บทที่ 35: พวกเขาโลภ แต่ข้าผู้นี้โลภมากยิ่งกว่า! พวกเขาหลอกลวง แต่ข้าหลอกลวงมากยิ่งกว่า!
วันนี้ลงถึง 38 ขอรับ
บทที่ 35: พวกเขาโลภ แต่ข้าผู้นี้โลภมากยิ่งกว่า! พวกเขาหลอกลวง แต่ข้าหลอกลวงมากยิ่งกว่า!
หลินเป่ยฟานหันกลับมาและปิดประตู จากนั้นเขามองไปที่ร่างที่คุ้นเคยตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและถามออกมาว่า “ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนี้?”
“ในช่วงนี้ ข้าได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตัวท่านว่าท่านเป็นข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง! ทว่าในระหว่างที่ได้อยู่ด้วยกัน ข้าก็พบว่าท่านไม่ใช่คนแบบนั้นเลย! ท่านไม่สนใจชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ไม่หลงระเริงในความสุข ไม่กลัวอำนาจมืด ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจและเท่าเทียมกัน! คนเช่นนี้จะเป็นข้าราชการที่ทุจริตได้ยังไงกัน?”
“แต่เมื่อเช้านี้ ข้าเห็นกล่องเงินสองกล่องถูกส่งมาให้ท่าน ซึ่งกระตุ้นความสงสัยและความไม่มั่นใจของข้า การไม่เปิดมันทำให้ข้าไม่สบายใจ! ดังนั้นคืนนี้ ข้าจึงมาที่นี่และพบว่าท่านได้ออกไป อีกทั้งเงินก็หายไปด้วย!”
“ทำให้ข้านึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ เรื่องราวของวีรบุรุษยามรัตติกาลในเมืองหลวง ผู้ใจกว้างและเอื้ออารีต่อคนยากจน แต่ไม่มีใครรู้ตัวตนของเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขานำเงินพวกนี้มาจากที่ใด! เรื่องราวของคนผู้นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ท่านได้กลายเป็นข้าราชการระดับสูง ดังนั้นข้าจึงได้ทำการคาดเดา! เมื่อเห็นท่านกลับมา ทั้งยังสวมเสื้อผ้าชุดสีดำออกไปยามวิกาล มันจึงยืนยันการคาดเดาในใจของข้ามากยิ่งขึ้น!”
“เช่นนั้นแล้ว ท่านเป็นวีรบุรุษรัตติกาลใช่ไหมเจ้าคะ?” หลี่ซือซือจับแก้มของหลินเป่ยฟานอย่างอ่อนโยนพลางจ้องมองไปที่ดวงตาของเขาด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
หลินเป่ยฟานพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าคือวีรบุรุษรัตติกาล!”
“อืม~” หลี่ซือซือปิดปากของตัวเองด้วยความตื่นเต้น
“ข้าได้ส่งเงินทั้งหมดที่ข้าได้รับจากการทุจริตให้แก่คนยากจน! ข้าหวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากได้รับเงินพวกนี้ไป!” หลินเป่ยฟานกล่าวต่อ
“เหตุใดท่านจึงต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า? ท่านรู้ไหมว่ามันอันตรายแค่ไหน?” หลี่ซือซือคว้าแขนของหลินเป่ยฟานและพูดด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมข้าจะไม่รู้ แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!” หลินเป่ยฟานถอนหายใจ
“ข้าเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนและได้เป็นที่ประจักษ์ว่าข้าราชการทุจริตใช้ประโยชน์จากประชาชนอย่างไร พวกเขาทำให้ประชาชนใช้ชีวิตยากเพียงใด ข้ารู้สึกไม่พอใจและพยายามร่ำเรียนอย่างหนักเพื่อเป็นข้าราชการระดับสูง เพื่อแก้แค้นพวกเขา! ข้าก็แค่ขโมยสิ่งที่พวกเขาขโมยจากประชาชนกลับคืนมาเท่านั้น! นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้!”
“ท่านยังสามารถเป็นข้าราชการที่ดีและทำประโยชน์ต่อประชาชนได้นะเจ้าค่ะ!” หลี่ซือซือให้คำแนะนำ
“เจ้าคิดเรียบง่ายเกินไปแล้ว!” หลินเป่ยฟานได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ทั่วทั้งราชสำนักทุจริตกันไปหมดแล้ว! มีผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ ย่อมมีข้าราชการที่เจ้าเล่ห์ แม้ว่าข้าจะไม่ได้ทุจริต แต่ผู้อื่นก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เจ้าทุจริต! หากเจ้ายังคงปฏิเสธที่จะทุจริต พวกเขาก็จะหาวิธีกำจัดเจ้าให้พ้นจากอำนาจ! ราชสำนักในปัจจุบันไม่มีที่ให้ข้าราชการที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์เหลืออีกแล้ว!”
“ใช่ ราชสำนักไม่อาจมีที่ให้ข้าราชการที่ขาวสะอาดอีกแล้ว…” หลี่ซือซือพึมพำ นางเข้าใจคำพูดของเขาอย่างลึกซึ้ง ครั้งหนึ่งพ่อของนางเคยใฝ่ฝันที่จะเป็นข้าราชการที่ดี แต่การอยู่ในราชสำนักที่เต็มไปด้วยการทุจริต จึงถูกครอบงำโดยข้าราชการที่ชั่วร้าย
กระทั่งข้าราชการฝ่ายทหารและครัวเรือนยังทุจริตเลย หากไม่ทำด้วย ย่อมถูกขับไสทิ้งให้โดดเดี่ยว การที่จะทำอะไรล้วนยากยิ่ง สุดท้ายก็จะกลายเป็นเพียงน้ำตาลเคลือบที่ปิดบังความผิดของผู้อื่น
“เช่นเดียวกับหม้อหมึกสีดำที่เต็มไปด้วยน้ำหมึก หากหยดน้ำใสลงไป มันย่อมไม่สามารถชะล้างให้สะอาดได้!”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่เข้าร่วมกับพวกเขาล่ะ?” หลินเป่ยฟานแค่นเสียง “พวกเขาทุจริต ข้าก็จะต้องทุจริตมากกว่าพวกเขา! พวกเขาหลอกลวงผู้อื่น ข้าก็จะหลอกลวงให้ได้มากกว่าพวกเขา! มิฉะนั้นข้าจะต่อสู้กับพวกเขาได้ยังไงกัน?”
หลี่ถึงกับตัวสั่น
ร่างผิวขาวที่อยู่นอกหน้าต่างก็ตัวสั่นเทาเช่นเดียวกัน “แต่ชื่อเสียงของท่าน…”
“ชื่อเสียงของข้าไม่สำคัญ!” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมา “เพราะข้าไม่ได้คิดจะเป็นข้าราชการไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว ชื่อเสียงพวกนี้จะไปมีประโยชน์อะไร? ถ้าข้าสามารถเป็นข้าราชการได้นานสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ข้าก็จะเป็น หากไม่ได้ ข้าแค่เพียงหนีไป การเป็นผู้กล้าที่ซ่อนเร้นตัวตนของข้าทั้งหมดเพื่อการทำดี! ในโลกใบใหญ่นี้ มีที่ใดข้าจะไม่สามารถไปได้อีก?”
“พูดตามตรง ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าไม่เคยมีเรื่องการเป็นข้าราชการมาก่อน! ความฝันของข้าคือการเป็นวีรบุรุษในโลกศิลปะการต่อสู้ เดินไปตามแม่น้ำและทะเลสาบ ช่วยผู้อ่อนแอและต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่ง เพลิดเพลินกับความหอมหวานของการแก้แค้น! ถ้ามีอะไรไม่ยุติธรรม ข้าจะจัดการเอง ถ้าข้าไม่ชอบหน้าผู้ใด ข้าจะแทงมันด้วยดาบ ทำไมข้าจักต้องทำอะไรซับซ้อนอย่างเช่นสิ่งที่ทำยามนี้ด้วยเล่า?”
“นายท่าน…” ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหลี่ซือซือเริ่มพร่ามัว แต่ภาพของหลินเป่ยฟานในใจของนางกลับแจ่มชัดยิ่งขึ้น
เดิมทีเขาเป็นชายหนุ่มที่เพียงแสวงหาอิสรภาพและความรัก! แต่เพื่อประโยชน์ของผู้คน เขาต้องละทิ้งวิชาศิลปะการต่อสู้และเข้าสู่หนทางของข้าราชการที่สกปรก ทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการทำ กลายเป็นข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งทุกคนเกลียดชัง รวมถึงตัวเขาเองด้วย!
เพื่อเห็นแก่ประชาชนทั่วไป เขาทิ้งอิสรภาพ แบกรับภาระอันหนักอึ้งและเดินมุ่งไปข้างหน้า! ในยามนั้นเอง หลี่ซือซือได้คร่ำครวญออกมาดั่งวารีที่กำลังไหลริน!