บทที่ 560: มันรักษาให้หายได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่หายขาด
หยินเสวี่ยทนไม่ได้อีกต่อไป นางรีบตะโกนตอบตกลงเสียงแหลมทันที
ในชั่วพริบตานั้น รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลงหลิงเอ๋อ
ต่อมา เด็กหญิงหยิบห่อสมุนไพรออกมาจากย่ามใบเล็กที่นางมักจะพกติดตัวอยู่ตลอด
“นี่คือยา ท่านมอบของดูต่างหน้าให้หยินชางก่อน แล้วข้าจะมอบยาให้ท่านเอง”
ไม่นานหยินเสวี่ยก็หยิบหนังสัตว์ที่ห่อเกล็ดภูตอสูรออกมาแล้วยื่นไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ
ครู่ถัดมา คนเฝ้าประตูที่อยู่ข้าง ๆ ก้าวเข้าไปหยิบของในมือของหญิงสาวและเอามามอบให้หยินชาง
เขาเป็นคนที่ยืนคั่นกลางอยู่ระหว่างพวกเขาทั้ง 2 ฝั่ง เขาจึงรู้ว่านี่เป็นของดูต่างหน้าแม่ของเด็กหนุ่ม
พอภูตของเผ่าเยว่หูได้รู้แบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจหยินเสวี่ยมากกว่าเดิม ขนาดเกล็ดของคนที่ตายไปแล้วนางก็ยังเก็บไว้กับตัวมาตลอด ผู้หญิงคนนี้ช่างวิปริตเสียจริง!
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหัวหน้าถึงสั่งให้พวกเขาคอยเฝ้าไม่ให้อีกฝ่ายออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอก
ทางด้านหยินชางหยิบของที่อยู่ในห่อผ้าขึ้นมาถือไว้แน่น ในขณะที่ดวงตาของเขาแดงระเรื่อ
“ข้ามอบของให้เจ้าตามที่ต้องการแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังไม่เอายามาให้ข้าอีก?” หยินเสวี่ยถามด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ
ยามนี้หมอผีตัวน้อยหันไปมองหยินชางที่กำลังเปิดห่อหนังสัตว์ออกทีละด้านแล้วเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน พอได้รับการยืนยันแล้ว นางจึงโยนห่อยาในมือไปทางคนเจ็บ ซึ่งคู่ของนางก็รับมันเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ
“หยินชาง เรากลับกันเถอะ!” หลงหลิงเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับกระชับเกล็ดในมือแน่น แล้วก็เดินจากไปพร้อมกับคนตัวเล็กโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองผู้เป็นอา
ในระหว่างทางกลับ หยินชางหันไปมองหลงหลิงเอ๋อที่กำลังกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข เขาจึงอดถามไม่ได้ว่า
“หลิงเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงช่วยรักษานาง?” แม้จะมองจากนอกโลก เขาก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหยินเสวี่ย
“ข้าไม่ได้ช่วยรักษานางสักหน่อย!” หมอผีตัวน้อยตอบทั้งที่ยังคงเดินไปข้างหน้าไม่หยุด
“ไม่ได้ช่วยรักษา? หมายความว่ายังไง เจ้าเอายาให้นางไม่ใช่หรือ?” ฝ่ายที่ได้ฟังรู้สึกสับสน
ในความคิดของเขา ฝีมือการรักษาของหลิงเอ๋อนั้นทรงพลังที่สุด
การที่นางมอบยาให้กับอีกฝ่ายมันก็ไม่ต่างจากการรักษาอาการเจ็บป่วยให้คนไข้
“ข้าเอายาให้นางแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าหลังจากที่ใช้ยา แผลบนใบหน้าของนางจะหายเป็นปกติสักหน่อย” เด็กหญิงอธิบายด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ
“บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นหมอคนไหนก็คงไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บบนใบหน้าของนางได้โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ คงต้องพึ่งพาพลังของหมอผีเท่านั้นแหละถึงจะทำแบบนั้นได้”
เดิมทีตัวนางมีจุดมุ่งหมายเพียงแค่อยากจะฝึกฝนฝีมือตัวเอง พอเห็นว่ารอยแผลของหยินเสวี่ยใกล้จะหายดีแล้ว นางค่อยใช้ความสามารถของหมอผีช่วยลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าของอีกฝ่ายก็พอ
เรื่องแบบนี้มันเป็นอะไรที่ง่ายมากสำหรับหลงหลิงเอ๋อ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เด็กหญิงได้รักษาหยินเสวี่ยเสร็จไปแล้ว นางก็เพิ่งมารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนร้ายที่นอกจากจะข่มขู่ท่านแม่ของนางแล้ว ผู้หญิงคนนั้นยังกล้ามารังแกหยินชางด้วย นางจึงล้มเลิกความคิดที่จะช่วยหญิงสาวลบรอยแผลเป็นออกจากใบหน้าไปในทันที
ผู้หญิงสารเลวเช่นนี้สมควรที่จะเก็บรอยแผลเป็นนั้นเอาไว้ตราหน้าตัวเองเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
พอเด็กหนุ่มได้ยินคำอธิบายของผู้เป็นหมอผี เขาก็เงียบลงไปในที่สุด
จากนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของหลิงเอ๋อเมื่อสักครู่
นางพูดว่าถ้าไม่เปลี่ยนยา หยินเสวี่ยจะมีแผลเป็นบนใบหน้าแน่นอน แต่นางไม่ได้บอกว่าถ้าใช้ยาชุดใหม่แล้วรอยแผลนั้นจะเรียบเนียนหรือหายเป็นปลิดทิ้ง
คำพูดพวกนี้หากฟังเพียงผิวเผินอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าตีความให้ดีก็จะรู้ว่าท่านอาเสียเหลี่ยมให้กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กแล้ว
หากจะต้องโทษใครสักคน ก็ควรโทษตัวหยินเสวี่ยเองที่ตีความคำพูดของหลิงเอ๋อผิด เพราะหากจะให้พูดกันตามตรง นางไม่มีสิทธิ์โทษหมอด้วยซ้ำ
เมื่อหยินชางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขากังวลว่าหลิงเอ๋อจะโกหกท่านอา แล้วหลังจากนี้นางจะใช้เรื่องดังกล่าวไปพูดใส่ร้ายคนตัวเล็กให้เสียหาย
หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่อยากเอาชื่อเสียงของนางมาแลกกับของดูต่างหน้าของท่านแม่
“หลิงเอ๋อ ขอบคุณที่เจ้าช่วยเอาของของแม่ข้าคืนมา”
“หยินชาง เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คนในครอบครัวไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจกัน เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” หลงหลิงเอ๋อพูดอย่างอารมณ์ดี
“รีบกลับบ้านกันเถอะ ที่บ้านยังมีเหยื่อรอให้เรากลับไปจัดการอยู่อีกนะ!” สาวน้อยดึงแขนเสื้อตัวเองขึ้นแล้วพูดกระตุ้นอีกฝ่ายให้รีบเดิน
“อืม” เด็กหนุ่มส่งเสียงในลำคอตอบ
ในเวลาเดียวกัน ณ กระท่อมซอมซ่อ
หยินเสวี่ยที่เพิ่งได้รับยามาใหม่ไม่อยากจะเสียเวลาไปแม้นเสี้ยววินาทีเดียว นางได้สั่งให้คู่ของตัวเองถอดผ้าพันแผลบนใบหน้าออกและทายาให้กับนาง
ถึงแม้ว่าสามีของหญิงสาวจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่เพราะพวกเขาเคยเห็นรอยแผลของนางในช่วงที่มันเน่า แต่ทั้งคู่ก็รู้สึกชินชากับมันขึ้นมาบ้างแล้ว จึงไม่ได้ทำหน้าแปลกใจอะไรตอนที่ได้เห็นรอยแผลในตอนนี้
ขณะเดียวกัน ทันทีที่หญิงสาวเห็นปฏิกิริยาของคู่ตนเอง นางก็คิดว่าสภาพแผลเป็นบนใบหน้าของนางเกือบจะหายดีแล้ว
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังทายาตัวใหม่ให้ หญิงสาวก็คอยเร่งเร้าอีกฝ่ายอยู่เรื่อย ๆ
“เร็วเข้าสิ พวกเจ้ามัวแต่ชักช้าน่ารำคาญอยู่ได้ ข้าคิดผิดใช่ไหมเนี่ยที่ให้พวกเจ้ามาเปลี่ยนยาให้ข้า!”
“เอ่อ… เจ้ารู้สึกดีขึ้นไหม?”
ในที่สุดภูตชายทั้ง 2 ก็ทายาเสร็จและกำลังจะใส่ผ้าพันแผลกลับเข้าไปดังเดิม
แต่หยินเสวี่ยผลักพวกเขาออกไปและพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะถามข้าอีกทำไม หมอผีเป็นคนเอ่ยปากบอกเองไม่ใช่หรือว่าถ้าเปลี่ยนยาแล้วรอยแผลเป็นบนหน้าข้าจะหาย”
“เป็นยังไงบ้าง แผลของข้าดีขึ้นหรือยัง?” หญิงสาวไม่เห็นหน้าตัวเองจึงทำได้แค่ยื่นหน้าไปให้คู่ทั้ง 2 ได้เห็นชัด ๆ
จังหวะนั้นภูตชาย 2 คนก็ต้องเหงื่อตกเพราะตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของผู้เป็นภรรยา ริมฝีปากของพวกเขาก็สั่นเทาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ได้
“พวกเจ้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือไง พูดสิ ใบหน้าของข้าหายดีแล้วหรือยัง? มันดีขึ้นกว่าเดิมไหม แม้ว่าอีเด็กหมอผีนั่นจะน่ารำคาญไปสักหน่อย แต่ฝีมือการรักษาของมันก็นับว่าดีทีเดียว”
หยินเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจระหว่างที่จ้องหน้าสามี
ในขณะนั้นเอง ทั้งคู่ก็หันมาสบตากันแล้วรวบรวมความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด
ตอนนี้ต้องโกหกเสวี่ยเอ๋อไปก่อน
อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องถูกทุบตีหรือด่าทอเพราะเรื่องนี้
ไม่นาน 1 ในคู่ของหยินเสวี่ยก็พยักหน้าตอบ “ใช่ ๆ แผลของเจ้าหายดีแล้ว”
“ถูกต้อง เสวี่ยเอ๋อ หมอผีคนนั้นเก่งกาจมากจริง ๆ!”
หยินเสวี่ยไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของทั้ง 2 เนื่องจากตามปกติพวกเขาก็ชอบยกยอให้นางรู้สึกพึงพอใจอยู่ตลอดเวลา แล้วนางคิดว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน
ในไม่ช้า อารมณ์ของหญิงสาวก็ดีขึ้นมาทันตาเห็น
“อูย… ทำไมข้าถึงคันหน้าแบบนี้ มันแปลกมาก” จู่ ๆ หยินเสวี่ยก็รู้สึกคันที่ใบหน้า
ขณะนี้หน้าของนางยังคงเปื้อนยาอยู่ หญิงสาวคิดว่าสาเหตุมันน่าจะเกิดจากตัวยาจึงสั่งคู่ของตนว่า
“ไปเอาน้ำมาให้ข้า ข้าจะต้องล้างหน้า มันคันจนทนไม่ไหวแล้ว”
หยินเสวี่ยรู้สึกคันมาก แต่นางก็ไม่กล้าเกาเพราะกลัวว่าหน้าตัวเองที่เกือบหายดีจะเป็นรอยเพิ่ม
ในเวลาเดียวกัน คู่ของนางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอมีคำสั่งให้ไปเอาน้ำมา ทั้ง 2 ก็ไปทำตามที่อีกฝ่ายบอกทันที
ไม่นานพวกเขาก็กลับมาพร้อมกับถังน้ำ
จากนั้นหยินเสวี่ยก็รีบเดินไปเอาหน้าจุ่มลงไปในถัง
“กรี๊ดดดดดดดดด!!!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังก้องออกมาจากกระท่อม
“อีนี่มันใคร… นี่มันหน้าของข้าหรือ!?”
หยินเสวี่ยมองภาพผู้หญิงที่สะท้อนอยู่ในน้ำด้วยสายตาเหลือเชื่อ วินาทีถัดมานางก็แทบจะเป็นบ้า
“ไม่! เป็นไปไม่ได้ ทำไมหน้าของข้าถึงกลายเป็นแบบนี้ มันต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ ๆ พวกเจ้า 2 คนไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ออกไป!!”
หยินเสวี่ยผลักถังน้ำออกไปทันทีอย่างตื่นตระหนก
นางเพิ่งเห็นหน้าตาน่าเกลียดสะท้อนอยู่ในถังน้ำนั้น ซึ่งความจริงแล้วมันไม่สามารถเรียกว่าเป็นหน้าคนด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะบนใบหน้าที่เคยเรียบเนียนนั้นเต็มไปด้วยรอยย่นและรอยแผลเป็นซึ่งบางส่วนกำลังตกสะเก็ด แล้วมีอีกส่วนหนึ่งเปลี่ยนเป็นรอยสีแดงเข้ม
สภาพของนางมันน่าเกลียดมาก น่าเกลียดยิ่งกว่าผู้หญิงอัปลักษณ์ที่สุดที่นางเคยพบเห็นเสียอีก!
แล้วตัวนางกลายมามีสภาพน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
หยินเสวี่ยไม่อาจยอมรับความเป็นจริงได้ชั่วขณะหนึ่ง นางจึงคลุ้มคลั่งทำลายข้าวของในกระท่อมจนพังราบเป็นหน้ากลอง
ส่วนภูตชายทั้ง 2 ที่เป็นสามีของนางยังคงยืนสับสนอยู่เพราะไม่รู้ว่าทำไมภรรยาของตัวเองถึงได้บ้าคลั่งขึ้นมาแบบนี้
ทันใดนั้นพวกเขาก็นึกขึ้นได้ตอนที่หันไปมองถังน้ำ
วินาทีต่อมา ทั้งคู่ยกมือตบหน้าผากของตัวเองเต็มแรงพร้อมกับก่นด่าตัวเองในใจ
ข้าลืมไปได้ไงว่าในน้ำมีเงาสะท้อน!
ข้านี่มันโง่เง่าชะมัด ทำไมถึงคิดไม่ได้นะ!
จากนั้นความวุ่นวายภายในกระท่อมก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงโดยง่าย
ไม่ว่าทั้ง 2 คนจะพยายามอธิบายอย่างไร หยินเสวี่ยก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ภูตที่เฝ้ายามอยู่ข้างนอกประตูฟังการเคลื่อนไหวจากภายในพลางแอบหัวเราะเยาะในใจ
ผู้หญิงจิตใจเลวทรามแบบนี้ แค่แม่หมอช่วยชีวิตนางเอาไว้ก็นับว่าเป็นโชคดีของนางมากแล้ว
…
เมื่อถึงยามที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
ภูตคนหนึ่งก็เดินมาถึงนอกกระท่อม ซึ่งเขาเป็นคนที่หยินซางส่งมา