ตอนที่ 536 ขายศพกิน
ตอนที่ 536 ขายศพกิน
เซี่ยเฟยไม่รู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของศพหนอนด้วงมิติควรจะมีราคาเท่าไหร่ เขาจึงแค่ต่อรองราคาออกไปตามความรู้สึกของเขาเท่านั้น
ความเป็นจริงการขายศพ ๆ นี้ได้สัก 400 คริสตัลขาวก็ถือว่าเป็นมูลค่ามหาศาลสำหรับเขาแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงพยายามรักษาความสงบเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังจะเป็นบ้า เมื่อได้เห็นเงินมูลค่ามหาศาลเช่นนี้
“ใช่ครับ มันคือหนอนด้วงมิติที่ถูกฆ่าตายในระหว่างที่มันกำลังจะพัฒนา”
คำอธิบายของเซี่ยเฟยได้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนอีกครั้ง เพราะเพียงแค่การที่เซี่ยเฟยสามารถสังหารหนอนด้วงมิติได้ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากพออยู่แล้ว มันจึงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการที่ชายหนุ่มคนนี้สามารถสังหารหนอนด้วงมิติที่กำลังพัฒนาเลย
หากหนอนด้วงได้พัฒนาจนกลายเป็นด้วงมิติ ขนาดตัวของมันก็จะหดสั้นลงทำให้มีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ด้วงมิติยังมีกรงเล็บอันแหลมคมทำให้พลังการโจมตีของด้วงมิติมากกว่าหนอนด้วงมิติไม่น้อยไปกว่า 3 เท่า
ดังนั้นถ้าหากว่าเซี่ยเฟยปล่อยให้หนอนด้วงมิติเกิดการพัฒนา มันก็ไม่มีทางที่เขาจะได้รับชัยชนะกลับมาอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะมีทักษะพิเศษที่เอาไว้ใช้ในการป้องกันตัวเองมากมายแค่ไหนก็ตาม
ขณะเดียวกันฟันบนซากศพของหนอนด้วงมิติก็สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างอาวุธที่ทรงพลังได้ ส่วนเปลือกแข็งบนตัวของมันก็สามารถนำไปใช้สร้างชุดเกราะได้เหมือนกัน มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมศพของสัตว์ประหลาดเพียงตัวเดียวถึงมีมูลค่าสูงมากขนาดนี้
แน่นอนว่าศพของหนอนด้วงมิติที่กำลังพัฒนาย่อมมีมูลค่ามากยิ่งกว่า เพราะมันหมายความว่าหนอนด้วงตัวนี้มีร่างกายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดที่พร้อมจะพัฒนากลายเป็นขั้นต่อไปแล้ว ซึ่งการจะหาร่างที่สมบูรณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่าย ๆ
แต่น่าเสียดายที่บลัดบิวเทียสได้ดูดเลือดภายในร่างของหนอนด้วงมิติไปจนหมด จนทำให้ร่างของมันเหี่ยวเฉาลงเหมือนมัมมี่และทำให้คุณค่าของศพลดลงไปกว่าเดิม
“ในเมื่อหนอนด้วงมิติตัวนี้กำลังจะพัฒนา ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า พวกเราขอซื้อศพของมันในราคา 800 คริสตัลขาว ไม่ทราบว่าคุณพอใจกับราคานี้ไหม?” ม่อเทียนหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
“บางทีการเอาศพนี้กลับไปที่ตระกูลน่าจะดีกว่าละมั้ง” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเป็นลำบากใจ
เสียงพึมพำของเซี่ยเฟยทำให้สองพี่น้องผู้อาวุโสตระกูลม่อตกใจเล็กน้อย โดยเฉพาะม่อเทียนไห่ที่กำลังรู้สึกหงุดหงิดภายในใจ เพราะเงินจำนวน 800 คริสตัลขาวก็ถือว่าเป็นเงินจำนวนมากสำหรับตระกูลม่อเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นศพ ๆ นี้ยังเป็นศพที่แห้งเหมือนกับมัมมี่ มูลค่าของตัวศพจึงสมควรจะลดลงไปจากเดิมไม่น้อยไปกว่า 3 เท่า
“1,000 คริสตัลขาว!! นี่คือราคาที่สูงที่สุดที่ตระกูลม่อสามารถเสนอได้แล้ว” ม่อเทียนหลินตะโกนออกไปเสียงดัง
เซี่ยเฟยแอบลอบสังเกตดูปฏิกิริยาของชายชรา และเขาก็ได้พบว่าชายชราหนวดขาวคนนี้กำลังรู้สึกลนลานอยู่จริง ๆ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าราคาที่พวกเขาเสนอมาถึงขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว
“โอเค ผมขายให้ก็ได้ครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“โอ้พระเจ้า! 1,000 คริสตัลขาวตอนนี้พวกเรารวยแล้ว!!” อันธตะโกนขึ้นมาด้วยแววตาอันเป็นประกาย
—
ตระกูลม่อดูเหมือนจะไม่ได้รีบร้อนรายงานเรื่องนี้ไปยังตระกูลหยู มันจึงทำให้เซี่ยเฟยต้องอยู่ในตระกูลม่อต่อไปเป็นเวลาอีก 2 วัน
เซี่ยเฟยเพิ่งจะมีโอกาสได้เดินทางเข้ามาในดินแดนของผู้ใช้กฎเป็นครั้งแรก และเขาก็ยังไม่มีประสบการณ์ในดินแดนแห่งนี้มากนัก มันจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่เขาจะได้มีโอกาสท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น เขาจึงใช้ช่วงเวลา 2 วันที่ผ่านมานี้ในการสำรวจว่าตระกูลม่อมีความแตกต่างจากตระกูลหยูยังไงบ้าง
ฐานที่ตั้งของตระกูลม่อคือดาวเคราะห์แตกต่างจากตระกูลหยูที่ใช้ชีวิตอยู่บนยานอวกาศขนาดใหญ่ ซึ่งหลังจากที่เขาได้รับฟังคำบอกเล่าของคนอื่นมา มันก็ดูเหมือนกับว่าสิทธิ์ในการได้ครอบครองยานอวกาศขนาดใหญ่เป็นสิทธิพิเศษของตระกูลที่ทรงพลังเท่านั้น
แม้ว่าทุกวันนี้ตระกูลหยูจะไม่ได้มีความรุ่งโรจน์เหมือนกับในอดีต แต่ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงภายในดินแดนแห่งนี้มาก มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับสิทธิ์ในการครอบครองยานอวกาศขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นสถานที่ตั้งของตระกูล
พลังของกฎที่ตระกูลม่อใช้คือกฎแห่งสสารแตกต่างจากตระกูลหยูที่ใช้กฎแห่งมิติ ส่วนความถนัดของตระกูลม่อก็คือการสร้างกับดัก โดยการใช้กฎแห่งสสารเปลี่ยนสภาพภูมิประเทศอย่างรวดเร็ว
วิธีการต่อสู้ของตระกูลม่อไม่ใช่วิธีการต่อสู้แบบตรง ๆ แต่มันก็ถือว่าเป็นวิธีการต่อสู้ที่ทรงประสิทธิภาพมากเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ใช้กฎที่มีประสบการณ์สามารถที่จะสร้างกับดักนับร้อยขึ้นมาได้ด้วยการสะบัดมือออกไปเพียงแค่ครั้งเดียว มันจึงทำให้คู่ต่อสู้ยากที่จะหลบหนีออกไปจากสนามรบได้เมื่อทั่วทุกทิศทางได้ถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยกับดัก
ระหว่างที่เซี่ยเฟยอยู่ที่นี่มู่เสียวเต๋าก็คอยอธิบายเรื่องกฎแห่งสสารให้ชายหนุ่มฟัง ซึ่งหลังจากที่พวกเขาเริ่มคุ้นเคยกันความคิดที่จะสังหารอีกฝ่ายภายในใจของเซี่ยเฟยก็ค่อย ๆ จางหายไป
เมื่อมู่เสียวเต๋าไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยบททดสอบของดาวเคราะห์มรดก ชายคนนี้ก็ดูเหมือนจะมีนิสัยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และเขาก็ได้แสดงถึงด้านที่ตลกขบขันรวมถึงไม่ได้มีความเย่อหยิ่งเหมือนกับในอดีตตอนที่พวกเขายังคงเป็นศัตรูกันอยู่
3 วันต่อมาคนจากตระกูลหยูก็เดินทางมาจนถึงตระกูลม่อในที่สุด แต่มันก็ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าคนที่เดินทางมารับตัวเซี่ยเฟยจะเป็นถึงหยูฮัวคู่ซึ่งเป็นราชากฎคนที่ 2 ของตระกูล
เซี่ยเฟยรู้สึกสงสัยมากว่าหยูฮัวถอนตัวออกมาจากเรื่องภายในตระกูลทำไม โดยเฉพาะหยูเจียงที่ไม่ควรจะปล่อยให้ผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลออกมาเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
หลังจากทักทายผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลม่ออย่างนอบน้อมและได้มอบของขวัญแทนคำขอบคุณ ในที่สุดหยูฮัวก็ได้นำเซี่ยเฟยออกมายังประตูมิติเพื่อพร้อมจะนำตัวเขากลับไปยังตระกูลหยู
“นั่นคือประตูมิติแบบมั่นคงที่ไม่เพียงแต่จากเอาไว้เคลื่อนย้ายผู้คนได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถใช้ขนส่งสินค้าเป็นจำนวนมากได้อีกด้วย ส่วนเข็มทิศมิติเป็นเครื่องสร้างประตูมิติขนาดย่อเพื่อเอาไว้ใช้ในการเดินทางอย่างสะดวกสบาย มันเลยเป็นที่นิยมมากกว่า”
“เอาล่ะครั้งนี้เราจะไม่ได้เดินทางผ่านเข็มทิศมิติแต่จะเดินทางผ่านประตูมิตินี้โดยตรง นายจะได้มีประสบการณ์ใหม่ ๆ บ้างว่าประตูมิติทั้งสองแบบมันมีความแตกต่างกันยังไง” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับชี้ไปยังประตูมิติขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะถูกตั้งอยู่ตรงนั้นมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว
ในความเป็นจริงหยูฮัวก็สามารถที่จะเดินทางผ่านมิติโดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ประตูมิติได้ด้วยเหมือนกัน เพราะเขาเป็นถึงราชากฎขั้นที่ 7 ที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในตระกูลรองจากหยูเจียงที่เป็นผู้นำตระกูลเท่านั้น
เซี่ยเฟยไม่รู้จริง ๆ ว่าชายคนนี้จงใจเก็บซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้ทำไม ทั้ง ๆ ที่สถานะของเขาก็ไม่ควรจะด้อยไปกว่าตำแหน่งรองผู้นำตระกูลเลย
ประตูมิติแบบมั่นคงถูกสร้างขึ้นมาจากแท่นโลหะรูปวงกลม และดูเหมือนจะถูกติดตั้งกลไกซึ่งเป็นกฎแห่งมิติเข้าไป ทำให้มันกลายเป็นประตูมิติที่มีเสถียรภาพสามารถที่ให้ฝูงชนและวัตถุขนาดใหญ่เคลื่อนที่ผ่านประตูบานนี้ไปได้ตามใจชอบ
“รบกวนด้วย” หยูฮัวกล่าวกับนักรบที่ดูแลประตูด้วยรอยยิ้ม และทันใดนั้นสัญลักษณ์ที่ประตูก็เริ่มหมุนตามเข็มนาฬิกาด้วยความรวดเร็ว ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่กี่วินาทีประตูทั้งบานก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง
ในที่สุดแสงสว่างที่ถือกำเนิดขึ้นมานั้นก็รวมตัวกันจนกลายเป็นกระจกใส ที่ทำให้เซี่ยเฟยสามารถมองเห็นภาพของตัวเองกระท้อนกระจกออกมาได้อย่างชัดเจน
“เชิญพวกคุณทั้งสองคนผ่านมันไปได้เลยครับ” นักรบผู้เฝ้าประตูกล่าวอย่างเคารพ
หยูฮัวส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไปในกระจกใสคล้ายกับเขาได้เดินเข้าไปในม่านน้ำ มันจึงก่อให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นมาหลายชั้นก่อนที่มันจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมในเวลาเพียงแค่ไม่นาน
เซี่ยเฟยก้าวเท้าตามหยูฮัวเข้าไปเช่นเดียวกัน และทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามาภายในกระจกเขาก็ได้พบกับตระกูลหยูที่อยู่ด้านหน้าห่างไปไม่ไกล
เมื่อเทียบกับการเดินทางผ่านเข็มทิศมิติในครั้งก่อนแล้ว การเดินทางผ่านประตูมิติแบบนี้ดูดีกว่ามาก เพราะไม่ว่าระยะทางระหว่างทั้งสองจะห่างไกลแค่ไหน แต่เขาก็สามารถร่นระยะทางให้พื้นที่ทั้งสองจุดอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น
“นี่มันเร็วกว่าการวาร์ปครั้งที่แล้วเสียอีก! ถ้าหากว่านายมีประตูนี้นายก็คงจะสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ตามที่นายต้องการ” อันธอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เซี่ยเฟยพยักหน้าและกำลังตั้งข้อสงสัยภายในใจว่าเขาสามารถติดตั้งประตูบานนี้เอาไว้ใช้ส่วนตัวได้หรือไม่ เพราะถ้าหากว่าเขามีประตูส่วนตัวเขาก็สามารถกลับไปยังพันธมิตรได้ตลอดเวลา และถ้าหากว่าเขาคิดถึงแอวริลเขาก็แค่ต้องเดินผ่านประตูไปหาเธอเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
“หึ! ฉันไม่คิดเลยว่านายจะเป็นพวกสายพันธุ์แมลงสาบที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้แบบนี้” หยูชิชิกอดอกพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจเมื่อเธอได้เห็นเซี่ยเฟยกลับมาพร้อมกับหยูฮัว
“ฉันขอโทษด้วยที่ทำให้เธอผิดหวัง” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากพูดจบชายหนุ่มก็เดินผ่านหยูชิชิไปโดยไม่ได้หันหน้ามามองหญิงสาวคนนี้อีก ส่วนหยูฮัวก็เดินทางเข้าไปทักทายกลุ่มชายฉกรรจ์หลาย ๆ คนที่เดินทางมารอต้อนรับเขาด้วยเช่นกัน
“เป็นแค่นักรบกฎขั้นที่ 2 จะทำตัวเย่อหยิ่งอะไรนักหนา!” หยูชิชิอุทานออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อได้เห็นท่าทางอันไม่แยแสของเซี่ยเฟย
“ฉันไม่ใช่นักรบกฎขั้นที่ 2 แต่เป็นนักรบกฎขั้นที่ 4 ต่างหาก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับชูนิ้วขึ้นมา 4 นิ้ว
“ขั้นที่ 4!!” หยูชิชิอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ และมันก็สามารถเรียกสายตาแห่งความประหลาดใจของชายฉกรรจ์คนอื่น ๆ ได้เช่นกัน
เซี่ยเฟยเพิ่งจะหายตัวไปเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น แต่เขากลับสามารถเลื่อนระดับพลังได้ถึง 2 ขั้นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งมันถือว่าเป็นการเลื่อนระดับพลังด้วยความเร็วที่น่าตกใจมาก
เซี่ยเฟยเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองหญิงสาวอีก ซึ่งมันก็ทำให้หยูชิชิรู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก เพราะเธอไม่เคยถูกใครเมินแบบนี้มาก่อนในชีวิต และทุกครั้งที่เธอพยายามจะแกล้งเซี่ยเฟยเธอก็มักที่จะถูกเขาโต้ตอบกลับมาอย่างเจ็บแสบทุกครั้ง
“คุณหนู เซี่ยเฟยคนนี้แข็งแกร่งมาก ความเร็วในการเลื่อนระดับของเขาเร็วกว่าท่านเสี่ยวเป่ยด้วยซ้ำ” สาวใช้คนหนึ่งพูดกระซิบขึ้นมาข้างหูหยูชิชิเบา ๆ
“อย่ามาพูดแบบนี้นะ! ไม่มีใครแข็งแกร่งเทียบกับท่านพี่ได้ แม้ว่าเขาจะสามารถเลื่อนระดับพลังได้อย่างรวดเร็ว แต่อุปสรรคครั้งใหญ่ในขั้นที่ 6 ก็ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ง่าย ๆ ยิ่งในวันนี้เขาพยายามกระโดดสูงมากเท่าไหร่ ในอนาคตเขาก็จะตกลงมาได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเท่านั้น” หยูชิชิกัดฟันกล่าวอย่างไม่พอใจ
—
เมื่อเซี่ยเฟยได้เดินทางไปยังท่าน้ำเขาก็ได้พบกับหยูเจียงที่กำลังนั่งตกปลาอยู่ที่เดิม แต่ในคราวนี้สายตาที่ชายชราได้มองกลับมาก็ค่อนข้างที่จะแตกต่างไปจากเดิมอยู่เล็กน้อย
“ฉันได้ลองตรวจสอบข้อมูลของนายตั้งแต่ตอนที่อยู่ในพันธมิตรแล้ว และฉันก็ได้รู้ว่านายเป็นพวกบ้าที่มักจะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่ฉันก็ไม่คิดจริง ๆ ว่านายจะยังมีนิสัยแบบนั้นหลังจากที่ได้เข้ามาในดินแดนของผู้ใช้กฎ”
“ความจริงนิสัยแบบนายในดินแดนของผู้ใช้กฎก็ถือว่าเป็นนิสัยที่โอเคแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้นายยังมีระดับพลังที่อ่อนแอมากเกินไป แล้วมันก็อาจจะทำให้นายตกเป็นเป้าหมายของคนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้มแต่คำพูดของเขาได้ซ่อนคำตำหนิเอาไว้เล็กน้อย
“ที่ผมทำแบบนั้นเพราะพวกเขาคือศัตรู” เซี่ยเฟยกล่าว
“ถ้าเป็นศัตรูก็ต้องถูกฆ่าให้ตายใช่ไหม?” ชายชรากล่าวถาม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“นิสัยของนายเด็ดขาดดีจริง ๆ เอาล่ะครั้งนี้ฉันจะช่วยจัดการเรื่องของนายในตระกูลให้ แต่นายต้องจำเอาไว้ว่าฉันจะช่วยเหลือนายแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องและถามขึ้นมาว่า
“ฉันได้ยินมาว่านายเป็นคนฆ่าหนอนด้วงมิติตัวนั้นใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“ถึงแม้ว่าตอนนี้นายจะพัฒนาจนกลายเป็นนักรบกฎขั้นที่ 4 แต่นายก็ไม่มีพลังที่จะสังหารหนอนด้วงมิติตัวเต็มวัยเพียงลำพังได้อยู่ดี นายใช้กลอุบายอะไรในการสังหารมันกันแน่?” หยูเจียงถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ
เซี่ยเฟยคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องมีคนถามคำถามแบบนี้ออกมา เขาจึงเตรียมคำตอบเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว
ชายหนุ่มกุเรื่องขึ้นมาว่าเขาได้พบกับนักรบที่แข็งแกร่งในระหว่างที่เขาได้หลุดเข้าไปในช่องว่างมิติโดยบังเอิญ และนักรบคนนั้นก็สู้กับหนอนด้วงมิติจนได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่าย เมื่อนักรบคนนั้นหนีจากไปเซี่ยเฟยก็ได้ฉวยโอกาสจู่โจมหนอนด้วงมิติต่อเป็นผลให้เขาได้รับชัยชนะ แม้ว่ามันจะทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างยากลำบากก็ตาม
ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในช่องว่างมิติอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าเซี่ยเฟยจะเล่าเรื่องออกไปแบบไหนแต่มันก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ได้
แน่นอนว่าทั้งหยูเจียงและหยูฮัวต่างก็ไม่เชื่อเรื่องที่เซี่ยเฟยเล่า แต่ถ้าหากชายหนุ่มคนนี้ไม่คิดที่จะบอกความจริงพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของเซี่ยเฟยในปัจจุบันคือหนึ่งในนักรบอัจฉริยะของตระกูล และเมื่อเวลาผ่านไปเซี่ยเฟยย่อมต้องกลายเป็นเสาหลักที่ช่วยฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของตระกูลหยูอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดที่จะบังคับให้ชายหนุ่มเล่าเรื่องนี้ออกมาเว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจเล่าทุกอย่างด้วยตัวเอง
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก หยูเจียงก็เริ่มเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องสวนเสือคำรามที่เขามอบหน้าที่ให้เซี่ยเฟยไปดูแล
“เอาล่ะนายกลับไปดูสวนเสือคำรามของนายต่อเถอะ ตอนนี้ที่นั่นค่อนข้างจะคึกคักมากกว่าเดิมพอสมควร” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้มเพื่อเป็นการจบบทสนทนาระหว่างเขากับเซี่ยเฟย
***************
คึกคักที่บอกนี่ในทางที่ดีไหมนะ?