บทที่ 31: พวกท่านกล้าท้าทายข้าหรือ?
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 31: พวกท่านกล้าท้าทายข้าหรือ?
สถาบันจักรพรรดิเป็นสถาบันการเรียนรู้ที่สูงที่สุดในจักรวรรดิ เหล่าศิษย์ที่นั่นคล้ายกับต้นอ่อนและต้นกล้าที่กำลังรอเติบโต เพื่อปลูกฝังความสามารถที่โดดเด่นให้กับประเทศชาติ พวกเขาได้เสนอทรัพยากรทางการศึกษาที่หลากหลาย รวมทั้งยังมีกฎระเบียบที่เข้มงวด หนึ่งในนั้นคือหากศิษย์ประพฤติไม่ดี พวกเขาจะต้องถูกไล่ออก
เมื่อถูกไล่ออกแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถเข้ารับการสอบของจักรพรรดิได้ตลอดชีวิต กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สำหรับศิษย์ที่ร่ำเรียนอยู่ที่นั่น หากพวกเขาถูกไล่ออกจากสถาบันจักรพรรดิ พวกเขาจะไม่สามารถกลายเป็นข้าราชการได้อีกต่อไป
เหล่าข้าราชการราชสำนักเหล่านี้จะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“หลินเป่ยฟาน เจ้าอย่ากล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเชียว!”
“เจ้าไม่กลัวที่จะทำให้เราขุ่นเคืองหรือ?”
“เจ้าไม่อยากก้าวหน้าในอาชีพของเจ้าเหรอ?”
หลินเป่ยฟานก้าวไปข้างหน้าและตะโกนว่า “พวกท่านกล้าท้าทายข้าหรือ?”
คล้ายดั่งดาบของนักรบได้เปิดเผยโฉมมันออกมา!
เหล่าข้าราชการผู้อื่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล่าถอยไป!
หัวใจของพวกเขาทั้งตกใจและโกรธมาก!
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมข้าราชการระดับหกที่ต่ำต้อยผู้นี้ถึงกล้าหาญและไม่กลัวใคร ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดินีงั้นเหรอ?
คนทั่วไปที่กำลังมุงดูอยู่ก็ประหลาดใจมากเช่นกัน ข้าราชการระดับสูงที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง กลับกล้าเผชิญหน้ากับข้าราชการราชสำนักหลายคน มันเป็นความกล้าหาญที่ไม่ธรรมดาเลย
ท้ายที่สุด เหล่าข้าราชการที่รุมล้อมก็ได้ถอยไปหนึ่งก้าว
"เหอะ! กลับ!"
เสนาบดีเจ้ากรมครัวเรือน เกาเทียนเย่าได้ถอยจากไปพร้อมกับคนของเขา
ข้าราชการคนอื่นๆ ก็ตามไป
มาอย่างเร่งรีบ กลับอย่างเร่งรีบ!
หลินเป่ยฟานหันกลับไปและเดินเข้าเรือน
“ปิดประตูให้แน่นแล้วกินสำรับต่อเถิด!”
"ขอรับนายท่าน!" (ต้าหลี่)
วันรุ่งขึ้น หลินเป่ยฟานขึ้นราชสำนักราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาคิดว่าเขาจะได้พบกับพายุที่โหมรุนแรง แต่ข้าราชการเหล่านี้ไม่ได้พูดถึงมันเลย มีเพียงแต่สีหน้าที่บิดเบี้ยวเท่านั้น
อันที่จริง มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ลูกชายของพวกเขาสร้างปัญหาก่อน ส่วนหลินเป่ยฟานก็แค่บังคับใช้กฎ หากพวกเขาไปหาจักรพรรดินีด้วยเรื่องนี้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะผิดและพวกเขาจะถูกกล่าวหาว่าไม่มีวินัยกับลูกชายของพวกเขาอย่างเคร่งครัดพอ
หลินเป่ยฟานเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่จักรพรรดินีทรงโปรด อย่างมากสิ่งที่เขาทำก็คงถูกกล่าวตักเตือน
หากเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเขาต้องแส่หาเรื่องกันล่ะ?
ทว่าในเมื่อหลินเป่ยฟานทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมต้องจัดการอีกฝ่ายให้จงได้
ในช่วงเช้า แต่เดิมคงมีคนพูดคุยกับเขาบ้างสักสองสามคำ ซึ่งยามนี้กลับไม่มีใครกล้าพูดคุยกับเขาเลย บางคนถึงขั้นหลีกเลี่ยง
เขายืนเงียบๆ ที่ด้านหลัง ดูโดดเดี่ยวมาก
หลินเป่ยฟานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เขาได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับกลุ่มระดับสูงทั้งหมดในราชสำนัก ภายในไม่กี่วันหลังจากเข้ารับตำแหน่ง เขาบุกเข้าไปในเรือนของเสนาบดีครัวเรือน สร้างความโกรธเกลียดต่อข้าราชการที่อยู่ฝ่ายนั้นทั้งหมด
แถมพอถูกเลื่อนขั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็ได้ล่วงเกินกลุ่มใหญ่สองกลุ่มในราชสำนักแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเอาเงินของจักรพรรดินีไปด้วย!
การเป็นข้าราชการนี้เหมือนกับต้องเต้นรำท่ามกลางห่าคมมีดก็ไม่ปาน!
โชคดีที่จักรพรรดินียังคงไม่รู้และปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี มิฉะนั้นเขาคงต้องละทิ้งตำแหน่งข้าราชการของตนและออกเดินทางทั่วโลกไปแล้ว!
ความรู้สึกนี้มันช่าง…
น่าตื่นเต้นยิ่งนัก!!!
ราชสำนักช่วงรุ่งสางจบลงแล้ว หลินเป่ยฟานจึงกลับไปที่สถาบันจักรพรรดิ
ระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นทหารรักษาการณ์ นักเรียนหรืออาจารย์ทุกคนก็มองไปที่หลินเป่ยฟานด้วยสายตาชื่นชม
“ท่านหลิน ท่านช่างน่าทึ่งมาก!”
“ถึงขั้นถือไม้โบยสั่งสอนพวกข้าราชการรุ่นสองที่หยิ่งทระนงได้!”
“สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือเรื่องเมื่อคืนก่อนต่างหาก! ข้าได้ยินมาว่าบิดาของคนพวกนั้นทั้งหมดไปที่เรือนของท่านหลินเพื่อสร้างปัญหา แต่ท่านหลินไม่กลัวและดุพวกเขาแทน สมกับที่เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเรา!”
“ทว่าแม้ท่านหลินจะทำเช่นนี้ไป แต่คงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่ในอนาคตจะสามารถก้าวหน้าในอาชีพข้าราชการได้!”
“เขาจะกลัวอะไรกันเล่า? โลกกว้างใหญ่ไพศาล ความจริงต่างหากที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”
“เพื่อที่จะเป็นข้าราชการ เราควรจะไม่กลัวเหมือนท่านหลิน!”
ศิษย์ที่นี่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบข้าราชการอย่างเป็นทางการ ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับผลเสียจากมัน จิตใจของพวกเขาจึงยังบริสุทธิ์
พวกเขาคิดว่าพฤติกรรมของหลินเป่ยฟานที่ไม่กลัวผู้มีอำนาจนั้นน่าทึ่งและเป็นผลให้เขาได้ถูกชื่นชมจากผู้เยาว์จำนวนมาก
ในเวลานี้ หลินเป่ยฟานก็ได้มาถึงทางเข้าของสถาบันจักรพรรดิแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไป เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้นที่ไม่มีสีหน้าใดๆ มองไปทุกทิศทางและรับฟังทุกอย่าง
เขาต้องการดูว่าเจ้าเด็กพวกนั้นกล้าที่จะมาสายหรือจะไม่มากันเลย
หลังจากนั้นไม่นาน ลูกชายของเสนาบดีเจ้ากรมครัวเรือน เกาเทียนหยูก็มาถึง ตัวเขายังเจ็บระบมจากความเจ็บปวดเมื่อวันก่อนอยู่เลย เมื่อเขาเห็นหลินเป่ยฟาน ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
หลังจากที่เขากลับไปเมื่อวันก่อนนี้ เขาก็รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือใคร เป็นข้าราชการระดับสูงคนใหม่ หลินเป่ยฟาน อีกฝ่ายไม่เพียงแต่พรากผู้หญิงที่เขาชอบไป แต่ยังกล้าริบเงินของเขาและตีทิ้งรอยฟกช้ำไว้ที่ก้นของเขาอีก
หลินเป่ยฟานข่มขู่เขาด้วย โดยบอกว่าเขาจะถูกไล่ออกจากสถาบันหากเขาไม่มาและเขาก็จะไม่มีวันกลายเป็นข้าราชการตลอดชีวิต
เขาไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อนเลย มันทำให้เขาเกลียดหลินเป่ยฟานเข้ากระดูกดำ แต่หลินเป่ยฟานไม่สนใจความเกลียดชังในสายตาของเขาสักนิด
มีเพียงคนอ่อนแอเท่านั้นที่แสดงความเกลียดชังออกมา ผู้ที่แข็งแกร่งจะซ่อนมันไว้ในใจและหาวิธีที่จะฆ่าศัตรูของพวกเขาอย่างเงียบงันต่างหาก จากนั้นนายน้อยหลายคนก็เริ่มเข้ามากันเรื่อยๆ พวกเขาทั้งหมดยังคงเจ็บปวดระบมจากบาดแผลวันก่อน น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจ้องไปทางหลินเป่ยฟานด้วยความเกลียดชัง
หลังจากนั้นไม่นาน ระฆังเริ่มเรียนก็ดังขึ้น เมื่อเห็นบางคนที่ยังอยู่ข้างนอก หลินเป่ยฟานก็พยักหน้าและมองไปที่กลุ่มนายน้อยบางคนที่กลัว บางคนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จากนั้นเขาจึงพูดว่า “ดีมาก พวกเจ้าทุกคนอยู่ที่นี่กันแล้ว แต่พวกเจ้ามาสาย!”