บทที่ 564: ความจริงก็คือ...
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะนับถือพวกเขาเป็นสมาชิกในครอบครัว แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะนับเจ้าว่าเป็นคนในครอบครัวอยู่ดี”
“เจ้าดูสิ นางทั้งขาวทั้งดูดี เจ้าคงจะต้องมานั่งทำงานให้กับคนในครอบครัวของนางอยู่ทุกวันใช่ไหม ผิวของเจ้าถึงได้ดำคล้ำแบบนี้ พวกเขาคิดว่าเจ้าเป็นทาสต่างหาก ไม่ได้มองว่าเจ้าเป็นสมาชิกในครอบครัวเลย”
หยินเสวี่ยพูดในระดับเสียงที่ได้ยินกันเพียง 2 คนเพราะนางจงใจที่จะให้หยินชางได้ยินเพียงคนเดียว
“อีกอย่าง ทั้ง ๆ ที่นางรู้ว่าข้าเป็นอาของเจ้า แต่เด็กคนนั้นก็ยังจงใจทำร้ายข้า แถมครั้งที่แล้วนางก็ยังโกหกข้า ยาที่นางให้มามันช่วยอะไรข้าไม่ได้เลยสักนิด”
“เจ้าคิดดูสิ ลูกของพวกเขาก็ยังโกหกได้ขนาดนี้แล้ว เจ้าคิดว่าคนอื่น ๆ ในครอบครัวจะเป็นคนดีอย่างนั้นหรือ!”
ส่วนหยินชางที่ได้ฟังคำพูดของคนเป็นอา จากสีหน้าที่เรียบเฉยก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ
เขามองหยินเสวี่ยด้วยสายตาเหมือนมองคนแปลกหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า
“เผ่าไป๋ผีล่มสลายไปแล้ว ตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ในเผ่าเยว่หู”
เขาเตือนฝ่ายตรงข้ามเสียงเรียบ
ในเมื่อนางกำลังอาศัยอยู่ในเผ่าของคนอื่น นางก็ไม่ควรพูดยกยอเผ่าเดิมของตัวเองให้ฟังดูดี ทั้งที่มันไม่มีอะไรดีเลยสักนิด
ถ้าเผ่าไป๋ผีเก่งกาจมากจริง ๆ ทำไมคนในเผ่ายังจะต้องอพยพมาขออาศัยอยู่ในเผ่าเยว่หูอีก?
“หลานข้า ทำไมเจ้าถึงพูดกับข้าแบบนี้!” หยินเสวี่ยอยากจะสั่งสอนเจ้าหลานชายตัวดีให้รู้สำนึกเสียบ้าง
ในขณะที่นางกำลังถลึงตามองเด็กหนุ่ม ทันใดนั้นนางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนยังจะต้องเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายกลับมาอยู่กับนาง ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่นางจะทำอะไรเขาได้
หญิงสาวจึงรีบปรับสีหน้าก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพูดประจบประแจงว่า
“อาก็แค่พูดเพื่อประโยชน์ของเจ้าเองทั้งนั้น อาไม่อยากให้เจ้าถูกคนนอกหลอก อาไม่มีทางทำร้ายเจ้าหรอก”
ในขณะที่พูดจู่ ๆ นางก็นึกถึงใบหน้าที่เสียโฉมของตัวเองขึ้นมา
“หยินชาง ในเมื่อก่อนหน้านี้เด็กผู้หญิงคนนั้นโกหกอา อาจะไม่เอาเรื่องนาง แต่ว่าเจ้าจะต้องบอกให้นางมาช่วยรักษาใบหน้าของอาให้กลับมาสวยเหมือนเดิมก่อน แล้วอาจะยกโทษให้นาง”
หญิงสาวแสร้งทำเป็นพูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนมีน้ำใจเสียเต็มประดา
ก่อนที่นางจะพาหยินชางไปหาท่านหัวหน้า อีกฝ่ายต้องหาทางช่วยรักษารอยแผลบนใบหน้าของตนก่อน
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นดวงตาของหยินเสวี่ยที่เต็มไปด้วยแผนการและความละโมบ เขาก็กัดฟันพูดเสียงลอดไรฟันว่า
“หลิงเอ๋อไม่ได้โกหกท่าน”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” หยินเสวี่ยไม่ได้เข้าใจในทันที
“ข้าบอกว่าหลิงเอ๋อไม่ได้โกหกท่าน เป็นท่านเองต่างหากที่เข้าใจความหมายของนางผิด หากท่านต้องการได้รับการรักษา ท่านก็ต้องไปขอความช่วยเหลือจากนางเอง”
แม้ว่าสิ่งที่หลงหลิงเอ๋อทำลงไปจะเป็นการโกหกหยินเสวี่ย แต่หยินชางก็ไม่มีวันยอมให้นางต้องมาแปดเปื้อนเพราะเขา
วินาทีนั้นดวงตาของฝ่ายที่ได้ฟังเบิกกว้างและน้ำเสียงที่นางใช้พูดก็เข้มขึ้น
“เจ้าไม่อยากกลับมาอยู่กับเรา งั้นเจ้าก็ไม่นับว่าข้าเป็นท่านอาแล้วอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ข้าเป็นน้องสาวของพ่อเจ้านะ เจ้าพูดกับข้าแบบนี้ได้ยังไง ข้าโมโหขึ้นมาจริง ๆ แล้วนะ!” บัดนี้หยินเสวี่ยโกรธมาก
ไอ้เด็กเวรนี่มันเนรคุณจริง ๆ!
“ในเมื่อเจ้าโง่งมขนาดนั้น เจ้าก็อย่าคิดว่าจะได้กลับไปอีกเลย พวกเจ้า 2 คนรีบมาจับตัวไอ้เด็กพวกนี้ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หญิงสาวออกคำสั่งให้คู่ของนางเข้ามาจับกุมหยินชางกับหลงหลิงเอ๋อ เพื่อส่งไปให้หัวหน้าเผ่าไป๋ผี
ตราบใดที่หมอผีตัวน้อยอยู่ในมือของนาง หยินเสวี่ยเชื่อว่าเจ้าหลานชายไม่รักดีจะไม่มีทางขัดคำสั่งนาง แล้วเด็กหญิงยังจะช่วยรักษาใบหน้าของนางได้อีกด้วย
แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรต่อ จู่ ๆ นางก็รู้สึกมึนงง
ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าของนางก็พร่ามัวราวกับอยู่ในความฝัน นางมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นภาพที่เลือนราง
“นี่เจ้า เจ้า...”
หญิงสาวจ้องมองหยินชางกับหลงหลิงเอ๋อ ก่อนจะเห็นว่าใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเด็กหญิงกำลังหลอกหลอนนางอยู่
ขณะนี้หยินเสวี่ยรู้สึกแย่มาก นางกำลังจะเอ่ยปากถามเสียงดัง แต่ทันใดนั้นใบหน้าของหมอผีก็หายไป
มันกลับกลายเป็นใบหน้าของผู้หญิงเผ่าพันธุ์อสูรคนนั้น
สภาพเนื้อตัวของหญิงสาวเปื้อนไปด้วยเลือด ในขณะที่ร่างของนางสลับไปมาระหว่างร่างสัตว์กับร่างมนุษย์ ตอนนั้นนางกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดเต็มที่ แต่บาดแผลบนร่างกายนางก็สาหัสจนเกินจะต้านทานไหว
ภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ร่างสัตว์ที่เคยดูสดสวยงดงามกลับดูน่าขนลุกมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นภูตหญิงก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับที่ดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งถลึงตามองหยินเสวี่ย
“ทำไม… ทำไมเจ้าถึงทำกับข้าแบบนี้... ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้า ทำไม...”
ในชั่วอึดใจนั้น รูม่านตาของหยินเสวี่ยหดลงด้วยความตกใจ ก่อนที่นางจะกรีดร้องขณะล้มลงกับพื้น
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!”
“เสวี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรไป เสวี่ยเอ๋อ!?” ภูตชายทั้ง 2 ที่อยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาของตน พวกเขาจึงรีบเข้าไปถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
แต่ทั้งคู่กลับพบว่านางเอาแต่จับจ้องไปทางหลงหลิงเอ๋อ ในขณะที่ร่างกายของนางยังคงสั่นสะท้าน
ท่าทางแปลกประหลาดของหญิงสาวมันทำให้พวกเขารู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น
คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแค่เด็กเท่านั้น แล้วเสวี่ยเอ๋อจะกลัวอะไร?
ยามนี้หยินเสวี่ยยังคงเห็นเพียงภาพหลอนเหมือนเดิม นางไม่ได้ยินเสียงที่คู่ของตนเรียกเลย
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น นางก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นหยินชางมายืนอยู่ตรงหน้า
ในชั่วพริบตา นางทำหน้าเหมือนกับเห็นผีก่อนจะพยายามหลบไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังสามีทั้ง 2 คนอย่างลนลาน
“ทะ-ท่านพี่! ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ ท่านตายไปแล้วไม่ใช่หรือ อย่าเข้ามานะ! ข้ารู้ว่าข้าผิด ข้าคิดผิด...”
“เสวี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรไป ตรงนี้จะมีหยินเหลยได้ยังไง?”
“เสวี่ยเอ๋อ ตั้งสติหน่อย นี่พวกเราเอง!”
คู่ครองทั้ง 2 ของหยินเสวี่ยรู้สึกสับสนมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเรียกสติของภรรยาตนเองอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถรั้งนางไว้ได้เลย
แต่แล้วจู่ ๆ ภูตชาย 2 คนก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว ทันใดนั้นพวกเขาก็หันไปมองหยินชาง
พอทั้งคู่เห็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า พวกเขาก็ตกใจจนแทบจะฉี่รดกางเกง
“อ๊ากกกกกก!”
“ยะ-หยินเหลย ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ ท่านตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
ชายทั้ง 2 รีบวิ่งไปเบียดตัวซ่อนอยู่ด้านหลังหยินเสวี่ย ในขณะที่ร่างทั้งร่างของพวกเขาสั่นสะท้านอย่าห้ามเอาไว้ไม่ได้
เมื่อหยินชางเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขาก็ขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น
หลิงเอ๋อเคยบอกว่าดอกหมีฮ่วนนี้จะทำให้พวกเขาเห็นสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัวมากที่สุด
ตอนนี้พวกเขาทั้ง 3 คนกำลังเห็นภาพพ่อแม่ของเขาอยู่หรือเปล่า?
แต่หยินเสวี่ยเป็นน้องสาวพ่อของเขาไม่ใช่หรือ แล้วนางจะกลัวพี่ชายของตนเองไปทำไม?
มันต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน!
เมื่อเด็กหนุ่มคิดได้เช่นนี้ ดวงตาสีดำสนิทก็ฉายแววเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่นานหลงหลิงเอ๋อก็เดินมายืนอยู่ด้านข้างคนตัวสูงกว่า
“หยินชาง ดูเหมือนว่าดอกหมีฮ่วนจะออกฤทธิ์แล้ว”
จากนั้นเด็กหญิงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดว่า
“ตอนนี้ไม่มีภูตอยู่แถวนี้ หยินชาง เจ้ารีบถามเร็วเข้าเถอะ ข้าจะช่วยดูต้นทางให้เอง”
เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วหันกลับไปมองพวกหยินเสวี่ย
เขาเหลือบมองคนทั้ง 3 แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นภาพน่ากลัวอะไรกันแน่ พวกเขาถึงได้ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้
แล้วทุกคนก็เอาแต่ตะโกนว่า
“อย่าเข้ามานะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ...”
“เราไม่รู้อะไรเลย!”
“เรื่องทั้งหมดนี้หยินเสวี่ยเป็นคนทำ ถ้าท่านต้องการจะหลอกหลอนก็ไปหาหยินเสวี่ยโน่น!”
คำพูดที่ออกมาจากปากของพวกเขาทำให้เปลือกตาของหลงหลิงเอ๋อกระตุก
หยินเสวี่ยจะรู้หรือไม่ว่าคู่ทั้ง 2 ของนางเปิดปากสารภาพออกมาเร็วมาก?
ช่างขี้ขลาดเสียจริง!
ในขณะที่เด็กหญิงมองไปรอบ ๆ นางก็ฟังการเคลื่อนไหวของหยินชางไปด้วย พร้อมกับที่นางรู้สึกดูถูกผู้ชาย 2 คนนั้นในใจ
พอเด็กหนุ่มได้ยินคำรับสารภาพ เขาก็ส่งสายตาเย็นชาไปทางผู้เป็นอาและถามด้วยเสียงเฉียบขาดว่า
“ทำไมท่านถึงทำแบบนี้ ท่านปิดบังอะไรข้าอยู่?”
แม้ว่าพี่ชายของเขาจะบอกว่าพ่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิตได้อย่างไร แต่พอได้เห็นว่าหยินเสวี่ยรู้สึกผิดแบบนี้ เขาก็คิดว่ามันมีอะไรแปลก ๆ เขาจึงตัดสินใจถามออกไป
“ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าท่าน…”
หยินเสวี่ยส่ายหน้าปฏิเสธเสียงสั่น
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่ได้ตั้งใจ พี่ใหญ่อย่าฆ่าข้าเลย ข้าเป็นน้องสาวของท่านนะ...”
แน่นอนว่าหยินชางไม่เชื่อคำพูดของหยินเสวี่ย ไม่อย่างนั้นนางจะทำหน้าหวาดกลัวไปทำไม
คำพูดที่ผู้หญิงคนนี้เอ่ยออกมามันมีแต่คำโกหกทั้งสิ้น
“ท่านเป็นคนทำ! เกิดอะไรขึ้น บอกความจริงมานะ! ถ้าท่านไม่บอก ข้าจะฆ่าท่านเดี๋ยวนี้!” แววตาของเด็กหนุ่มดุดันขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเสียงของเขาก็กลายเป็นตะคอก
ทันใดนั้นหยินเสวี่ยก็สะดุ้งโหยง พร้อมกับยกมือขึ้นมากุมหัวตัวเองเอาไว้แน่น
ในไม่ช้าก็มีของเหลวสีเหลืองไหลลงมาตามร่างกายส่วนล่างของนาง
“ขะ-ข้าบอกแล้ว... ความจริงก็คือ…”