บทที่ 554: เผ่าเยว่หูในฝัน
หูเจียวเจียวมองไปในระยะไกล ซึ่งเส้นทางสุดลูกหูลูกตานั้นเธอไม่รู้ว่ามีศพจำนวนเท่าใดที่ล้มกองอยู่บนพื้นที่มีแต่พืชพันธุ์หนาทึบ
เมื่อเธอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เธอก็ทำหน้าเหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างออก
ถึงแม้จะมีศพมากมายแต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นปกติดี เนื่องจากปัจจุบันอากาศร้อนมาก ศพพวกนี้จึงเน่าเปื่อยค่อนข้างเร็ว หญิงสาวไม่รู้ว่าจะมีเชื้อโรคเติบโตได้สักกี่ตัวท่ามกลางอุณหภูมิสูง ทว่าตอนนี้สัตว์ในป่าก็ขาดแคลนอาหารไม่ต่างจากภูต ดังนั้นซากศพทั้งหลายจึงกลายเป็นอาหารของพวกมันไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังไม่รู้อีกว่าสัตว์ที่กินซากศพพวกนี้เข้าไปจะมีปัญหาอะไรไหม
เวลาต่อมา หูเจียวเจียวหยิบหนังสัตว์สะอาดขึ้นมามัดปิดจมูกปิดปากตัวเองก่อนจะเดินสำรวจต่อไป
แน่นอนว่าไม่นานหลังจากที่เธอเดินไปรอบ ๆ เธอก็พบศพอีกหลายศพในพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่เธอเพิ่งพบศพแรก แต่ศพเหล่านี้ถูกสัตว์ป่ากินจนแทบไม่เหลือเค้าความเป็นมนุษย์แล้ว
บางคนถึงกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ทำให้หัว, ลำตัว, แขนและขากระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อน แต่จิ้งจอกสาวกลับรู้สึกหนาวจนขนทั่วทั้งตัวลุกเกรียวเลยทีเดียว
พอเธอเดินต่อไปอีกชั่วครู่ เธอก็เห็นซากสัตว์ชนิดหนึ่ง
มันคือเสือดาว ซึ่งมันไม่มีรอยบาดแผลที่ชัดเจนบนตัวและร่างกายที่เน่าเปื่อยก็นอนอยู่บนพื้นเหมือนก้อนเนื้อเน่า
หูเจียวเจียวสามารถบอกได้ทันทีว่าเสือดาวไม่ได้ถูกสัตว์อื่นทำร้าย มันอาจเสียชีวิตด้วยอาการป่วย
หากภูตในเผ่าจับเหยื่อที่เป็นโรคไปกิน ผลที่ตามมาคือหายนะใหญ่หลวงแน่นอน
การที่เธอได้มาพบเจอกับศพที่นอนเกลื่อนกลาดมากมายมันทำให้เธอรู้สึกหมดความสนใจที่จะเดินสำรวจป่าต่อ
หญิงสาวจึงรีบเดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อรออยู่ที่ใต้ต้นสนที่เป็นจุดนัดพบระหว่างเธอกับมังกรหนุ่ม
จากนั้นเธอก็นำผลไม้กับอาหารที่คัดเลือกเอาไว้ตั้งแต่แรกออกมาจากมิติ รวมถึงเมล็ดพืชและต้นอ่อนที่ไม่เคยปรากฏในเผ่ามาก่อน แล้วก็เอาทั้งหมดนี้ใส่ลงไปในถุงหนังสัตว์
เมื่อหูเจียวเจียวกรอกของเข้าใส่ถุงหนังสัตว์ 3 ถุงติดต่อกันจนเต็ม ในที่สุดเธอก็ไม่อยากขยับตัวทำอะไรอีกเนื่องจากเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นหญิงสาวจึงหยิบหนังสัตว์ผืนหนึ่งเอามาปูลงบนพื้นแล้วนั่งพักผ่อน
ตามปกติแล้วในป่ามีพวกงู, แมลง, หนู และมดอยู่มากมาย โดยเฉพาะสภาพป่าในปัจจุบัน หากไม่ระวังตัวให้ดี เธออาจจะถูกแมลงพิษกัดต่อยเอาได้
แต่ก็ยังโชคดีที่ในมิติของเธอมียาไล่แมลงอยู่มากมาย แค่เธอเอามันมาฉีดรอบ ๆ หนังสัตว์ที่นั่งอยู่ก็จะไม่มีอะไรย่างกรายเข้ามาใกล้เธออีก
เวลาถัดมา จิ้งจอกสาวหยิบขวดน้ำแร่ออกมาดื่มอึกใหญ่ แล้วในที่สุดร่างกายที่รู้สึกร้อนจนริมฝีปากแห้งผากก็รู้สึกสดชื่นขึ้น
พอดื่มน้ำจนหมดขวดเธอก็เก็บมันเข้าไปในมิติ เสร็จแล้วก็เอนตัวพิงต้นสนก่อนจะหลับตาพักผ่อน
ปัจจุบันในหัวเธอเอาแต่คิดถึงภาพที่เพิ่งเห็นเมื่อกี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร จิตใจของเธอก็ไม่ยอมสงบลงสักที
ครั้งนี้หากเกิดภัยพิบัติขึ้นจริง ๆ มันคงไม่ใช่เรื่องเล็ก มันไม่ได้กระทบถึงแค่เผ่าเยว่หู แต่มันจะส่งผลถึงเผ่าเฟิงโชวด้วยเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จู่ ๆ หัวใจของจิ้งจอกสาวก็เต้นรัวไม่หยุด
ในระหว่างที่หูเจียวเจียวรู้สึกกระวนกระวาย เธอได้หยิบลูกท้อแช่เย็นออกมากัดคำใหญ่แล้วเคี้ยวกร้วม ๆ เสียงดัง
มันคงไม่มีอะไรที่ช่วยคลายความกังวลได้เท่ากับการกินแล้วจริง ๆ
จนกระทั่งหญิงสาวกัดกินผลไม้จนเหลือแต่แกน 3 ผลพลางฟังเสียงแมลงร้องเจื้อยแจ้วอยู่รอบตัว เธอจึงรู้สุขสงบลงได้บ้าง
หลังจากเธอนั่งพักผ่อนอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง เงาดำก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนที่มันจะขยับเข้ามาใกล้เธอเรื่อย ๆ
เมื่อหูเจียวเจียวเห็นเงาดำอย่างชัดเจน เธอก็รีบลุกขึ้นยืนปัดก้นของตัวเอง ก้มลงเก็บขยะทั้งหมดเข้าไปในมิติและโบกมือให้กับมังกรดำตัวใหญ่
“หลงโม่! ข้าอยู่นี่!”
แน่นอนว่าถึงแม้เธอจะไม่โบกมือเรียกอีกฝ่าย หลงโม่ก็มองเห็นเธอแล้ว
ไม่นานมังกรตัวเขื่องก็ร่อนลงในพื้นที่โล่งเล็ก ๆ ก่อนจะกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเดินไปหาภรรยาสาว
ในระหว่างนั้นเขาก็มองสำรวจร่างบอบบางตั้งแต่หัวจรดเท้า ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกโล่งใจที่รู้ว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
เมื่อมังกรหนุ่มมองไปที่ถุงหนังสัตว์ 3 ใบที่อยู่ข้างตัวจิ้งจอกสาว ร่องรอยของความประหลาดใจก็ฉายแววในดวงตาสีทอง
“เจ้าเก็บของมาได้ตั้งมากมายเลยหรือ?”
“อืม! ในป่ามีพืชที่กินได้อยู่มากมาย เจ้ามาล่าสัตว์ในป่าออกจะบ่อย ทำไมเจ้าถึงไม่เจอพวกมันเลยล่ะ” ตอนนี้หูเจียวเจียวสามารถโกหกได้แบบตาไม่กะพริบเลยทีเดียว
นั่นทำให้หลงโม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง ปกติภูตชายจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการล่าสัตว์ในป่า และบางครั้งพวกเขาก็เก็บผลไม้ที่คุ้นเคยกลับไปด้วย แต่ก็ไม่มีใครสนใจพืชที่ไม่คุ้นตาโดยเฉพาะพืชสีเขียว พวกเขาจึงไม่รู้ว่ามันกินได้หรือไม่
ในสายตาของภูต การกินพืชสีเขียวมันก็ไม่ต่างจากการกินหญ้า
เดิมทีเจียวเจียวเป็นคนที่ทำอะไรรอบคอบ แถมยังมีนิมิตจากเทพอสูรอีก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะพบพืชพวกนี้ในป่า
พอมังกรหนุ่มคิดได้เช่นนี้ เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
ในเวลาเดียวกัน จิ้งจอกสาวก็หันไปเห็นเหยื่อที่ผู้เป็นสามีนำกลับมาด้วย
มันเป็นแพะตัวสีดำ 2 ตัว โดยที่แต่ละตัวหนักประมาณ 50 กิโลกรัม และไก่ฟ้าอีก 3 ตัว
การจับเหยื่อมากมายขนาดนี้ได้ภายในเวลาอันสั้นมันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก
ปัจจุบันแพะดำตายแล้วและบาดแผลที่คอยังมีเลือดไหลอยู่ ซึ่งมันยังคงสดมาก ส่วนไก่ฟ้าทั้ง 3 ตัวยังมีชีวิตอยู่ แต่ขากับปีกของมันถูกมัดไว้ด้วยหวาย
เมื่อเห็นหูเจียวเจียวก้มลงมอง หลงโม่ก็อธิบายด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เหยื่อตัวเล็ก ๆ พวกนี้กินแต่หญ้า ถ้าเรานำกลับไปแบบเป็น ๆ พวกมันน่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีก 2-3 วัน ข้าจะเก็บพวกมันเอาไว้ให้เจ้าได้ทำอาหารกินแบบสด ๆ ดังนั้นข้าเลยไม่ได้ฆ่าพวกมัน”
พลันดวงตาของจิ้งจอกสาวเป็นประกาย ในขณะที่เธอขยับหน้าเข้าไปใกล้มังกรหนุ่ม
“พวกมันเป็นไก่ตัวเมีย ถ้าเราเอามันกลับไปเลี้ยงที่บ้าน บางทีมันอาจจะวางไข่ให้เราได้เก็บกินด้วย ยอดไปเลย”
น้ำเสียงสดใสของหญิงสาวฟังดูมีความสุขมากราวกับว่าตอนนี้ความรู้สึกแย่ ๆ ทั้งหมดได้พลันหายไปในพริบตา
เมื่อหลงโม่เห็นว่าผู้เป็นภรรยาชอบมัน สีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็อ่อนลง ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า
“ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะต้องรอข้าอยู่ที่นี่นาน ข้าก็เลยจับเหยื่อกลับมาไม่มาก เจ้าเหนื่อยไหม? ข้าจะรีบพาเจ้ากลับบ้าน”
หูเจียวเจียวส่ายหัวตอบเบา ๆ “ข้าไม่เหนื่อยเลย เจ้าเก่งมากที่จับเหยื่อมาได้ตั้งมากมาย แค่นี้ก็เพียงพอให้เรากินสำหรับวันนี้แล้ว”
ระหว่างที่จิ้งจอกสาวพูด ดวงตาลึกล้ำของมังกรหนุ่มหรี่ลง เขาสังเกตเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายซีดผิดปกติ เขาจึงยกมือขึ้นลูบผมของคนตรงหน้าแล้วถามเสียงเบาว่า
“เจ้าเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น?”
หูเจียวเจียวส่ายหัวกำลังจะปฏิเสธว่าไม่มีอะไร แต่พอลองคิดดูอีกที เธอก็ตัดสินใจบอกสิ่งที่ตัวเองพบรวมถึงความกังวลในใจให้หลงโม่ฟัง
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ ในดวงตาสีทองก็มีร่องรอยของความขุ่นมัว
หลังจากที่เขาใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พูดปลอบโยนภรรยาสาวว่า
“ไม่เป็นไร พอเรากลับไปถึงเผ่าแล้ว เราจะบอกหัวหน้าหลินเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าคาดเดาเอาไว้ เขามีประสบการณ์ในการจัดการเผ่ามาหลายสิบปี ข้าเชื่อว่าเขาจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้เช่นกัน”
สภาพแวดล้อมที่มีผลกับการเอาชีวิตรอดของภูตนั้นรุนแรงมาก ความตายสำหรับพวกเขาเกือบจะเป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวกับความยากลำบากที่ต้องเผชิญ
“อืม” หูเจียวเจียวพยักหน้า
หลังจากที่ทั้งคู่พูดคุยกันจบ พวกเขาก็มัดเหยื่อกับถุงหนังสัตว์เข้าด้วยกัน ต่อมา หลงโม่ก็กลายร่างเป็นมังกรพาจิ้งจอกสาวกลับไปที่เผ่า
สิ่งแรกที่ 2 สามีภรรยาทำหลังจากกลับไปถึงเผ่าก็คือไปหาหูหลินเพื่อเล่าเรื่องที่หูเจียวเจียวกังวลให้เขาฟัง
พอจิ้งจอกวัยกลางคนได้ยินคำพูดของลูกสาวแล้วก็ขมวดคิ้ว ซึ่งท่าทางของเขาบ่งบอกว่าเขาเองก็สนใจปัญหาดังกล่าวเช่นกัน
จากนั้นทางเผ่าก็ได้กำหนดระเบียบขึ้นมาใหม่โดยไม่อนุญาตให้คนในเผ่าออกไปจับสัตว์ป่าที่ป่วยมากิน แล้วเขายังได้ส่งกำลังคนไปเฝ้าที่ทางเข้าของเผ่าเพิ่มเติมเพื่อคัดกรองคนเข้าออกให้เข้มงวดขึ้น
แม้ว่าการทำแบบนี้จะไม่สามารถกำจัดปัญหาที่ต้นตอได้ แต่อย่างน้อยมันก็ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาได้บ้าง
เมื่อหูเจียวเจียวเห็นว่าพ่อรองไม่ได้นิ่งนอนใจเฉย ๆ เธอจึงรู้สึกโล่งใจขึ้น
ในคืนนั้นหญิงสาวหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน
พอจิ้งจอกสาวลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางหมอกหนา
ยามนี้เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยแววตาสงสัย เวลาผ่านไปไม่นาน หมอกหนาทึบก็ค่อย ๆ จางหายไป แล้วเผยให้เห็นบ้านหินที่เรียงรายเป็นแถวซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมในเผ่าเยว่หู
ในตอนนั้นเธอมีความสุขมากจึงคิดที่จะเดินกลับบ้านของตัวเอง
ขณะเดียวกัน หมอกในระยะไกลก็จางหายไปเร็วขึ้น ในไม่ช้าก็เผยให้เห็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยซากศพ และไฟที่กระจัดกระจายกำลังร่ายรำไปรอบ ๆ ศพเหล่านี้