บทที่14
หน้าประตูมหาวิทยาลัยเจียงไห่
หลิวเฉิงมองไปที่ยามหน้าประตู เขาหยิบมือถือขึ้นมาพร้อมกับติดต่อไปยังเบอร์โทรของหลินเสวี่ย
มหาวิทยาลัยทั่วไปค่อนข้างเข้มงวด ถ้าหากต้องเข้าไปในโรงเรียนตอนดึก จะต้องมีนักเรียนที่รู้จักมารับ มิฉะนั้นยามเฝ้าประตูจะไม่เปิดให้ใครทั้งนั้น
ทำไมหลิวเฉิงไม่ให้เซี่ยว่านชิวใช้เทเลพอร์ต?
ก็เพราะเขาไม่ต้องการทำให้ผิดกฎโรงเรียนไงล่ะ
ในยุคนี้กล้องวงจรปิดมีอยู่ทุกที่ ถ้าเขาถูกถ่ายเอาไว้ เกรงว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเป็นพาดหัวข่าวและอาจดึงดูดบางองค์กรมาจัดการเขาก็ได้
ในระยะนี้ มันคงจะดีกว่าที่จะเก็บเป็นความลับไว้ก่อน
“เยี่ยมเลย! รอก่อนนะพี่ เดี๋ยวฉันออกไปรับ แล้วก็จะมีเพื่อนของฉันสองคนด้วยนะ”
ทุกครั้งที่หลิวเฉิงได้ยินเสียงน่ารัก ๆของหลินเสวี่ย มันมักจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น
“ที่รักคะ ที่โรงเรียนนี้มีความเคียดแค้นหนาแน่นมาก น่าจะมีวิญญาณและน่าจะมากกว่าหนึ่งตน”
เซี่ยว่านชิวมองไปยังท้องฟ้าเหนือโรงเรียนที่ปกคลุมไปด้วยความมืดแล้วพูดกับหลิวเฉิงช้า ๆ
ผีสามารถมองเห็นความเคียดแค้นและความไม่พอใจได้ นักบวชลัทธิเต๋าที่ฝึกฝนไปได้ระดับหนึ่งเองก็สามารถรับรู้ถึงความแค้นได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หลิวเฉิงยังมองไม่เห็นอะไรเลยในขณะนี้ คืนนี้ไม่มีพระจันทร์และท้องฟ้าก็ดูมืดมิดกว่าปกติ มีเพียงแสงไฟจากอาคารหอพักที่ยังคงส่องสว่างอยู่
“แน่นอนว่ามันต้องมีผี แต่ฉันไม่คิดว่าที่โรงเรียนแบบนี้จะมีสิ่งชั่วร้ายมากกว่าหนึ่ง” หลิวเฉิงอดถอนหายใจไม่ได้
มีนักเรียนหลายคนในโรงเรียน ซึ่งมันเป็นเหมือนแหล่งพลังงานหยางอันหนาแน่น หากเป็นปกติพลังหยินของเหล่าผีจะไม่สามารถเข้ามาในแหล่งที่มีพลังงานหยางอยู่เป็นจำนวนมากได้ เป็นไปไม่ได้ที่ผีจะอยู่รอดในสภาพแบบนั้นได้เลย
แต่ถ้าหากผีตัวนั้นสามารถอยู่ในที่แบบนี้ได้ แสดงว่าผีตัวนี้จะต้องแข็งแกร่งเอามาก ๆ
แล้วเซี่ยว่านชิวก็ได้บอกเอาไว้ว่ามีผีมากกว่าหนึ่ง ดูเหมือนว่าโรงเรียนนี้จะไม่ง่ายจริง ๆ
บางทีคงจะเหมือนกับนิทานหรือเรื่องเหล่าสยอง ที่ว่าโรงเรียนสร้างบนสุสาน จึงเต็มไปด้วยผีร้ายแล้วพวกมันก็ทรงพลังมาก
“เอ่อ... นี่คุณพูดอะไรหรือเปล่า?”
ขณะที่หลิวเฉิงกำลังจ้องมองไปที่อาคารหอพักก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านข้าง และเสียงนั้นทำให้หลิวเฉิงที่เหม่อ ๆตกใจ
ชายหนุ่มหันไปมองทางต้นเสียงก็ได้เห็นชายกลางคน ใบหน้าเหลี่ยมดูใจดี มีริ้วรอยบาง ๆบนใบหน้า อีกฝ่ายดูเหมือนจะมีอายุสี่สิบถึงห้าสิบปี แต่ผมของเขายังหนาแถมยังดูเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จมาก
นี่เป็นลักษณ์ภายนอกที่สามารถมองเห็นได้
“ไม่มีอะไรครับ อีกอย่างผมก็ไม่ใช่นักเรียนด้วย” หลิวเฉิงส่ายหน้าปฏิเสธ
เขาไม่ต้องการพูดเรื่องผีกับคนธรรมดา
“ไม่ ๆ เธอกำลังโกหกฉันอยู่สินะ เธอพูดว่าผีหรือเปล่า ใช่ไหม?”
ชายกลางคนยิ้มอย่างใจดี แต่สายตาที่จ้องมองหลิวเฉิงกลับเฉียบคม
หลิวเฉิงตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็มองตรงไปยังชายกลางคนตรงหน้าด้วยสายตาสนใจ
ในใจของหลิวเฉิงกำลังคาดเดาตัวตนของอีกฝ่าย ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมา
“พี่ชาย!!!”
หลิวเฉิงเบนสายตาไปมองตามต้นเสียงก็เห็นสาวน้อยกำลังยืนอยู่ในหลังประตูทางเข้าโรงเรียน ผมผูกเป็นหางม้าและใส่หมวกแก๊ปบนหัว ใส่เสื้อทีเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์ขาสั้น
ขาคู่สวยที่โผล่ออกมาทั้งขาวและยาว
นักเรียนรอบข้างที่ยังมีอยู่ประปรายต่างก็มองมาที่หลินเสวี่ยและหลิวเฉิง
เหล่าผู้ชายต่างก็มองมาที่ขาขาว ๆของเด็กสาว
เธอคือน้องสาวของหลิวเฉิง หลินเสวี่ยนั่นเอง
หลินเสวี่ยเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับเด็กสาวอีกสองคนข้างหลัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าใกล้หลิวเฉิง เด็กสาวทั้งสามคนก็ตกใจ “อาจารย์ใหญ่ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้คะ?”
อาจารย์ใหญ่ที่สามสาวเรียกก็คือชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะยืนคุยกับหลิวเฉิงเมื่อสักครู่
หลิวเฉิงอดหันไปมองไม่ได้ ‘ผู้ชายคนนี้คืออาจารย์ใหญ่จริงเหรอ?’
อาจารย์ใหญ่คนนี้เชื่อเรื่องผีจริง ๆเหรอ?
พอคิดสิ่งนี้ยิ่งทำให้หลิวเฉิงประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
อาจารย์ใหญ่ไม่ก็อธิการบดีไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนประถม มัธยมหรือมหาวิทยาลัยต่างก็เป็นคนของทางการ ส่วนใหญ่เป็นคนของหน่วยงานราชการ พวกนี้มันจะเชื่อเรื่องหลักวิทยาศาสตร์หรือวัตถุนิยม ไม่มีทางเชื่อเรื่องผี
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เดินเล่นนอกโรงเรียนเฉย ๆแล้วก็เจอผู้ชายคนนี้เข้าน่ะ ฉันก็เลยคุยกับเขาฆ่าเวลาน่ะนะ” อาจารย์ใหญ่ยิ้มแล้วเสมองไปที่หลิวเฉิง
หลินเสวี่ยเบิกตากว้างแล้วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เพื่อนร่วมห้องของหลินเสวี่ยมองหลิวเฉิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ พวกเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนุ่มหล่อคนนี้จะรู้จักอาจารย์ใหญ่ของพวกเธอ แถมดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
หลิวเฉิงส่ายหัว เขารู้ว่าอาจารย์ใหญ่คนนี้มีอะไรบางอย่างแปลก ๆ ไม่อย่างนั้นคนไม่รู้จักกันจะเข้ามาหาเขาได้อย่างสนิทสนมแบบนี้ได้ยังไง