บทที่ 557: ของดูต่างหน้าของผู้หญิงคนนั้น
“แต่ไอ้เด็กนั่นฉลาดมาก แล้วเราก็ไม่มีอะไรที่เหมาะสมจะเอามาเป็นของดูต่างหน้า ถ้ามันรู้ว่าเราโกหก มันจะยิ่งไม่ไว้ใจเสวี่ยเอ๋อมากกว่าเดิมหรือเปล่า?” ชายคนที่ไม่ได้เสนอความคิดเห็นถามขึ้นมา
แล้วชายผู้เป็นเจ้าของความคิดก็ต้องเกาหัวเพราะทำอะไรไม่ถูก
“ข้าไม่ได้คิดถึงกรณีนั้นเลย...”
“ความคิดแบบนี้เจ้าอย่าคิดขึ้นมาดีกว่า มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย!”
เวลานั้นคู่ของหยินเสวี่ยกำลังบ่นพึมพำอย่างหมดหนทาง แต่นางกลับจริงจังกับคำพูดของอีกฝ่ายไปแล้ว
ในไม่ช้า หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นพูดขัดจังหวะคู่ทั้ง 2 คน
“ของดูต่างหน้าของพ่อแม่มัน... ข้าคิดว่าของแบบนั้นข้ามีอยู่...”
ในตอนที่พี่ชายของนางกับภูตอสูรคนนั้นตกลงปลงใจกัน พวกเขาก็เก็บความลับเรื่องนี้ไม่ให้คนในเผ่ารู้
มีเพียงหยินเสวี่ยเท่านั้นที่รู้เรื่องดังกล่าว และหยินเหลยไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ตนมีคู่ต่างเผ่าพันธุ์กับนาง แล้วยังพานางไปพบกับผู้หญิงคนนั้นอีกด้วย
เพราะเหตุนี้ หญิงสาวจึงมีโอกาสได้พบปะกับพี่ชายและภรรยาของเขา แล้วนางก็นำเรื่องทั้งหมดไปแจ้งให้พวกผู้อาวุโสทราบ
ในตอนนั้นนางได้เห็นร่างสัตว์ของผู้หญิงที่เป็นคู่ของพี่ชายแล้วคิดว่ามันสวยมาก ซึ่งสวยจนทำให้ตัวนางรู้สึกอิจฉาตาร้อน
ดังนั้นหลังจากที่คนในเผ่าฆ่าหยินเหลยกับคู่ของเขาไป นางก็แอบดึงเกล็ดของภูตอสูรมาเก็บเอาไว้ในขณะที่ทุกคนไม่ทันได้สนใจตน
เป็นเพราะหญิงสาวกลัวว่าจะถูกคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า นางจึงซ่อนมันเอาไว้ตลอดเวลาไม่ให้ใครเห็น แม้แต่คู่ของนางก็ยังไม่รู้เรื่องที่นางทำ
แล้วโชคดีที่ในตอนที่นางอพยพหนีภัยแล้งออกมาจากเผ่า นางก็เอามันติดตัวมาด้วย
เมื่อคู่ทั้ง 2 คนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็หันไปมองหยินเสวี่ยด้วยสายตาสงสัย
“พวกเจ้าไปเอาสัมภาระทั้งหมดของข้ามาซิ” หญิงสาวดึงสติตัวเองกลับมาจากความทรงจำและออกคำสั่งอย่างเร่งรีบ
แม้ว่านางจะเอาเกล็ดของภูตอสูรติดตัวมาด้วย แต่ว่าระหว่างทางนางก็ไม่เคยเอามันออกมาเลยสักครั้งเพราะกลัวว่าคนในเผ่าจะเห็นมันเข้า แล้วมันก็จะกลายเป็นปัญหาตามมาทีหลัง
นางจึงจำเป็นต้องป้องกันเอาไว้ เพราะไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าหากหัวหน้าเผ่าหรือผู้อาวุโสรู้เรื่องนี้เข้า ชีวิตของนางจะเป็นอย่างไรต่อไป
สิ้นเสียงคำสั่งของหญิงสาว ภูตชาย 2 คนก็รีบไปคว้าสัมภาระของคู่ตัวเองมา
พวกเขาไม่ได้มีข้าวของติดตัวมามากนัก มีเพียงห่อหนังสัตว์ 2 ห่อซึ่งพวกมันเป็นของหยินเสวี่ยทั้งหมด
หลังจากหญิงสาวได้รับสัมภาระมาแล้วก็รีบเปิดมัน ก่อนจะเทของทุกอย่างออกมา
ข้างในนั้นมีอาหารที่เน่าเสีย เครื่องใช้สำหรับการรับประทานอาหาร และเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของนาง
ทันใดนั้น เกล็ดที่เปล่งแสงหลากสีก็ตกลงมาจากกองขยะที่ส่งกลิ่นเหม็น
นั่นทำให้หยินเสวี่ยรู้สึกดีใจมาก นางรีบโยนผ้าหนังสัตว์ในมือทิ้ง หยิบเกล็ดภูตอสูรมาถือไว้บนฝ่ามือก่อนจะเช็ดมันเบา ๆ
แต่เมื่อเทียบเกล็ดที่สวยงามกับมือของนางแล้วมันตัดกันมาก เพราะมือนางนั้นทั้งสกปรกและดำคล้ำ
“โชคดีที่สิ่งนี้ยังคงอยู่...” หยินเสวี่ยพึมพำกับตัวเองพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถ้ามีของดูต่างหน้าของผู้หญิงคนนั้น นางมั่นใจว่าหยินชางจะต้องเชื่อฟังนางอย่างแน่นอน
...
ในช่วงที่พักอยู่ในเผ่าเยว่หู พวกหลงอวี้จะไม่ไปเกาะแกะแม่จิ้งจอกสักเท่าไหร่ พวกเขาจะตามหูหลินไปต้อย ๆ ทุกวัน และไปทุกที่ที่ใครก็ตามต้องการความช่วยเหลือ
แม้ว่าทั้ง 4 คนจะยังเป็นเด็ก แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ทำงานได้ค่อนข้างรอบคอบ ลูกน้องหลายคนที่ทำงานให้กับหูหลินชื่นชมลูกของหูเจียวเจียวมาก และเห็นว่าเด็ก ๆ ช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเขาได้จริง ๆ ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกยินดีที่จะให้เด็กพวกนี้ตามพวกตนไปทำงาน
ส่วนหลงหลิงเอ๋อกับหยินชางจะติดตามท่านหมอไปตรวจรักษาภูตที่บาดเจ็บหรือล้มป่วยในเผ่า หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกันแล้ว พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะผลัดกันส่งหมอไปเฝ้าประตูเผ่าเพื่อป้องกันไม่ให้ภูตที่มีปัญหาเข้ามาข้างใน
แต่บรรดาหมอต่างก็รู้สึกสงสารหมอผีตัวน้อย ด้วยความที่กลัวว่านางจะเหนื่อย พวกเขาจึงไม่ได้ขอให้นางไปทำงานในส่วนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ห้ามหากอีกฝ่ายอยากจะไปช่วยงาน ถ้าเด็กหญิงรู้สึกเหนื่อย นางก็สามารถกลับไปพักผ่อนได้ทุกเมื่อ
ปัจจุบันหลงหลิงเอ๋อยังเด็ก แม้ว่าพลังของหมอผีจะถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่ที่นางอายุยังน้อย แต่ความสามารถของนางก็ยังคงมีจำกัด อย่างมากสุดนางจะสามารถใช้พลังรักษาผู้ป่วยได้ 3-5 คนต่อวันเท่านั้น
นอกจากนี้เป็นเรื่องที่โชคดีที่เด็กหญิงไม่ได้มีเพียงความสามารถของหมอผีเท่านั้น นางยังได้ร่ำเรียนวิชาทางการแพทย์ติดตัวเอาไว้อีกด้วย แล้วนางก็มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้วิชาจากผู้เป็นอาจารย์รวมถึงในตำราเหมือนเดิมแม้ว่าตัวเองจะมีพลังที่รักษาภูตให้หายได้ในพริบตาก็ตาม
สาวน้อยตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าหากไม่ได้พบกับคนที่ป่วยหนัก หรือคนที่ป่วยจนเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย นางจะใช้เพียงวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา
ด้วยวิธีดังกล่าว นางจึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เกือบทั้งวัน
อีกทั้งการกระทำเหล่านี้ก็ทำให้ท่านหมอและทุกคนรู้สึกชื่นชมในตัวนางมาก
สำหรับหยินชาง เขาเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ของหลงหลิงเอ๋อ เขาจะคอยทำหน้าที่ปกป้องนางจากคนข้างนอก
เนื่องจากพวกภูตต้องผ่านการคัดกรอง การวินิจฉัย และรักษาก่อนที่จะเข้าไปในเผ่าได้ ภูตจึงจำเป็นต้องเข้าแถวให้หมอตรวจสอบกันยาวเหยียด
นั่นทำให้ภูตบางคนไม่สามารถอดทนเข้าแถวได้ คนพวกนั้นจึงตัดสินใจรีบพุ่งเข้าไปทางประตูเผ่า ซึ่งทางด้านคนเป็นหมอก็จะไม่สนใจพวกมันแล้วปล่อยให้คนที่มีหน้าที่เฝ้าประตูจัดการกำราบอีกฝ่ายแทนและไม่ให้คนฝ่าฝืนกฎเข้าร่วมเผ่าอีก
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ภูตที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างนอกก็รู้ว่าการสร้างปัญหาจะทำให้ตนเองไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เข้าไปในเผ่า ดังนั้นหลายคนจึงช่วยขับไล่คนที่มาสร้างปัญหาออกไป อีกทั้งพอมีตัวอย่างให้เห็น ทุกคนก็ปฏิบัติตามกฎของเผ่าอย่างเชื่อฟัง
จนกระทั่งปัจจุบันมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ก่อเรื่องอยู่ที่หน้าประตู แต่หยินชางก็ยังไม่กล้าที่จะผ่อนคลายความระมัดระวังลง
“แม่หมอ มีคนกำลังตามหาตัวท่านอยู่”
ในตอนที่หลงหลิงเอ๋อเพิ่งรักษาภูตคนหนึ่งเสร็จ จู่ ๆ ก็มีภูตชายวิ่งเข้ามาแจ้งข่าวจากด้านหลัง
ยามนี้เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของผู้เป็นหมอผี ตัวเด็กหญิงเกือบจะถูกล้อมรอบด้วยองครักษ์ถึง 3 ชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครได้เข้ามาประชิดตัวนาง
“ใครตามหาข้าหรือ?” หลงหลิงเอ๋อยืนขึ้น แล้วหันหลังไปถามคนที่มาแจ้งข่าว
ส่วนหยินชางที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยื่นผ้าหนังสัตว์ที่เปียกน้ำหมาด ๆ ให้คนตัวเล็ก และนางก็หยิบมันมาเช็ดมือตัวเอง เนื่องจากน้ำได้รับความร้อนจากแสงแดด หนังสัตว์จึงร้อนเหมือนกัน
แม่จิ้งจอกบอกกับนางว่าหลังจากที่นางสัมผัสตัวคนอื่นแล้ว นางควรทำความสะอาดล้างไม้ล้างมือให้เรียบร้อย ซึ่งน้ำพวกนี้ท่านแม่ก็เป็นคนเตรียมเอาไว้ให้ตนโดยเฉพาะ
ทั้งหลงหลิงเอ๋อกับหยินชางต่างก็จดจำคำเตือนของผู้เป็นแม่จนขึ้นใจ พวกเขาไม่ลืมที่จะดูแลป้องกันตัวเองให้ดีตามคำสั่งของท่านแม่
ทางด้านภูตที่อยู่ด้านหลังก้าวออกไป และเด็กหญิงก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเหยื่อขนาดใหญ่
“แม่หมอ นี่คือเหยื่อของท่าน” ชายคนนั้นพูดเสียงดังขณะที่เขาวางเหยื่อลงบนพื้นพร้อมกับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า
“เหยื่อของข้างั้นหรือ ท่านเข้าใจผิดหรือเปล่า? ข้าไม่มีเหยื่อเป็นของตัวเองสักหน่อย” หลงหลิงเอ๋อกล่าวพลางทำหน้างุนงง
แล้วนางก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตามาก
“ตอบแม่หมอ นี่คือเหยื่อที่หยินเสวี่ยเอามาตอบแทนท่านที่ท่านช่วยรักษานาง”
ภูตชายที่นำเหยื่อมาส่งอธิบาย จากนั้นเขาก็หันไปมองหน้าหยินชาง ก่อนจะพูดเสริมว่า
“นางเป็นอาของหยินชาง”
ในที่สุดหลงหลิงเอ๋อก็เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ใบหน้าของนางก็ยังแสดงความรู้สึกประหลาดใจ
“ข้าไม่คาดคิดว่านางจะไปหาเหยื่อส่งมาให้ข้าจริง ๆ...” เด็กหญิงพึมพำกับตัวเองเสียงเบา แล้วหันไปมองชายผู้ส่งเหยื่อด้วยสายตาแปลก ๆ
ท่านอาของหยินชางอยากได้ตัวของเขากลับไปไม่ใช่หรือ?
“แล้วทำไมนางไม่มาที่นี่เอง?” หลงหลิงเอ๋อถามอย่างสงสัย
“นางยังคงป่วยอยู่ แล้วหัวหน้าก็มีคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นออกมาเดินเตร็ดเตร่ในเผ่า ดังนั้นข้าจึงเอาเหยื่อนี้มามอบให้กับท่านแทน” ภูตคนที่มาส่งเหยื่อตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
ทางด้านหมอผีตัวน้อยส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง “หยินชาง อาการบาดเจ็บของอาเจ้าน่าจะดีขึ้นแล้ว เจ้าอยากจะไปเยี่ยมนางไหม?”
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านอาของหยินชาง ดังนั้นเด็กหญิงจึงไม่ได้พูดอะไรมากนักเพราะนางกังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกไม่สบายใจ
แต่พอตัวเด็กหนุ่มนึกถึงการพบปะกันครั้งที่แล้วซึ่งไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เขาก็ขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่ ในเมื่อเจ้าบอกว่านางดีขึ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเยี่ยมนางหรอก”
อีกทั้งตอนนี้เขาไม่อยากเสวนากับหยินเสวี่ยมากนัก
ถึงอย่างไรเขาก็คงไม่สามารถถามเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อแม่ของตนจากปากของนางได้เนื่องจากเขามักจะรู้สึกว่าท่านอาคนนี้ดูเหมือนจงใจจะปิดบังอะไรบางสิ่งเอาไว้
สำหรับหยินชางแล้ว หยินเสวี่ยไม่ต่างอะไรไปจากคนแปลกหน้าเลยสักนิดเพราะในอดีตที่ผ่านมาตนไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเลย
“ถ้างั้นเรารีบกลับไปจัดการเหยื่อกันเถอะ ไม่อย่างนั้นเนื้อที่ได้มาจะเหม็นสาบ” หลงหลิงเอ๋อเสนอแนะขึ้นมา
ช่วงนี้ทั้งหูเจียวเจียวและหลงโม่ต่างก็ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง นั่นทำให้เหล่าเด็กน้อยไม่สามารถเข้าไปในบ้านตอนกลางวันได้เลย
มิหนำซ้ำลูก ๆ ก็ถูกพ่อมังกร ‘ทรมาน’ ด้วยอาหาร ดังนั้นทุกคนจึงไม่อยากอยู่ในบ้านเวลากลางวัน แถมพวกเขายังรู้ดีว่าพ่อแม่ของตนกำลังทำอะไรอยู่
แน่นอนว่ายกเว้นหลงเหยาที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น
หยินชางพยักหน้าตอบรับข้อเสนอของเด็กหญิง ซึ่งตามปกติเขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไรนางอยู่แล้ว
ในเวลาเดียวกัน พวกท่านหมอก็อยากให้หลงหลิงเอ๋อกลับไปพักผ่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นด้วย
“ท่านลุง ข้ารบกวนท่านส่งเหยื่อกลับไปที่บ้านของเราได้ไหม เรายกไปเองไม่ไหว” หมอผีตัวน้อยหันไปถามชายที่มาส่งเหยื่อด้วยน้ำเสียงไพเราะ
“ได้สิ!”
ชายผู้นั้นตอบพร้อมกับยกเหยื่อขึ้นมาทันที เขาจะกล้าปฏิเสธคำขอของหมอผีได้อย่างไรล่ะ?
จากนั้นพวกเขาทั้ง 3 ก็เดินมุ่งหน้ากลับบ้านตระกูลหลง
ทันทีที่หลงหลิงเอ๋อมาถึงประตู นางก็เห็นคนมายืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ใกล้บ้านของนาง