที่ชายหนุ่มได้รับมาจากเทพเจ้าดำ ก็ยังไม่เคยสร้างความเจ็บปวดให้กับเซี่ยเฟยในระหว่างการฝึกฝนแบบนี้ ซึ่งในความเป็นจริงการฝึกกฎแห่งความโกลาหลขั้นแรกก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับเขามากนัก
แต่เมื่อเขาพยายามฝึกฝนกฎแห่งความโกลาหลขั้นที่ 2 เขากลับได้พบว่าความยากลำบากในการฝึกฝนกฎขั้นนี้กลับมีความยากเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า 10 เท่า และมันก็ทำให้เขาแทบที่จะไม่สามารถพัฒนากฎแห่งความโกลาหลไปข้างหน้าได้เลย
ยังดีที่เขาสามารถที่จะรวมกฎแห่งความโกลาหลเข้ากับการใช้พลังของกฎแห่งมิติได้ ซึ่งการรวมพลังของกฎแห่งความโกลาหลเข้าไป ก็ทำให้พลังของกฎแห่งมิติมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งไปกว่านั้นกฎที่ผิดธรรมชาตินี้ยังสามารถนำมาเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของอุปกรณ์อย่างบลัดบิวเทียสได้อีกด้วย
เนื่องมาจากกฎแห่งความโกลาหลเป็นกฎที่ทรงพลังมาก ความยากลำบากในการฝึกฝนกฎ ๆ นี้จึงเป็นสิ่งที่เซี่ยเฟยยอมรับได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถฝึกฝนกฎแห่งความโกลาหลขั้นแรกได้สำเร็จ แต่เขากลับไม่สามารถฝึกฝนกฎแห่งการกลั่นพลังงานได้เลยแม้แต่ขั้นเดียว
“ฉันพอจะรู้วิธีควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายของนาย แต่นายจะสามารถสร้างอักขระของกฎได้หรือไม่ เรื่องนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของนายเอง” อันธกล่าว
คำตอบนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง เพราะถ้าหากว่าเขาสามารถลดความเจ็บปวดจากร่างกายที่โดนแผดเผาได้ เขาย่อมมีโอกาสในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดเขาก็สามารถทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปให้กับการสร้างอักขระ และไม่จำเป็นจะต้องสูญเสียสมาธิจากร่างกายที่กำลังถูกแผดเผาอีกต่อไป
“นายรู้วิธีควบคุมอุณหภูมิในร่างกายได้จริง ๆ เหรอ?” เซี่ยเฟยถามอย่างเร่งรีบ
“ฉันได้เรียนรู้วิธีการพวกนี้มาจากคลังข้อมูลของโซฟี ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันน่าจะปรุงยาได้ดีกว่าตอนที่ฉันมีชีวิตอยู่ไม่น้อยกว่าพันเท่า ส่วนการพยายามควบคุมอุณหภูมิในร่างกายก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับฉันในตอนนี้เท่านั้นแหละ”
“ขณะเดียวกันถึงแม้ว่านายจะหาสถานที่ฝึกฝนที่มีอุณหภูมิเย็นจัด แต่ท้ายที่สุดความร้อนมันก็เกิดขึ้นมาจากภายในร่างกายของนายเอง ซึ่งมันก็หมายความว่าสภาพแวดล้อมภายนอกไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้”
“แต่วิธีการของฉันจะทำให้อุณหภูมิทั้งภายนอกและภายในอยู่ในสภาวะสมดุลย์ ซึ่งมันก็น่าจะช่วยให้นายสามารถฝึกฝนได้อย่างราบรื่นมากขึ้นกว่าเดิม” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างหนักแน่นและถึงแม้ว่าเขาจะมีนิสัยขี้ระแวง แต่สำหรับอันธแล้วเขาเชื่อใจวิญญาณตนนี้ทั้ง 100% เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็อยู่ด้วยกันมานานหลายปี และอันธก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตของเขามาตั้งนานแล้ว
“โอเค ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราไปซื้อวัตถุดิบมาปรุงน้ำยากัน” เซี่ยเฟยกล่าว
—
เมืองที่เซี่ยเฟยอาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นเพียงแค่เมืองสำหรับสมาชิกใหม่ในตระกูลเท่านั้น มันจึงไม่มีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้ามาขายภายในเมืองมากนัก ดังนั้นถ้าหากว่าเขาต้องการที่จะซื้ออะไรจริง ๆ เขาก็จำเป็นจะต้องเดินทางไปยังเมืองหลักของตระกูลหยู
ในเมืองหลักมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 600,000 คน มันจึงทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดในตระกูล และมันก็เป็นแหล่งรวมสินค้าทุกชนิดของตระกูลด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันเท่าที่เขาได้สังเกตเมืองต่าง ๆ ภายในดินแดนของผู้ใช้กฎมา มันก็ดูเหมือนกับว่าดินแดนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผสมผสานความโบราณและความทันสมัยเข้าด้วยกัน
ผู้คนภายในดินแดนของผู้ใช้กฎมักที่จะใช้จักรยานลอยเป็นพาหนะในระหว่างการเดินทาง โดยจักรยานนั้นใช้พลังงานจากคริสตัลต้นกำเนิดในการเดินทาง ซึ่งคริสตัลต้นกำเนิดสีแดงเพียงแค่ก้อนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้จักรยานในดินแดนของผู้ใช้กฎสามารถเดินทางได้เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
แน่นอนว่าเนื่องจากเซี่ยเฟยเป็นผู้ใช้พลังสายความเร็ว มันจึงทำให้เขาไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาพาหนะพวกนั้นเลย เพราะเขาสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วเต็มที่ถึง 30,000 เมตรต่อวินาที การเดินทางไปไหนมาไหนภายในตระกูลหยูจึงเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับเขา
เท่าที่เขารู้อาชีพนักปรุงยาก็มีอยู่ในดินแดนของผู้ใช้กฎเช่นเดียวกัน แต่นักปรุงยามีจำนวนอยู่ค่อนข้างน้อย และสถานะของนักปรุงยาในดินแดนของผู้ใช้กฎก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก
อย่างไรก็ตามนักปรุงยาก็มีทักษะเฉพาะที่ไม่สามารถใช้พลังงานมาทดแทนน้ำยาบางส่วนได้ นักปรุงยาที่เก่งกาจจึงสามารถสร้างความร่ำรวยในดินแดนของผู้ใช้กฎได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เดินทางไปจนถึงอาการเก่า ๆ 4 ชั้นภายในเมือง ซึ่งอาคารนี้เป็นร้านขายยาเพียงแห่งเดียวในตระกูล และมันก็มีนักปรุงยาอาศัยอยู่ภายในอาคารนี้เพียงแค่ไม่กี่คน
ประตูของอาคารค่อนข้างที่จะทรุดโทรมมาก แผ่นป้ายโลหะที่ติดไว้บนกำแพงก็ทรุดโทรมเช่นเดียวกัน โดยบนป้ายที่ติดอยู่นั้นถูกเขียนเอาไว้ว่าหอสายลมหนาว
“ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่านักปรุงยาในดินแดนของผู้ใช้กฎจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“อย่าลืมนะว่าที่นี่ไม่ใช่พันธมิตร พวกนักรบกฎไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาน้ำยาในระหว่างการฝึกฝน สถานะของนักปรุงยาจึงไม่ค่อยสำคัญเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเฉยเมย
เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปในอาคารเขาก็ได้เห็นชายชรา 2 คนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่โซฟา โดยมีหญิงสาววัย 20 ปีเพียงคนเดียวบนแผงขายสินค้า คล้ายกับว่าเธอเป็นพนักงานเพียงคนเดียวของร้านค้าแห่งนี้
ชายชราทั้งสองคนเหลือบสายตามองเซี่ยเฟยเล็กน้อย เพราะมันมีนักรบเพียงแค่ไม่กี่คนที่จะเข้ามาพึ่งพาน้ำยาจากร้านค้าแห่งนี้ การปรากฏตัวของชายหนุ่มจึงเรียกความสนใจของพวกเขาได้มากพอสมควร
“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายต้องการซื้อวัตถุดิบหรือกำลังหาน้ำยาประเภทไหนอยู่คะ?” พนักงานสาวเริ่มถามเซี่ยเฟยอย่างสุภาพ
“ฉันต้องการสมุนไพรตามรายการนี้ ถ้าหากว่าชื่อของสมุนไพรอันไหนผิดให้ลองอ่านข้อความที่กำกับอยู่ด้านหลังดู บางทีเราอาจจะเรียกชื่อของสมุนไพรไม่เหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งรายชื่อสมุนไพรให้กับเธอ จากนั้นเขาก็นำผลไม้ออกมาจากแหวนมิติและยื่นผลไม้เหล่านั้นให้กับหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม
“ของพวกนี้เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากบ้านเกิดของผมเอง ถือว่าเป็นค่าบริการที่คุณช่วยหาสมุนไพรให้กับผม”
ไม่ว่าใครจะมีสถานะต่ำต้อยมากแค่ไหน แต่ถ้าหากว่าเซี่ยเฟยต้องการความช่วยเหลือเขาก็จะพูดกับคนเหล่านั้นอย่างสุภาพอยู่เสมอ
หญิงสาวเผยรอยยิ้มให้กับเซี่ยเฟยอย่างอ่อนหวาน และผลไม้แห้งจากประเทศจีนพวกนี้ก็ค่อนข้างดึงดูดความสนใจของเธอได้พอสมควร
“กรุณารอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปเตรียมสมุนไพรให้กับคุณทันทีค่ะ”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งรอบนโซฟา ซึ่งบนโต๊ะรับแขกมีชุดน้ำชากับน้ำร้อนถูกจัดเตรียมเอาไว้ เซี่ยเฟยจึงหยิบชาทิกวนอิมขึ้นมาชงในระหว่างรอหญิงสาวจัดสมุนไพรมาให้กับเขา
กลิ่นของชาทิกวนอิมฟุ้งกระจายไปทั่ว และในที่สุดมันก็สามารถดึงดูดความสนใจของชายชราทั้งสองที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
“หอมมาก! นี่พ่อหนุ่มนั่นคือชาอะไรงั้นเหรอ?” ชายชราผู้มีจมูกงุ้มกล่าวถาม
“มันชื่อชาทิกวนอิมจากดาวบ้านเกิดของผมเองครับ ลองดูไหมครับ?”
“ที่แท้มันก็เป็นชาจากพันธมิตรนี่เอง ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่เกรงใจแล้วนะ”
ชายชราทั้งสองเชิญให้เซี่ยเฟยมานั่งด้วยกัน และเนื่องจากว่าชายชราทั้งสองคนนั้นกำลังพูดคุยเรื่องการปรุงยากันอยู่ ชายหนุ่มจึงไม่คิดที่จะปฏิเสธ
หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกันเซี่ยเฟยก็ได้รู้ว่าชายชราคนหนึ่งชื่อโจวเซน ขณะที่คนชื่อหยูไค่ฉวน โดยชายชราทั้งคู่ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักปรุงยา ส่วนเหตุผลที่พวกเขานั่งอยู่ตรงนี้นั่นก็เพราะว่าพวกเขากำลังปรึกษากันเรื่องน้ำยาชนิดหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหลังจากนั่งฟังไปสักพัก แม้แต่เซี่ยเฟยที่เพิ่งได้เรียนรู้เรื่องการปรุงยาจากอันธมาเพียงแค่ไม่นานก็ยังทนฟังเรื่องที่ชายชราทั้งสองพูดคุยกันไม่ได้ เพราะน้ำยาที่ชายชรากำลังคิดจะปรุงขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถอีกรักษาผู้ที่ได้รับความเสียหายต่อพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้เท่านั้น แต่มันยังอาจจะฆ่าคนที่ดื่มน้ำยาเข้าไปด้วย
ไม่ว่ายังไงเขาก็เคยเป็นผู้ที่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้รับความเสียหายมาก่อน เขาจึงรู้ดีว่าน้ำยาที่ชายชราทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมคิดว่าบัวแดง 10 กลีบไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ลองเปลี่ยนไปใช้หญ้าซูดานดูดีไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวออกไปอย่างสุภาพและมันก็ทำให้ชายชราทั้งสองรู้สึกตกใจเล็กน้อย
“เปลี่ยนบัวแดง 10 กลีบเป็นหญ้าซูดานงั้นเหรอ? นี่นายกำลังคิดจะรักษาหรือฆ่าผู้ป่วยกันแน่!” จู่ ๆ มันก็มีเสียงอันเย็นชาดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเขา
***************