บทที่ 562: หยินเสวี่ยได้รับการปล่อยตัว
“นี่คืออะไรหรือ?” หยินชางทำหน้างุนงง
ดอกไม้?
ในขณะเดียวกัน หลงหลิงเอ๋อกำลังถือดอกไม้สีแดงที่เบ่งบานเต็มที่
ดอกไม้มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของนาง มันมีรูปร่างคล้ายกับริมฝีปากของมนุษย์ ประกอบกับมีหนามแหลมสีดำงอกขึ้นรอบ ๆ กลีบของมันเหมือนฟัน
ถ้าไม่ได้สังเกตใกล้ ๆ ก็คงจะมองไม่ออกว่าดอกไม้ชนิดนี้ดูน่ากลัวแค่ไหน
เด็กหญิงเขย่าดอกไม้ในมือด้วยรอยยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า
“ท่านป้าเฟิงเฉิงมอบมันให้ข้าก่อนที่ข้าจะเดินทางมาที่เผ่าเยว่หู”
“ดอกไม้ชนิดนี้เรียกว่าหมีฮ่วน หลังจากที่เอามันมาบดแล้วกินเข้าไป ภูตจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มและมีอาการประสาทหลอน มันจะทำให้เรารู้ว่าคนคนนั้นหวาดกลัวอะไรมากที่สุด”
หยินชางที่ได้ยินสรรพคุณของดอกไม้หน้าตาแปลกประหลาดก็ทำหน้าเหลือเชื่อ
“มีดอกไม้แบบนี้ด้วยหรือ?”
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องที่นางอธิบายมาก่อน
“แน่นอน เผ่าของป้าเฟิงเฉิงมีดอกไม้ชนิดนี้ขึ้นอยู่มากมาย แต่เผ่าของนางอยู่ไกลจากเผ่าของเรา ตอนที่นางหนีออกมาจากเผ่า นางนำเมล็ดพันธุ์ติดตัวมาด้วยเพียงไม่กี่เมล็ดเท่านั้น”
หลงหลิงเอ๋อกล่าวด้วยสีหน้าเสียดาย
“แล้วข้าก็ได้ช่วยป้าเฟิงเฉิงปลูกดอกไม้ชนิดนี้ขึ้นมา นางจึงมอบให้ข้าเป็นของตอบแทน”
เด็กหญิงรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากจึงเชิดหน้าขึ้นตามแรงอารมณ์
ภูตเผ่าพันธุ์เฟิงหลีเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายากมาก มันไม่ใช่เรื่องแปลกตรงไหนที่พวกนางจะมีสมบัติอย่างไม้เท้าเฟิงหลีและยังมีพืชแบบนี้อยู่ในเผ่าด้วย
“เราจะใช้เจ้าสิ่งนี้ล้วงความจริงจากปากของนางได้แน่นอน”
หยินชางมองไปที่หลงหลิงเอ๋อด้วยสายตาชื่นชม
เขาไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดมากมายตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้
ขณะเดียวกัน คนตัวเล็กยกมือขาว ๆ โบกไปมาตรงหน้าคนตัวโตกว่าพลางพูดว่า
“เจ้าไม่ต้องกังวล เราจะต้องขอความช่วยเหลือจากท่านตาหลินก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นสิ่งที่เราทำ”
เวลาต่อมา ทั้ง 2 คนก็พากันไปหาหูหลิน
ขณะนี้ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าเยว่หูกำลังตรวจดูพืชผลในไร่ พอเขาได้ยินสิ่งที่ทั้งคู่บอก เขาก็ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วถามเสียงกระซิบว่า
“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรนะ? พวกเจ้าอยากจะให้ตาปล่อยหยินเสวี่ยไปงั้นหรือ?”
หลงหลิงเอ๋อกับหยินชางพยักหน้าพร้อมกัน
“ท่านตาหลิน นี่เป็นความคิดของข้าเอง” เด็กหนุ่มกังวลว่าอีกฝ่ายจะตำหนิเด็กหญิงที่ทำให้เขายุ่งยาก ดังนั้นเขาจึงรีบพูดรับความผิดไปก่อน
เขาบอกหูหลินว่าหยินเสวี่ยเป็นอาของตนและเขาต้องการค้นหาความจริงจากนาง
“ท่านตาหลิน มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม พวกเราจะขอให้ท่านปล่อยตัวนางไม่นานหรอก เอาไว้วันหลังท่านค่อยหาเหตุผลขังนางเอาไว้อีกครั้งก็ได้”
หลงหลิงเอ๋อถึงกับคิดวางแผนขั้นต่อไปไว้แล้วด้วยซ้ำ
ขณะที่พูดออดอ้อนนางก็ใช้มือเล็ก ๆ เขย่าแขนผู้เป็นตา พร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ
บัดนี้เด็กทั้ง 2 สบสายตาเว้าวอนผู้ใหญ่ด้วยความรู้สึกประหม่าเพราะพวกเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วย
ทันทีที่เด็กหญิงพูดจบ หูหลินก็ขมวดคิ้วแน่น ซึ่งท่าทางของเขาทำให้เด็กน้อย 2 คนใจสั่น
ในวินาทีถัดมา จิ้งจอกวัยกลางคนก็พูดว่า
“เอาล่ะ หลานรักของตา ข้างนอกแดดมันร้อนมาก พวกเจ้ารีบกลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวแดดจะเผาจนผิวไหม้เอา”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้พวกเจ้าส่งคนมาแจ้งตาก็ได้ พวกเจ้าไม่จำเป็นจะต้องมาที่นี่เองหรอก”
ขณะที่หูหลินพูด เขาดันไหล่หลานทั้ง 2 ให้กลับบ้านไปก่อนแล้วทอดมองพวกเขาด้วยสายตารักใคร่
เดิมทีเขาเป็นคนปล่อยให้ภูตเผ่าไป๋ผีซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับหยินชางเข้าร่วมเผ่า
ไม่ว่าเด็กพวกนี้ต้องการจะทำอะไร เขาก็ไม่อาจเพิกเฉยในสิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอได้
ในเวลาเดียวกัน หลงหลิงเอ๋อกับหยินชางตกตะลึง
“ท่านตาหลิน ท่านยอมรับปากแล้วใช่หรือไม่?” เด็กหญิงถามอย่างไม่แน่ใจ
เรื่องมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
การแสดงออกของผู้เป็นตาทำให้นางตกใจมากจริง ๆ!
ก่อนจะมาหาท่านตา เด็กหญิงคิดข้ออ้างมานับ 108 ประโยค แต่กลับกลายเป็นว่านางไม่ได้ใช้มันเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“ใช่ ตาจะยอมปล่อยหยินเสวี่ยคนนั้นไป” ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าเยว่หูพยักหน้าด้วยรอยยิ้มพร้อมกับตบหน้าอกตัวเองให้ความมั่นใจ
“พวกเจ้าอยากจะทำอะไรก็ได้ในเผ่าเยว่หูนี้ ตาจะคอยสนับสนุนพวกเจ้าเอง ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น”
คำพูดของหูหลินทำให้เด็กทั้ง 2 ตกตะลึง แล้วพวกเขาก็รู้สึกสะเทือนใจมาก
ทำไมท่านตาหลินถึงดีกับพวกเขาขนาดนี้…
หลงหลิงเอ๋อกับหยินชางยังคงเป็นเด็ก มันทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าใจสภาพจิตใจของอีกฝ่ายได้ชัดเจน
เนื่องจากหูหลินไม่สามารถมีลูกเป็นของตัวเองได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับหูเจียวเจียวและลูกของนาง
ด้วยความกังวลว่าหลาน ๆ จะถูกแดดเผา ผู้เป็นตาจึงรีบไล่ให้พวกเขากลับบ้านไป
เพราะแบบนี้ หลงหลิงเอ๋อกับหยินชางจึงทำตามขั้นตอนแรกของแผนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า พวกเขารีบกลับไปทำการบดดอกหมีฮ่วนต่อ
ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่หูเจียวเจียวหมักเนื้อเสร็จแล้ว เธอก็หยิบต้มถั่วเขียวที่ทำเสร็จแล้วออกมาจากในครัว ก่อนจะแอบเอาน้ำแข็งจากในมิติมาใส่
ซึ่งมันเป็นเวลาพอดีกับที่พวกเด็ก ๆ กลับมาถึงบ้าน แม่จิ้งจอกจึงตักต้มถั่วเขียวใส่ชามมาให้พวกเขากิน
ยามนี้เหล่าเด็กน้อยเดินเรียงแถวกันมารับต้มถั่วเขียวและกำลังจะกินมัน
ทันใดนั้นหลงจงก็มองไปรอบ ๆ อย่างสงสัยก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“อ้าว หลิงเอ๋อกับพี่หยินชางไปไหน ทำไมพวกเขาไม่อยู่ที่นี่?”
หลงอวี้เองก็สอดสายตามองไปรอบตัวเช่นกัน แต่ก็ไม่เห็นเงาของ 2 คนนั้น เขาจึงทำหน้างุนงง
“แปลกจัง ข้าก็เพิ่งเห็นกับตาตัวเองว่าพวกเขาเพิ่งมารับต้มถั่วเขียว แต่จู่ ๆ พวกเขาก็หายไปเฉยเลย”
“ซู้ดดด~ งั่ม ๆ… พี่สี่คงออกไปข้างนอกแล้ว... แจ๊บ ๆ เพื่อรักษาคนที่เจ็บป่วยในเผ่า ช่วงนี้พี่สี่ทำงานหนักมาก!” หลงเหยาพูดเป็นระยะ ๆ ในขณะที่เขาสลับไปกินต้มถั่วเขียวด้วย
“อีกแล้วหรือ?” หลงจงมองไปที่ท้องฟ้าด้านนอกก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“ไม่ได้การล่ะ หลิงเอ๋อทำงานหนักมาก เราจะอยู่เฉย ๆ ที่บ้านไม่ได้!”
เขาจะแพ้ให้กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไม่ได้เด็ดขาด!
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นน้องสาวของเขาเอง แต่มันคงจะเป็นเรื่องน่าอายมากหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปถึงหูคนอื่น
หลงอวี้เองก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดเสียงจริงจังว่า
“เจ้าสามพูดถูก เราจะต้องยึดถือหลิงเอ๋อเป็นแบบอย่าง เจ้าสาม เดี๋ยวข้าออกไปกับเจ้าด้วย”
“เสี่ยวเหยาไปด้วย เสี่ยวเหยาก็จะไปด้วย!” หลงเหยารีบยกแขนป้อมสั้นของตัวเองขึ้นเพราะกลัวว่าจะถูกพี่น้องคนอื่นทิ้งไว้ข้างหลัง
ทางด้านหลงเซียวไม่ได้พูดอะไร เขากำลังมองดูชาม 2 ใบที่หายไปจากบนโต๊ะอย่างสงสัย ก่อนจะมองไปยังพี่น้องที่กำลังมีอารมณ์ฮึกเหิมกันมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เปิดปากพูด แต่เขาก็ยังเดินตามทุกคนไปเงียบ ๆ
พอหูเจียวเจียวกลับมาจากส่งต้มถั่วเขียวให้หลงโม่ เธอก็เห็นว่าห้องนั่งเล่นว่างเปล่า
ต้มถั่วเขียวที่อยู่ในชามถูกกินจนหมดเกลี้ยง แต่ก็ไม่มีวี่แววของพวกลูก ๆ อยู่ตรงนั้นเลย
“แปลกจัง เด็ก ๆ หายไปไหนกันแล้ว งานวันนี้ยังไม่เสร็จอีกหรือ...” แม่จิ้งจอกมองไปที่ชามเปล่าด้วยสีหน้างุนงง
...
อีกด้านหนึ่ง
หยินเสวี่ยกำลังขมวดคิ้วเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ทางด้านสามีของนางก็ถูกด่าพอจนหมดสภาพ พวกเขานั่งอยู่มุมหนึ่งของห้องในขณะที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
พวกเขากลัวว่าตัวเองจะถูกภรรยาทุบตีหากเผลอไปพูดอะไรไม่เข้าหูนาง
แต่แล้วจู่ ๆ ประตูบ้านไม้ก็ถูกเปิดออก
บ้านไม้ที่มืดมนพลันสว่างไสวขึ้นมาในทันที หยินเสวี่ยกับคู่ของนางจึงรู้สึกแสบตาเพราะแสงที่สาดส่องเข้ามาแบบกะทันหัน
พวกเขาทำได้เพียงยกมือขึ้นมาบังแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางประตู
แล้วทุกคนก็เห็นว่าคนเฝ้าประตูที่ยืนอยู่ตรงนั้นกำลังตะโกนเข้ามาข้างใน
“พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ได้แล้ว รีบออกไปกันเร็วเข้า”
นั่นทำให้หญิงสาวตกตะลึง พร้อมกับที่สมองของนางหยุดทำงานไปชั่วขณะ
กว่านางจะกลับมารู้สึกตัวอีกทีก็ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นนางก็ถามออกมาอย่างไม่แน่ใจว่า
“ข้าไปได้แล้วหรือ? มันเป็นความจริงใช่ไหม? ข้าออกไปได้แล้ว?”
“เจ้าจะไปหรือไม่ไป มัวแต่ชักช้าอยู่ได้ งั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อไปเถอะถ้าไม่อยากไป” ภูตชายที่เฝ้าประตูพูดเร่งเร้าคนข้างในด้วยใบหน้าเย็นชา
“ไป! ข้าจะไป อย่าเพิ่งปิดประตู ข้ากำลังจะไปแล้ว…” หยินเสวี่ยพยุงตัวเองลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว
ตัวนางไม่ได้ออกจากกระท่อมสกปรกโสโครกหลังนี้มากกว่า 3 เดือนแล้ว
ปัจจุบันหยินเสวี่ยรู้สึกตื่นเต้นมากจนลนลานทำอะไรไม่ถูก นางได้แต่สั่งให้คู่ของตนไปเก็บข้าวของและรีบออกจากกระท่อมทันที
การกระทำทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเร็วมากเพราะหญิงสาวกลัวว่าคนเฝ้าประตูจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้นางได้ออกไปอีก
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: บอกเลยว่าไว้ใจหลิงเอ๋อได้เสมอ เรื่องนี้ปล่อยให้น้องจัดการเอง หึ ๆ