บทที่ 553: ศพในป่า
“เจ้าอยากเข้าไปในป่าอย่างนั้นหรือ?” หลงโม่มองหูเจียวเจียวด้วยสายตาประหลาดใจ
“ข้าอยากเข้าไปสำรวจในป่าเพื่อดูว่ามีพืชที่กินได้บ้างไหม ถ้ามี มันจะสามารถช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสบียงอาหารสำหรับบางคนไปได้บ้าง” จิ้งจอกสาวอธิบาย
ในความเป็นจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องหลักที่เธออยากจะจัดการ
เหตุผลหลักก็คือ ในตอนที่ทุกคนเดินทางออกมาจากเผ่าเฟิงโชว พวกเธอไม่ได้เอาเสบียงอาหารติดมาด้วยมากนัก
เสบียงอาหารพวกนั้นเพียงพอให้กินได้แค่ไม่กี่วัน ประกอบกับหูเจียวเจียวคิดถึงความแตกต่างระหว่างป่าที่อยู่ใกล้กับเผ่าเยว่หูและพืชที่พบนอกเผ่าเฟิงโชว เธออยากไปดูว่าตนจะค้นพบพืชชนิดใหม่ที่นี่หรือไม่
อีกทั้งเธอจะใช้โอกาสนี้ในการนำอาหารกับผลไม้ออกมาจากในมิติด้วย
เนื่องจากหญิงสาวเดินทางมาที่เผ่าเยว่หูก็เพื่อหลบร้อน ดังนั้นเธอก็จะไม่ทำอะไรที่ขัดกับความตั้งใจแรกของตัวเอง
หลงโม่รู้ว่าเทพอสูรโปรดปรานเจียวเจียวมาก ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ออกไปนอกเผ่าบ่อยนัก แต่นางก็ยังรู้จักพืชในป่าเป็นอย่างดี
เมื่อชายหนุ่มได้ยินภรรยาสาวพูดแบบนั้น แน่นอนว่าเขาไม่ปฏิเสธ
“ตกลง ข้าจะพาเจ้าไปหลังจากที่กินข้าวเสร็จ” ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์อยู่แล้ว
และทั้งคู่ก็พูดคุยตกลงกันเสร็จสรรพ
หลังจากพวกเขา 2 คนทานอาหารเสร็จ หลงโม่ก็ล้างทำความสะอาดจาน
ส่วนหูเจียวเจียวกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อสวมชุดป้องกันแสงแดด ซึ่งประกอบไปด้วยชุดกางเกงผ้าป่านขายาวกับเสื้อแขนยาว และมีหมวกฟางใบใหญ่ที่ปกปิดหน้าตา เพียงแค่นี้มันก็ช่วยบดบังผิวจนมิด หลังจากแต่งตัวเสร็จเธอก็พร้อมที่จะออกไปเผชิญแสงแดดข้างนอก
ถึงแม้ว่าในเผ่าเยว่หูจะไม่ร้อนมากนัก แต่ถ้าเธอจะต้องเดินทางออกไปในป่า ระหว่างทางเธอก็จะต้องพบกับแดดที่แผดเผาจากพระอาทิตย์ เนื่องด้วยแสงแดดในปัจจุบันรุนแรงมากถึงขั้นที่ว่าแค่ได้สัมผัสมันเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ผิวของเธอหลุดลอกออกมาเป็นชั้น ๆ ได้เลย
หญิงสาวจึงป้องกันตัวเองอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้ร่างกายส่วนไหนได้สัมผัสแสงแดดอันโหดร้าย
หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย หูเจียวเจียวก็หยิบถุงหนังสัตว์ขนาดใหญ่ออกมา 2-3 ใบ จากนั้นจึงออกเดินทางไปพร้อมกับหลงโม่
ทันทีที่มังกรดำพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เธอที่นั่งอยู่บนหลังมังกรก็รับรู้ได้ถึงคลื่นความร้อนที่ปะทะเข้ามาใส่ใบหน้า
ตอนนี้มันไม่ต่างจากการที่เธออยู่ในเตาอบร้อน ๆ เลยทีเดียว
ระหว่างการเดินทาง จิ้งจอกสาวทำได้เพียงโน้มตัวลงให้ทั้งตัวแนบไปกับเกล็ดมังกร ไม่นานเธอก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
พอหญิงสาวก้มหน้าลง เธอจึงได้มองลงไปในป่าเบื้องล่าง ซึ่งภาพที่ปรากฏก็คือป่าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา
แต่ถ้าสังเกตให้ดี ๆ ก็จะเห็นว่าบริเวณโดยรอบแทบจะไม่เห็นเงาของสัตว์ป่าเลย มันเหมือนกับว่าสัตว์พวกนั้นสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
หูเจียวเจียวจำได้ว่าตอนที่เธอกับหลงโม่เคยเดินทางอยู่ในป่า มันยังมีสัตว์อยู่มากมาย
หลังจากมังกรตัวใหญ่บินได้ไม่นาน เขาก็ลดระดับความสูงเข้าไปใกล้ป่าก่อนจะลงจอด
แต่ในป่านั้นมีวัชพืชขึ้นรกครึ้มจึงแทบไม่มีที่ว่างให้มนุษย์ได้ยืน
เมื่อมังกรหนุ่มลงจอด เขาก็ใช้หางกวาดพื้นที่เล็ก ๆ บนพื้นก่อนที่จะปล่อยให้จิ้งจอกสาวลงจากหลัง
พอเท้าของหญิงสาวแตะพื้น เธอก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าแทบจะในทันที
ตอนนี้หูเจียวเจียวรับรู้กลิ่นได้ชัดเจน เธอสามารถบอกได้ว่ากลิ่นนั้นคืออะไร
มันต่างจากกลิ่นต้นไม้ที่เน่าเปื่อย ครั้งนี้มันเป็นซากศพกองหนึ่ง
จิ้งจอกสาวขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ ที่นี่มีกิ่งก้านใบไม้หนาแน่นอยู่ทุกหนทุกแห่ง วิสัยทัศน์ของเธอจึงค่อนข้างแคบ ดังนั้นเธอเลยไม่รู้ว่าต้นตอของกลิ่นมันจากทางไหน
หรือมันมาจากทุกทิศทุกทางกันแน่…
“หลงโม่เจ้าไปล่าสัตว์เถอะ ข้าจะเดินสำรวจดูบริเวณรอบ ๆ นี้ ข้าจะไม่ไปไหนไกล”
ในขณะที่หูเจียวเจียวมองสำรวจไปรอบตัว เธอก็ยื่นมือไปแตะหัวมังกรตัวใหญ่แล้วพูดเบา ๆ
“ฟู่ววว...”
มังกรดำพ่นลมหายใจ ก่อนจะพยักหน้าและพูดเป็นภาษาสัตว์ว่า
“ตกลง หลังจากล่าสัตว์เสร็จแล้ว ข้าจะกลับมารับเจ้า หรือหากมีเรื่องอะไรเร่งด่วน เจ้าก็เรียกข้าได้ทันทีเลย แล้วข้าจะรีบกลับมา”
เสียงทุ้มที่ฟังดูเหมือนออกมาจากช่องอกดังขึ้น
อันที่จริงเขาพูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ ในระหว่างที่เดินทางมาที่นี่
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรข้าจะรีบเรียกเจ้าทันทีเลย อีกสักพักเรามาเจอกันที่นี่นะ” หูเจียวเจียวยังคงรับฟังอย่างอดทน และชี้ไปที่ต้นสนขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นบริเวณนี้
จากนั้นหลงโม่ก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วบินหายไปในป่า
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าโดยรอบไม่มีสัตว์ป่าดุร้ายอยู่ใกล้ ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่วางใจปล่อยให้ภรรยาสาวต้องเสี่ยงอยู่ในป่าคนเดียว
ความเป็นจริงแล้วเขารู้ดีแก่ใจว่าด้วยความสามารถของหูเจียวเจียว แม้ว่านางจะตกอยู่ในอันตราย นางก็ยังสามารถเอาตัวรอดมาได้สบาย ๆ
แต่อีกใจหนึ่งตัวมังกรหนุ่มก็มองว่าจิ้งจอกสาวเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอ และอดคิดไม่ได้ว่านางจะต้องได้รับการปกป้องอยู่ตลอดเวลา
ทางด้านหูเจียวเจียวเงยหน้าขึ้นมองหลงโม่ที่บินผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้หนา
ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ร่างของมังกรดำก็หายไปจากสายตาของหญิงสาว
ในที่สุดหูเจียวเจียวก็ถอนหายใจ เธอยืนรออีกสักครู่เพื่อให้แน่ใจว่าสามีของตนจะไม่หันหลังกลับมามอง แล้วค่อยหันไปสำรวจพืชพันธุ์ที่ขึ้นหนาทึบรอบตัว
ส่วนใหญ่แล้วพืชที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วก็คือวัชพืชบางชนิด
หูเจียวเจียวรู้ถึงสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว ถัดมา เธอหยิบมีดจากในมิติมาแกะสลักเครื่องหมายสามเหลี่ยมบนต้นสนที่เธอเพิ่งกำหนดเป็นจุดนัดพบของเธอกับหลงโม่เมื่อกี้นี้ จากนั้นจึงเคลื่อนตัวเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ พร้อมกับคอยตัดกิ่งไม้หรือพุ่มไม้ที่ขวางทาง
พืชพันธุ์ในป่าของที่นี่เติบโตสมบูรณ์มาก มันไม่มีวี่แววที่สะท้อนถึงความแห้งแล้งให้เห็น หรืออะไรที่บ่งบอกว่าแหล่งน้ำในป่าไม่เพียงพอ
อีกทั้งรากของพืชเหล่านี้หยั่งลึกลงไปในดินคอยดูดซับน้ำจากใต้ดินไม่หยุด
ยามนี้จิ้งจอกสาวมีถุงหนังสัตว์ 2-3 ใบมัดติดไว้ที่เอวของตัวเอง ในระหว่างที่เดิน ถุงพวกนั้นมักจะไปเกี่ยวกับพุ่มไม้ด้านข้าง ทำให้เธอจำเป็นต้องหยุดเพื่อดึงถุงกลับมาก่อนจะก้าวเดินต่อไป
เนื่องจากอุปสรรคที่อยู่รายรอบ ในเวลาไม่กี่นาทีเธอสามารถเดินไปได้เพียง 10 เมตรเท่านั้น
พอจิ้งจอกสาวหันไปมองต้นไม้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดรอบด้าน เธอก็รู้สึกดีใจที่ตัดสินใจอยู่ในเผ่าแทนที่จะละทิ้งเผ่ามาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในป่าพร้อมกับเสบียงในมิติของตัวเอง
ป่าขนาดใหญ่ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรงตลอดเวลามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอจะสามารถเอาชีวิตรอดได้
หลังจากหูเจียวเจียวเดินไปประมาณ 10 นาที ในที่สุดเธอก็พบบางอย่าง
เมื่อเธอแหวกพุ่มไม้ออก เธอก็เห็นผลไม้ป่าสีแดงลูกเล็ก ๆ มากมาย
ผลไม้ป่าเหล่านี้มีร่องรอยของการถูกสัตว์ป่ากัดกิน ดังนั้นพวกมันน่าจะไม่มีพิษ
ครู่ต่อมา หญิงสาวเก็บพวกมันใส่ลงในถุงหนังสัตว์เพียงเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้เอามันมาชิมในทันที
หลังจากหูเจียวเจียวเก็บผลไม้ป่าเสร็จ เธอก็พบเข้ากับผักป่าบางชนิดซึ่งมันไม่มีอยู่ในมิติ เนื่องจากตัวเธอเป็นคนที่ชอบกินผักใบเขียวมาก ประกอบกับผักป่ามีรสชาติพิเศษที่หาลิ้มรสที่ไหนไม่ได้ เธอจึงเก็บมันมาค่อนข้างมาก
ผักป่าพวกนี้ต้นไม่สูงมากนัก พวกมันสูงจากพื้นแค่ไม่กี่คืบ ดังนั้นจิ้งจอกสาวจึงต้องนั่งลงเก็บพวกมัน
ในตอนนั้นเอง ปลายจมูกของหูเจียวเจียวก็ขยับ
เนื่องจากเมื่อกี้มีลมพัดผ่านมา ซึ่งมันไม่มีคลื่นความร้อนติดตามมาด้วยเหมือนยามที่บินอยู่บนท้องฟ้า แต่มันพัดพากลิ่นเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิตเข้ามาในจมูกของหญิงสาวแทน
นั่นทำให้หูเจียวเจียวหยุดการเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเธอก็ใช้มีดยาวแทงไปที่พุ่มไม้ตรงหน้า
แล้วกลิ่นเนื้อเน่าก็ลอยมากระทบหน้าเธอเป็นอย่างแรก
ทันใดนั้นเธอก็มองเห็นศพที่เน่าเปื่อยเบื้องหน้า
ศพนี้ไม่ใช่ซากสัตว์ แต่เป็นศพของภูต!
หูเจียวเจียวตกใจจนต้องถอยหลังหนีไป 2-3 ก้าว แต่ที่เธอมีปฏิกิริยาแบบนี้มันไม่ใช่เพราะว่าเธอกลัวศพ แต่เป็นเพราะว่าศพที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีแมลงมากมายมาตอม ภาพที่เธอเห็นจึงน่าสะอิดสะเอียนมากเกินทน
หญิงสาวหมดความรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเก็บผักป่าที่อยู่ตรงเท้าไปกินทันที
จากนั้นจิ้งจอกสาวจึงหันหลังเดินออกไปอีกทางหนึ่งเพื่อตามหาผักป่าต่อไป
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเธอจะพบกับสถานการณ์แบบเดียวกันหลังจากที่เดินไปได้เพียง 2 ก้าว
พอหูเจียวเจียวรื้อพุ่มไม้รอบ ๆ ออกเธอก็พบเข้ากับศพภูตอีก 5-6 ศพ ในที่สุดเธอก็เข้าใจสักทีว่าทำไมมันถึงมีกลิ่นเหม็นเน่าในตอนที่เธอเข้ามาในป่าตอนแรก
ที่แท้ภูตที่ลี้ภัยแล้งจากทางเหนือมาทางใต้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เดินทางมาถึงเผ่าเยว่หูสำเร็จ
สุดท้ายคนส่วนใหญ่ก็เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วกลายเป็นอาหารบำรุงพืชพันธุ์ในป่าให้เติบใหญ่