ตอนที่ 535 ตระกูลม่อ
ตอนที่ 535 ตระกูลม่อ
การที่จู่ ๆ เซี่ยเฟยได้มาพบกับมู่เสียวเต๋าในดินแดนของผู้ใช้กฎทำให้เขารู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นครั้งหนึ่งชายคนนี้ยังเคยมีความคิดที่จะฆ่าเขา แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่เซี่ยเฟยจะมีความคิดที่จะฆ่าอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
แต่ในกรณีของมู่เสียวเต๋าค่อนข้างที่จะพิเศษเล็กน้อย เพราะพวกเขาเคยเป็นศัตรูกันถึงสองครั้งแต่มู่เสียวเต๋าก็สามารถที่จะหลบหนีไปได้ทั้งสองครั้งเช่นเดียวกัน
เซี่ยเฟยจึงเริ่มสงสัยว่าชายคนนี้ได้รับการปกป้องจากเทพเจ้าแห่งโชคชะตาหรือเปล่า เพราะมีศัตรูเพียงแค่ไม่กี่คนที่สามารถหลุดพ้นไปจากน้ำมือของเขาได้ แล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงคนที่สามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเขาไปได้ถึงสองครั้ง
เมื่อมู่เสียวเต๋าเห็นเซี่ยเฟย เขาก็เผยรอยยิ้มทักทายออกมาในทันที แต่รอยยิ้มในครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาสังหารแฝงอยู่ในนั้น แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นรอยยิ้มของเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน
เซี่ยเฟยพยักหน้าทักทายอีกฝ่ายเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ยังมีผู้ใช้กฎอยู่รอบ ๆ ตัวของเขาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะต้องการจัดการกับมู่เสียวเต๋ามากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวในเวลานี้ได้อยู่ดี
ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็เป็นกลุ่มผู้ใช้กฎที่เขาไม่คุ้นเคย และการต่อสู้กับหนอนด้วงมิติก็ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่อ่อนล้ามาก ดังนั้นในปัจจุบันการพยายามเอาตัวเองให้รอดจึงเป็นความสำคัญลำดับที่ 1
ฟุบ!
ทันใดนั้นมันก็มีร่างของชายชรา 2 คนปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนต่างก็ดูเหมือนกันเกือบทุกอย่าง ยกเว้นว่าคนหนึ่งมีหนวดเคราสีขาว ขณะที่อีกคนมีหนวดเคราสีดำ
“คุณเป็นคนฆ่าหนอนด้วงมิติตัวนี้งั้นเหรอ?” ชายชราหนวดดำถาม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับเป็นคำตอบ
“ฉันขอถามได้ไหมว่าคุณเป็นใคร? มาจากตระกูลไหน?”
“ฉันชื่อเซี่ยเฟย เป็นคนของตระกูลหยู” เซี่ยเฟยกล่าว
“ตระกูลหยูที่ใช้กฎแห่งมิติงั้นเหรอ?” ชายชราหนวดขาวถาม
“ใช่ครับ”
“ที่แท้เขาก็เป็นนักสู้จากตระกูลหยูนี่เอง ดูเหมือนว่าที่ตระกูลหยูอยู่เงียบ ๆ ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานั้นก็เพราะว่าพวกเขาซุ่มฝึกฝนเยาวชนที่โดดเด่นแบบนี้อยู่นี่เอง” ชายชราทั้งสองพยักหน้าและพูดออกมาพร้อมกัน
“ว่าแต่ตอนนี้คุณมีพลังอยู่ในขั้นไหนแล้ว?” ชายชราหนวดดำถามอย่างสับสนเล็กน้อย เพราะเซี่ยเฟยดูไม่เหมือนผู้เชี่ยวชาญในสายตาของเขาเลย แต่ศพของหนอนด้วงมิติที่เหี่ยวเฉาก็อยู่ข้างกายชายหนุ่มคนนี้เพียงคนเดียว มันจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเซี่ยเฟยย่อมมีความเกี่ยวข้องกับความตายของหนอนด้วงมิติจริง ๆ
“ขั้นที่ 4 ครับ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบกลับไปเบา ๆ
“โอ้! ไม่น่าเชื่อว่าตระกูลหยูจะแอบซ่อนอัศวินกฎขั้นที่ 4 ที่อายุน้อยขนาดนี้เอาไว้ด้วย”
“ผู้อาวุโสพวกคุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้มีพลังระดับอัศวินกฎแต่เป็นเพียงแค่นักรบกฎขั้นที่ 4 เท่านั้น” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างลำบากใจเมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว
ช็อก!
โคตรช็อก!
เหล่าบรรดาผู้ใช้กฎทุกคนที่ได้ยินต่างก็แทบที่จะหยุดหายใจ เพราะใครจะไปคิดว่านักรบกฎขั้นที่ 4 จะสามารถจัดการกับหนอนด้วงมิติได้แบบนี้
หากพวกเขานำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟัง มันย่อมไม่มีใครเชื่อถือคำพูดของพวกเขาอย่างแน่นอน
“ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหมว่าเขาเป็นเพียงแค่นักรบกฎขั้นที่ 4 เท่านั้น”
“มันอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้ นักรบกฎที่ไหนจะจัดการกับหนอนด้วงมิติได้แบบนี้”
ฝูงชนเริ่มถกเถียงกันพร้อมกับส่งสายตามองมาทางเซี่ยเฟยอย่างสงสัย
“คุณเป็นนักรบกฎขั้นที่ 4 จริง ๆ งั้นเหรอ?” ชายชราหนวดดำกล่าวถามอีกครั้ง
“ใช่ครับ”
“เอิ่ม… แม้แต่นักรบกฎของตระกูลหยูก็สามารถสังหารหนอนด้วงมิติได้โดยลำพังสินะ…” ชายชราหนวดดำกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
ในระหว่างนั้นมู่เสียวเต๋าก็แอบยกนิ้วให้กับเซี่ยเฟยอย่างเงียบ ๆ
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเหยเกเท่านั้น เมื่อทุกคนต่างก็ดูเหมือนจะเข้าใจผิดในสถานการณ์นี้ไปกันใหญ่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเฟยยังมีความรู้สึกแปลก ๆ ต่อมู่เสียวเต๋า เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยห้ำหั่นกันมาแล้วถึง 2 ครั้งจริง ๆ แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเกลียดชายคนนี้เลย ตัวตนของชายคนนี้จึงค่อนข้างจะเป็นศัตรูที่พิเศษสำหรับเขาอยู่เล็กน้อย
ขณะเดียวกันความอยากรู้อยากเห็นของผู้ใช้กฎกลุ่มนี้ที่มีต่อเซี่ยเฟยก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย แต่มันก็ยังไม่มีใครสามารถหาข้อสรุปที่แท้จริงได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาคิดเหมือน ๆ กันคือเซี่ยเฟยจะต้องปกปิดความจริงบางส่วนเอาไว้อย่างแน่นอน
“ขอโทษนะครับว่าแต่ที่นี่คือที่ไหน? แล้วผมจะกลับไปที่ตระกูลหยูได้ยังไง?” เซี่ยเฟยถามเพื่อหาทางออก เพราะท้ายที่สุดเขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งอธิบายให้คนพวกนี้ฟัง
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบลัดบิวเทียส, หงส์ครามและกฎแห่งความโกลาหลต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นความลับที่เขาต้องเก็บงำเอาไว้ ดังนั้นยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นผลดีสำหรับเขามากเท่านั้น
“ที่นี่คือฐานของตระกูลม่อ ฉันชื่อม่อเทียนหลิน ส่วนนี่พี่ชายของฉันม่อเทียนไห่ พวกเราทั้งสองคนคือผู้อาวุโสของตระกูล ส่วนเรื่องส่งคุณกลับไปยังตระกูลหยูไม่ใช่เรื่องยาก แต่ได้โปรดรอสักครู่พวกเรา 2 พี่น้องขอปรึกษากันสักพัก” ชายชราหนวดขาวกล่าว
หลังจากที่ชายชราหนวดขาวกล่าวจบร่างของเขากับชายชราหนวดดำก็หายไปในทันที
“เราเก็บเขาเอาไว้ไม่ได้!” ม่อเทียนไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
“ทำไม?”
“หากเขาสามารถสังหารหนอนด้วงมิติได้ตั้งแต่ที่เขาเป็นเพียงแค่นักรบกฎขั้นที่ 4 ในอนาคตเขาก็จะต้องกลายเป็นเสาหลักของตระกูลหยูอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าหากพวกเราสังหารเขาตั้งแต่วันนี้ มันก็จะเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้ตระกูลหยูฟื้นฟูความรุ่งโรจน์กลับมาได้อีกครั้ง” ม่อเทียนไห่กล่าวพร้อมกับปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างดุเดือด
“เฮ้พี่ชาย! นี่นายเชื่อเรื่องที่เขาพูดจริง ๆ งั้นเหรอ? ฉันไม่คิดว่าระดับพลังของเขาจะอยู่แค่นักรบกฎหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่พวกเราพูดคุยกันเขายังไม่ได้แสดงท่าทางเกรงกลัวพวกเราออกมาเลยแม้แต่น้อย แล้วคนแบบนี้จะเป็นเพียงแค่นักรบกฎระดับ 4 ได้ยังไง” ม่อเทียนหลินกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ฉันพยายามสังเกตโดยละเอียดแล้วนะ ฉันว่าระดับพลังของเขายังอยู่ในระดับที่ต่ำมากจริง ๆ” ม่อเทียนไห่ยังคงยืนยันความคิดของตัวเอง
“ปกตินักรบพรสวรรค์ของตระกูลมักจะถูกกำชับเรื่องการปกปิดระดับพลังเอาไว้อยู่แล้ว ฉันถามจริง ๆ ว่าถ้าหากเขาเป็นเพียงนักรบกฎขั้นที่ 4 เขาจะสามารถทำแบบนี้ได้จริง ๆ เหรอ ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็จะต้องเป็นคนสำคัญของตระกูลหยูที่มีระดับพลังที่โดดเด่นมาก และถ้าหากว่าเราทำอะไรเขาขึ้นมามันก็ไม่มีทางที่ตระกูลหยูจะปล่อยพวกเราไปอย่างแน่นอน การทำลายเสาหลักของตระกูลหยูลงไปแบบนี้มันก็ไม่ใช่การทำลายตระกูลหยูในอนาคตลงหรอกเหรอ?”
“แม้ว่ามันจะมีข่าวลือถูกปล่อยออกมาอย่างกว้างขวางว่าตระกูลหยูกำลังตกต่ำจนใกล้จะล่มสลายแต่หยูเจียงยังไม่ตาย นอกจากนี้ตระกูลหยูยังมีหยูฮัวอยู่ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นแม้ว่าหยูเจียงจะเป็นอะไรไป แต่มันก็ไม่มีทางที่ตระกูลหยูจะล้มสลายเหมือนกับในข่าวลืออย่างแน่นอน” ม่อเทียนหลินกล่าวให้เหตุผล
“การวิเคราะห์ของนายฟังดูสมเหตุสมผลดี ท้ายที่สุดหยูฮัวก็เป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถปลดล็อกพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ 100% และยังพัฒนามาเป็นราชากฎได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่ายังไงตระกูลหยูก็คงจะไม่มีทางล้มสลายง่าย ๆ อย่างที่นายว่านั่นแหละ” ม่อเทียนไห่กล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
โชคดีที่เซี่ยเฟยไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างชายชราทั้งสอง เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าหยูฮัวที่นำเขามาสู่ดินแดนของผู้ใช้กฎจะเป็นราชากฎผู้แข็งแกร่งด้วยเหมือนกัน
อย่าลืมว่าหยูฮัวเลือกเส้นทางการเป็นพ่อค้าไม่ใช่นักสู้ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากที่พ่อค้าจะมีระดับพลังที่สูงมากขนาดนี้
“แล้วพวกเราควรจะทำยังไงกันดี?” ม่อเทียนไห่กล่าวถามความคิดเห็น
“พวกเราควรแจ้งให้ตระกูลหยูมารับตัวเขาไป ฉันคิดว่าข่าวลือเรื่องตระกูลหยูไม่น่าจะใช่ความจริง ดังนั้นพวกเราไม่ควรทำตัวเป็นศัตรูกับพวกเขา และการหยิบยื่นความช่วยเหลือครั้งนี้มันก็น่าจะทำให้พวกเรามีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันมากขึ้นกว่าเดิม” ม่อเทียนหลินกล่าว
“เฮ้อ! น่าเสียดายที่ตอนนี้ตระกูลหยูยังแข็งแกร่งกว่าพวกเรา ไม่อย่างนั้นนะ…” ม่อเทียนไห่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจด้วยความเสียดาย
—
เซี่ยเฟยเพิ่งจะเดินทางมายังดินแดนของผู้ใช้กฎได้เพียงแค่ไม่นาน และเขาก็ยังไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ได้ซ่อนอันตรายเอาไว้มากแค่ไหน แล้วถึงแม้ว่าเขาจะเคยเห็นคนที่ทำร้ายคนอื่นเพื่อความรุ่งโรจน์ของตัวเองมาก่อน แต่เขาก็ยังคงประเมินคนในดินแดนของผู้ใช้กฎต่ำเกินไป
เนื่องจากทุกคนในดินแดนนี้พร้อมจะเหยียบย่ำผู้พลาดพลั้งตลอดเวลา และพวกเขาก็คิดอยู่เสมอว่าพวกเขาจะทำอย่างไรถึงจะทำให้คู่แข่งของพวกเขาหายไปจากดินแดนแห่งนี้
พันธมิตร?
ในดินแดนของผู้ใช้กฎไม่เคยมีคำว่าพันธมิตร!!!
ในระหว่างที่ม่อเทียนไห่กับม่อเทียนหลินกำลังปรึกษาหารือกันว่าจะสังหารเซี่ยเฟยดีหรือเปล่า มู่เสียวเต๋าก็ได้ฉวยโอกาสนี้เดินเข้าไปพูดคุยกับเซี่ยเฟย
“นักรบกฎขั้นที่ 4 งั้เนหรอ? ฉันไม่คิดจริง ๆ ว่าพวกเราจะได้มาพบกันที่นี่อีกครั้ง” มู่เสียวเต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้านายมาได้แล้วทำไมฉันจะมาไม่ได้” เซี่ยเฟยถามกลับ
“คนที่เดินทางมาที่นี่ได้จะต้องได้รับการคัดเลือกจากตระกูลอย่างลับ ๆ และจะต้องผ่านการทดสอบของดาวเคราะห์มรดกให้ได้เสียก่อน แต่ในกรณีของนายแล้วนายทั้งไม่ได้รับการคัดเลือกจากตระกูลใด ๆ และนายก็ยังไม่ผ่านบททดสอบของดาวเคราะห์มรดกด้วย ดังนั้นมันก็หมายความว่าจู่ ๆ นายก็ได้รับสิทธิพิเศษในการเดินทางมาในดินแดนของผู้ใช้กฎโดยตรงเลยใช่ไหม?” มู่เสียวเต๋ากล่าว อธิบายความคิดของตัวเองออกมา
“นายผ่านบททดสอบของดาวเคราะห์มรดกแล้วงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากชะงักไปเล็กน้อย
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าดาวเคราะห์มรดกเป็นสถานที่ที่อันตรายมากแค่ไหน และถ้าหากว่ามู่เสียวเต๋าสามารถผ่านการทดสอบของดาวเคราะห์มรดกได้ตามขั้นตอนจริง ๆ มันก็หมายความว่าปัจจุบันชายคนนี้มีความแข็งแกร่งสูงกว่าเขามาก
“มันไม่มีใครผ่านบททดสอบของดาวเคราะห์มรดกมาได้หลายร้อยปีแล้ว แต่ตระกูลเล็ก ๆ ในดินแดนของผู้ใช้กฎกำลังขาดแคลนกำลังคนอย่างเร่งด่วน พวกเขาเลยลดข้อกำหนดในการดึงสมาชิกภายนอกเข้าสู่ตระกูล ฉันได้ยินมาว่าบางตระกูลถึงกับเดินทางไปยังพันธมิตรเพื่อคัดเลือกต้นกล้าที่แข็งแรงมาเข้าตระกูลด้วยตัวเอง” มู่เสียวเต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะผ่านการทดสอบของดาวเคราะห์มรดกครั้งที่ 1 มาได้แล้ว แต่ดาวเคราะห์มรดกที่เขาเดินทางไปนั้นน่าจะเป็นดาวเคราะห์มรดกของตระกูลที่ล่มสลาย เขาจึงไม่สามารถหาทางเข้าไปทดสอบในดาวเคราะห์มรดกครั้งที่ 2 ได้ แล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการผ่านบททดสอบของดาวเคราะห์มรดกครั้งที่ 4 เลย
ทันใดนั้นเองผู้อาวุโสทั้งสองคนของตระกูลม่อก็ได้กลับมาพบกับเซี่ยเฟยอีกครั้ง
“เซี่ยเฟย ตอนนี้เราได้ส่งคนไปที่ตระกูลหยูเพื่อยืนยันตัวตนของคุณแล้ว ถ้าหากว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาอีกไม่นานตระกูลหยูก็คงจะส่งคนมารับตัวคุณกลับไปเอง ท้ายที่สุดตระกูลหลักทุกตระกูลในดินแดนของผู้ใช้กฎต่างก็มีรากฐานเดียวกัน มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันแบบนี้” ม่อเทียนไห่กล่าวด้วยท่าทางสง่างามคล้ายกับว่าเขาไม่เคยพูดคุยเรื่องการลอบสังหารเซี่ยเฟยมาก่อนเลย
“ว่าแต่คุณจะทำยังไงกับศพของหนอนด้วงมิติตัวนี้?” ม่อเทียนไห่กล่าวถาม
คำถามนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย เพราะการที่จู่ ๆ ชายชราได้ถามขึ้นมามันก็ต้องหมายความว่าศพนี้คือศพที่มีค่า
“ผมจะขายมันครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นเราขอรับซื้อมันในราคา 100 คริสตัลขาว” ม่อเทียนไห่กล่าวออกไปอย่างไม่อาจหักห้ามใจไว้ได้เมื่อได้ยินว่าเซี่ยเฟยต้องการจะขายศพของหนอนด้วงตัวนี้
100 คริสตัลขาว!!
สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้คือคริสตัลต้นกำเนิด เพราะไม่เพียงแต่เขาจะต้องใช้พลังงานในคริสตัลต้นกำเนิดสำหรับการฝึกฝนเท่านั้น แต่ขนอุยยังต้องบริโภคพลังงานพวกนั้นเป็นอาหารในทุก ๆ วันอีกด้วย
เพียงแต่ว่าเซี่ยเฟยไม่รู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของหนอนด้วงมิติคือเท่าไหร่ เขาจึงขมวดคิ้วและตั้งคำถามเพื่อโยนหินถามทางออกไปว่า
“ราคามันไม่ต่ำเกินไปหน่อยเหรอครับ?”
“พี่ชายของฉันแค่ล้อเล่นน่ะ ศพของหนอนด้วงมิติควรจะมีค่า 1,000 คริสตัลขาวอยู่แล้ว แต่เนื่องมาจากการต่อสู้ระหว่างคุณกับหนอนด้วงตัวนี้ทำให้อาคารภายในตระกูลของเราถูกทำลายลงไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เราจะขอค่าชดเชยสัก 100-200 คริสตัลขาว”
“นอกจากนี้ศพของหนอนด้วงมิติตัวนี้ยังตัวเหี่ยวมาก คล้ายกับว่ามันได้สูญเสียเลือดทั้งหมดภายในร่างของมันไป ดังนั้นราคาที่เหมาะสมที่สุดก็น่าจะอยู่ที่ 300-400 คริสตัลขาว” ม่อเทียนหลินพยายามต่อรองราคา
“ถึงแม้ว่ามันจะเป็นศพของหนอนด้วงที่เหี่ยวเฉา แต่มันคือศพของหนอนด้วงที่กำลังจะพัฒนาเหมือนกันนะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ?! มันเป็นหนอนด้วงมิติที่กำลังจะพัฒนางั้นเหรอ!!” หม่อเทียนไห่อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ใช่ครับ มันคือหนอนด้วงมิติที่ถูกฆ่าตายในระหว่างที่มันกำลังจะพัฒนา” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้าท่ามกลางความตกตะลึงของชายชราทั้งสอง
***************
เรื่องต่อรองราคานี่เรื่องถนัดพี่เฟยจริงๆ ตามประสาคนขี้งกอ่ะเน๊าะ 5555