บทที่ 566: ความสามารถของหมอผีทำให้เหล่าภูตตกใจ
หูเจียวเจียวไม่ใช่แพทย์มืออาชีพ และเธอเองก็ยังไม่เคยเห็นว่ากะโหลกภูตจริง ๆ มีหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่จู่ ๆ ความคิดนี้มันก็แล่นเข้ามาในหัวของเธอเอง
ท้ายที่สุดแล้ว เด็กที่เคราะห์ร้ายเหล่านี้เป็นเด็กดี แล้วใครจะไปทำร้ายเด็กถึงขั้นเจาะหัวกะโหลกของพวกเขา?
อีกทั้งอากาศที่ร้อนระอุเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดไฟป่าสูงมาก แต่เพื่อความมั่นใจ จิ้งจอกสาวจึงดึงแขนมังกรหนุ่มมากระซิบถามว่า
“เจ้าตามหาเจ้าของบ้านไม้ที่ถูกไฟไหม้หลังนี้ได้ไหม?”
หญิงสาวสังเกตเห็นว่าพ่อแม่ของพวกเด็ก ๆ ไม่น่าจะเป็นเจ้าของบ้านเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่สนใจบ้านไม้ที่ถูกเผาจนเสียหายหนักเลย
หลงโม่พยักหน้าตอบรับ “เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้นะ”
เนื่องจากภูตมีวิธีค้นหาผู้คนที่ไม่เหมือนใคร
เพียงชั่วอึดใจ ร่างสูงก็หายเข้าไปในฝูงชนโดยที่หูเจียวเจียวรออยู่ประมาณ 10 นาทีก่อนที่จะเห็นเขากลับมาพร้อมกับภูตที่มีหนวดเคราคนหนึ่ง
“บ้านของข้า! บ้านที่ข้าเพิ่งสร้าง… เกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้ยังไง!”
เมื่อชายมีเคราคนนั้นเห็นบ้านของตัวเองเหลือแต่ตอตะโก เขาก็เบิกตากว้าง ร้องโหยหวนวิ่งเข้าไปคร่ำครวญอยู่ตรงหน้าซากบ้านของตน
ทางด้านหลงโม่ เขาเดินไปหาภรรยาสาวแล้วกระซิบพูดเสียงเบาว่า
“เขาเพิ่งกลับมาจากการล่าสัตว์ข้างนอก เขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องที่บ้านไม้ของเขาถูกไฟไหม้”
หูเจียวเจียวผงกหัวรับรู้และลองคิดว่าถ้าตัวเธอรู้ว่าบ้านของตัวเองถูกไฟไหม้ เธอจะรอจนถึงตอนนี้แล้วค่อยปรากฏตัวไหม
จากนั้นหญิงสาวก็เดินเข้าไปหาคนที่กำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนพื้น
“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเด็ก 5 คนถูกไฟคลอกตายอยู่ในบ้านของเจ้า เจ้ารู้จักพวกเขาไหม?” หูเจียวเจียวถามพลางชี้ไปทางผู้หญิงข้าง ๆ ที่กำลังกอดซากศพไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับร้องไห้จนแทบขาดใจ
ชายที่มีหนวดเคราหยุดร้องทันทีแล้วหันไปมองจิ้งจอกสาว
ปัจจุบันไม่มีใครในเผ่าไม่รู้จักหูเจียวเจียว นั่นเป็นเพราะว่าถ้าหูหลินมีเวลาว่าง เขาก็จะพาทุกคนให้มาทำความรู้จักกับเธอ
ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านเองก็จำจิ้งจอกสาวได้อย่างรวดเร็ว เขาจึงทักทายเธอด้วยความนอบน้อมก่อนจะกลั้นเสียงสะอื้นตอบว่า
“เด็กพวกนั้นถูกไฟไหม้จนอยู่ในสภาพนี้ ข้าจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้ารู้จักพ่อแม่ของพวกเขาไหม?” หญิงสาวเอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้จัก” ภูตชายไว้หนวดเคราส่ายหัว
คำตอบนั้นทำให้หูเจียวเจียวรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันแปลก ๆ ถ้าพวกเขาไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แล้วเด็กพวกนี้จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ภูตชายที่เป็นเจ้าของบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า
“ข้าเพิ่งสร้างบ้านไม้หลังนี้เสร็จไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ในช่วงระหว่างนั้นมีเด็กหลายคนชอบมาเล่นที่บ้านของข้า แล้วข้าก็ไม่ได้ไล่พวกเขาออกไป”
ชายคนนี้เป็นชายวัยกลางคน เขาค่อนข้างมีอายุแล้ว แต่ก็ยังไม่มีคู่หรือลูกเป็นของตัวเอง โดยส่วนตัวเขาเป็นคนที่รักเด็กมาก แม้ว่าพวกเด็ก ๆ จะเข้ามาก่อกวนในระหว่างที่เขาสร้างบ้านของตัวเอง ทว่าเขาก็ไม่เคยเอ่ยปากขับไล่เด็กออกไปอยู่ดี
“ข้าไม่แน่ใจว่าใช่เด็กพวกนั้นหรือเปล่า แต่พวกเขาไม่ได้มาที่นี่หลายวันแล้ว”
หูเจียวเจียวพยักหน้าเข้าใจ และถามคำถามเพิ่มเติมอีก 2-3 ข้อ
แล้วเธอก็ได้รู้ว่าชายผู้นี้กองฟืนเอาไว้ในบ้านเป็นจำนวนมากก่อนที่เขาจะออกไปล่าสัตว์ อีกทั้งในบ้านของเขาก็ยังจุดไฟเอาไว้
จากข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด หญิงสาวก็คาดเดาบางอย่างในใจ
พอหูเจียวเจียวพูดขอบคุณภูตชายที่เป็นเจ้าของบ้านเสร็จแล้ว เธอก็ไปถามพ่อแม่ของเด็กที่เสียชีวิตต่อ
ภูตหญิงที่เป็นแม่เองก็ตอบไปในทิศทางเดียวกันกับชายไว้หนวดเครา
เด็กพวกนี้มักจะออกมาเล่นด้วยกัน แต่ข้อแตกต่างมีเพียงเรื่องเดียวก็คือ เด็กผู้หญิงที่เป็น 1 ในผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนที่เก็บตัวมาก นางไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกับใครที่ไหนสักเท่าไหร่
“บางทีมันอาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้ เพราะวันนี้เด็กคนอื่นก็ถูกเรียกให้ไปเล่นด้วยกัน” หลงโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วแสดงความคิดเห็นด้วยน้ำเสียงทุ้ม
เนื่องจากทุกเบาะแสที่ได้มามันบ่งชี้ไปที่อุบัติเหตุจริง ๆ
แม้ว่าหูเจียวเจียวอยากจะสืบต่อไป แต่ด้วยข้อมูลที่รวบรวมมาทั้งหมด เธอก็ทำอะไรกับมันไม่ได้อยู่ดี
ในเวลาเดียวกัน ลูกน้องของหูหลินมาถึงที่เกิดเหตุนานแล้ว เขากำลังช่วยจัดการกับคนบาดเจ็บ แล้วก็ช่วยพยุงชายเจ้าของบ้านให้ลุกขึ้นมาช่วยกันทำความสะอาด
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีบ้านไม้อีก 2-3 หลังที่ได้รับผลกระทบ มันถูกไฟเผาวอดวายจนไม่สามารถอาศัยได้อีกต่อไป ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าเยว่หูจึงได้ออกคำสั่งให้คนมาช่วยสร้างบ้านใหม่ขึ้นมา
ถ้าเมื่อไหร่ที่มีลมพัดผ่านบ้านที่ถูกไฟไหม้ นอกจากมันจะทำให้เศษเถ้าถ่านปลิวไปตามลมแล้ว มันยังพัดพาเอาคลื่นความร้อนให้แผ่กระจายไปทั่วอีกด้วย
เมื่อหูเจียวเจียวมองไปที่ผู้หญิงที่ยังคงเช็ดน้ำตาอยู่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
“หลงโม่ พวกลูก ๆ ยังไม่กลับมาเลย เราไปตามหาพวกเขากันเถอะ”
ขณะนี้หัวใจของคนเป็นแม่เต้นเร็วขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
เธอมีลางสังหรณ์ว่ากำลังมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
แม้ว่าในความฝันจะเตือนเธอในเรื่องอันตรายของโรคระบาด แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอันตรายอื่นแฝงไว้ระหว่างที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาไม่ปกติ ดังนั้นหญิงสาวควรระมัดระวังในทุกย่างก้าว
ขณะเดียวกัน หลงโม่มองไปที่เหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผากของหูเจียวเจียว แล้วเขาก็ดึงอีกฝ่ายให้มายืนอยู่ในที่ที่มีลมพัด
“ข้าจะไปตามหาลูก ๆ เอง เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เถอะ หากข้าเจอพวกเขาแล้ว ข้าจะพาพวกเขากลับมาหาเจ้าที่นี่”
“อืม” จิ้งจอกสาวพยักหน้ารับ
ปกติมังกรหนุ่มบินได้รวดเร็วมากอยู่แล้ว ถ้าเธอดึงดันที่จะออกไปตามหาพวกหลงอวี้พร้อมกับเขา บางทีมันอาจจะทำให้ชายหนุ่มห่วงหน้าพะวงหลัง แล้วการออกตามหาลูกก็จะล่าช้ายิ่งขึ้น
ในเมื่อถ้าไปแล้วจะเป็นตัวถ่วง เธอก็ควรรั้งอยู่ที่นี่ดีกว่า
“ท่านแม่!”
หลงหลิงเอ๋อกระโดดลงจากหลังภูตคนหนึ่งก่อนจะวิ่งไปหาหูเจียวเจียว
“หลิงเอ๋อ! ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” แม่จิ้งจอกรีบเข้าไปขวางหน้าคนตัวเล็กไว้ไม่ให้นางมองเห็นสภาพศพที่อยู่บนพื้น
แม้แต่ภูตที่โตเต็มวัยก็ยังรู้สึกหวาดกลัวยามได้เห็นศพของเด็กเหล่านั้น หญิงสาวจึงรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของลูกสาวของตัวเองมาก
แต่หลังจากที่เธอคิดดูให้ดีแล้ว หลิงเอ๋อเองก็เป็นหมอผี แล้วเธอจะไปขัดขวางการทำงานของนางได้อย่างไร เพราะถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้มันคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านแม่ ท่านลุงเรียกข้าให้มาช่วยคน” หลงหลิงเอ๋ออธิบาย
นางพูดจบแล้วก็หันไปถามภูตที่พานางมาที่นี่ว่า “ท่านลุง คนที่บาดเจ็บอยู่ไหน?”
ถึงเวลานี้หูเจียวเจียวก็ไม่สามารถรั้งนางไว้ได้อีก ก่อนที่ภูตชายคนนั้นจะตอบ เธอก็ขยับไปด้านข้างเผยให้เห็นภูตชายหลายคนที่มีแผลไฟไหม้อยู่ด้านหลังเธอไม่ไกล
เมื่อเด็กหญิงเห็นรอยไหม้บนร่างกายของชายเหล่านั้น นางก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจหรือหวาดกลัวเลย
“ท่านแม่ ข้าขอตัวไปดูพวกเขาก่อนนะ”
จากนั้นหมอผีตัวน้อยก็วิ่งไปหาผู้ป่วยพร้อมกับที่มือข้างหนึ่งกระชับอยู่บนย่ามใบเล็กที่นางมักจะพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา
ท่าทางจริงจังของเด็กหญิงทำให้นางเหมือนหมอจริง ๆ
พอหูเจียวเจียวได้เห็นดังนั้นก็ทำหน้าโล่งใจแล้วเดินตามลูกสาวไปติด ๆ
แผลไฟไหม้ของภูตที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงมาก ตอนนี้มือและเท้าบางส่วนของพวกเขาถูกเผาจนดำ แถมตามร่างกายของพวกเขาก็มีส่วนที่เปลี่ยนเป็นสีดำจนแยกไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นเสื้อผ้าและส่วนไหนเป็นผิวหนังของเจ้าตัว
แล้วคนที่อยู่ในสภาพที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ ดวงตาของเขาไหม้เกรียม
ปัจจุบันคนที่บาดเจ็บสาหัสที่สุดแทบจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้ว พอเห็นหลงหลิงเอ๋อใกล้เข้ามา เขาก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเปิดปากในขณะที่เขาพยายามส่ายหัวเล็กน้อย
ต่อมา สายตาของเขาก็หันไปมองคนเจ็บคนอื่น
ท่าทางนั้นเหมือนเขาต้องการจะบอกว่า ‘ข้าคงไม่ไหวแล้ว ท่านไปช่วยรักษาคนอื่นก่อนเถอะ ช่วยพวกเขา…’
ทางด้านหลงหลิงเอ๋อรีบก้าวเข้าไปนั่งลงข้างตัวอีกฝ่ายแล้วกดมือที่ยกขึ้นของเขา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านจะไม่เป็นไร เชื่อข้าสิ!”
แม้ว่าเสียงของนางจะเล็กแหลมแต่มันฟังดูไพเราะและมีพลังมาก
ยามนี้หมอผีตัวน้อยคว้ามือของคนเจ็บเอาไว้ไม่ปล่อย
ครู่ต่อมา นางปิดตาของตัวเองลง
ทันใดนั้น ประกายแสงก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของนาง ก่อนที่มันจะค่อย ๆ กระจายไปทั่วร่างกายของภูตชายคนนั้น
ในพริบตา ผิวหนังที่เคยถูกเผาไหม้จนเปลี่ยนเป็นสีดำก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงเรืองรอง ไม่นานมันก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
จะบอกว่ามันอยู่ในสภาพเดิมก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะผิวของคนที่ได้รับการรักษาเรียบเนียนไม่ต่างจากผิวของเด็กแรกเกิดเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากหลงหลิงเอ๋อชอบใช้ทักษะการแพทย์ที่ได้ร่ำเรียนมาในการรักษาผู้คน ภูตในเผ่าจึงไม่ค่อยได้เห็นความสามารถพิเศษของหมอผีสักเท่าไหร่
เมื่อคนที่อยู่โดยรอบได้เห็นฉากนี้ก็พากันอ้าปากค้าง
“นี่คือความสามารถของหมอผีงั้นหรือ!?”
“สุดยอดมาก! แผลของเขาหายไปในพริบตา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในสภาพร่อแร่เกือบจะไปเฝ้ายมบาลอยู่แล้ว ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม!?”
ฝูงชนที่มองดูอยู่ไม่มีใครอยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลยสักคน
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ภูตที่กำลังจะตายมีสภาพกลับมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว
ทุกคนหันไปมองหมอผีตัวน้อยอีกครั้ง คราวนี้สายตาของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความชื่นชมและความเคารพ
แต่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่าท่ามกลางฝูงชนมีดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งกำลังกวาดมองหลงหลิงเอ๋อกับหูเจียวเจียว และไม่นานคนคนนั้นก็หายไป