บทที่ 551: เจ้าเป็นใคร? แล้วหยินเสวี่ยอยู่ที่ไหน?
เดิมทีหยินเสวี่ยเป็นคนที่ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองที่สุด
การที่จะให้นางเดินไปบอกหมอผีว่าขอเปลี่ยนสิ่งตอบแทนจากเหยื่อตัวใหญ่เป็นเหยื่อตัวเล็กได้หรือไม่ เพียงแค่คิดนางก็รู้สึกทนไม่ได้แล้ว
ทางด้านคู่ทั้ง 2 ของหญิงสาวมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วครู่
ทันใดนั้นชายตัวผอมก็นึกอะไรออกและโพล่งขึ้นมาว่า
“ใช่สิ!”
นั่นทำให้หยินเสวี่ยกับชายอีกคนหันขวับมามองคนพูด
“เราไปขอให้ท่านหัวหน้าช่วยก็ได้นี่! ถ้าเขารู้ข่าวว่าไอ้เด็กนั่นมาที่เผ่านี้ เขาจะต้องหาทางทำอะไรสักอย่างแน่ แล้วแบบนี้เสวี่ยเอ๋อก็จะได้ความดีความชอบด้วย”
ทว่าชายอีกคนกลับไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าตอนนี้แม้แต่หัวหน้าเผ่าก็ยังเอาตัวเองไม่รอด อีกฝ่ายจะมีปัญญาที่ไหนมาตบรางวัลให้แก่พวกตน?
แต่พอชายหนุ่มลองคิดดูอีกที หัวหน้าเผ่าของตนเป็นคนที่เก่งมาก ถ้าเขาเป็นคนลงมือเอง การจะจับเหยื่อตัวใหญ่มามันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขา
จากนั้นเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะโต้แย้งชายร่างผอม
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของหยินเสวี่ยก็เป็นประกาย แล้วนางจึงพยักหน้าชื่นชมคนที่เสนอความคิดเห็น
“นั่นเป็นความคิดที่ดี ถ้าอย่างนั้นเราไปหาท่านหัวหน้ากันเถอะ”
เมื่อหญิงสาวคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดหัวหน้าเผ่าของตน นางก็อดทนรอแทบไม่ไหว
พอทั้ง 3 คนพูดคุยตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พวกหยินเสวี่ยก็กำลังเตรียมตัวจะเดินไปคุยกับหยินซางเกี่ยวกับเรื่องของลูกหยินเหลย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะได้ก้าวออกไปนอกประตู นางก็ถูกภูตที่ยืนอยู่ตรงประตูขวางไว้
“หยุดนะ ผู้หญิงออกไปไหนไม่ได้” ภูตที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเป็นเหมือนปราการเหล็กที่ตั้งตระหง่านขวางกั้นไม่ให้ใครเล็ดลอดออกไปจากที่นี่
หยินเสวี่ยจ้องภูตของเผ่าเยว่หูเขม็ง “แต่ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังออกไปได้เลย ทำไมตอนนี้ถึงออกไปไม่ได้แล้ว?”
ทั้ง ๆ ที่เมื่อสักครู่นางได้ออกไปข้างนอก เหตุใดขณะนี้ถึงถูกห้ามไม่ให้ไปไหนล่ะ!?
ภูตที่เฝ้าประตูไม่ได้สนใจที่จะชายตามองหน้าคนที่กำลังโวยวายอยู่เลยสักนิด แล้วตอบเสียงเรียบว่า
“ในเมื่อหมอผีมาช่วยรักษาอาการป่วยของเจ้าจนหายดีแล้ว เจ้าก็จงอยู่ที่นี่อย่างสงบเถอะ อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอก”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หยินเสวี่ยรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
ไอ้พวกนี้ตัวอย่างกับยักษ์ ข้าจะทำยังไงดี!
มันคงเป็นเพราะว่าตอนนี้หญิงสาวไม่มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง จึงมีคนกล้าปฏิบัติตัวแย่ ๆ กับนางเช่นนี้
ในขณะที่หยินเสวี่ยกำลังคิดหาวิธี คู่ของนางก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อพูดขอร้องคนเฝ้าประตู
“พี่ใหญ่ ได้โปรดช่วยข้าหน่อยเถอะ เราขอออกไปข้างนอกสักพัก เพราะแม่หมอช่วยเหลือเสวี่ยเอ๋อเอาไว้ เราอยากจะไปขอบคุณนางดี ๆ สักครั้ง แล้วพวกเราจะรีบกลับมา”
“ใช่ เราแค่อยากจะออกไปขอบคุณแม่หมอกับผู้หญิงคนนั้นที่ช่วยชีวิตคู่ของเรา ดังนั้นให้นางได้ออกไปอีกสักครั้งเถอะ!”
แต่แล้วภูตชายทั้ง 2 ก็ต้องผิดหวัง เพราะภูตของเผ่าเยว่หูไม่ยอมปล่อยให้หยินเสวี่ยออกไปข้างนอก
ทางเลือกสุดท้ายที่พวกเขามีในตอนนี้ก็คือ จะต้องให้คนใดคนหนึ่งไปเชิญหัวหน้าเผ่ามาที่นี่แทน
โชคดีที่ในฐานะหัวหน้าเผ่าไป๋ผี หยินซางยังมีสิทธิ์ที่จะได้ไปเยี่ยมผู้หญิงในเผ่าของตน
หลังจากที่คู่ของหยินเสวี่ยไปแจ้งข่าวว่านางมีเรื่องสำคัญจะคุยกับหยินซาง เขาก็รีบมุ่งหน้ามาหานางทันที
ไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงกระท่อมที่คุมขังหญิงสาวเอาไว้
พอผู้เป็นหัวหน้าเผ่าไป๋ผีเดินเข้าไปในกระท่อม กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ตีขึ้นมาที่จมูกจนเขาต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากปิดจมูกด้วยความรังเกียจ
ที่อยู่อาศัยของผู้หญิงนั้นเหม็นอับเกินไป กลิ่นในกระท่อมมันเหม็นเปรี้ยวผสมกับกลิ่นอะไรสักอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งมันคล้ายกับกลิ่นกะหล่ำปลีดองที่ถูกดองทิ้งเอาไว้นานหลายทศวรรษ
หยินซางที่เป็นคนจมูกไวแทบอยากจะรื้อหลังคากระท่อมทิ้งเพื่อที่จะได้ระบายอากาศเน่า ๆ นี้ออกไปจากภายใน
แล้วเขาก็ต้องรู้สึกหดหู่ใจเมื่อเห็นผู้หญิงที่สวมผ้าพันแผลรอบศีรษะจนเหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาตน
“ท่านหัวหน้า”
ปัจจุบันหนังสัตว์บนร่างของหยินเสวี่ยฉีกขาดจนแทบไม่สามารถเรียกว่าเสื้อผ้าได้อีก มันควรถูกเรียกว่าเป็นผ้าขี้ริ้วมากกว่า
แล้วเดิมทีเศษผ้าพวกนี้ก็บางมากจนใช้ปกปิดได้เพียงเฉพาะส่วนสำคัญเท่านั้น
ระหว่างที่หยินซางกำลังเดินทางมาหา หยินเสวี่ยจงใจดึงหนังสัตว์ที่แทบจะไม่สามารถปกปิดเนื้อหนังบนตัวของนางขึ้น จากนั้นร่างผอมดำของนางก็เดินนวยนาดเข้าไปจนแทบจะประชิดตัวอีกฝ่าย
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เข้าไปใกล้ชิดกับหัวหน้าเผ่าไป๋ผี เขาก็รีบเอ่ยปากห้ามปรามนางเอาไว้
“อุ๊บ...”
“อย่าเข้ามา เจ้ายืนพูดอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ เถอะ!”
ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้ารังเกียจพร้อมกับเหยียดฝ่ามือออกไปทางหยินเสวี่ยเป็นเชิงบอกให้นางหยุด ก่อนที่เขาจะก้าวถอยหลังไปเพื่อขยับออกไปอยู่ให้ห่างจากอีกคนมากที่สุด
หัวหน้าเผ่าไป๋ผีทำเหมือนกับว่าบางอย่างที่น่าขยะแขยงบนร่างกายของหญิงสาวตรงหน้ากำลังจะมาแปดเปื้อนเนื้อตัวของเขาถ้านางเข้ามาใกล้มากกว่านี้
เดิมทีหยินเสวี่ยอยากจะใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนของผู้หญิงโดยทำตัวอ่อนแอต่อหน้าหยินซาง นางจะบอกเล่าความคับข้องใจของตัวเองและขอให้เขาช่วยเหลือตน
แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวหน้าเผ่าไป๋ผีจะแสดงท่าทางรังเกียจนางถึงเพียงนี้ ในเวลานั้นหญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกพร้อมกับสีหน้าของนางที่เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน
อาจเป็นเพราะปัจจุบันใบหน้าของนางถูกบดบังด้วยผ้าพันแผล มันคงทำให้ท่านหัวหน้าไม่ได้เห็นใบหน้าอันงดงามที่อยู่ข้างใต้นั้น
“ท่านหัวหน้า ข้า...”
ทันใดนั้นหยินเสวี่ยก็รู้สึกเศร้าใจ นางส่งเสียงสะอึกสะอื้นราวกับว่าตัวเองพร้อมที่จะร้องไห้ได้ตลอดเวลา
ไม่กี่อึดใจถัดมา หยินซางส่งเสียงขัดจังหวะหญิงสาวแล้วขมวดคิ้วถามว่า
“ช้าก่อน เจ้าเป็นใคร หยินเสวี่ยอยู่ที่ไหน นางอยากจะคุยกับข้าไม่ใช่หรือ?”
ในความทรงจำของเขา แม้ว่าหยินเสวี่ยจะไม่ใช่ผู้หญิงที่งดงามปานเทพธิดา แต่หน้าตาของนางก็ยังชวนมอง รวมถึงนางอาจจะตัวเล็กและเอาแต่ใจตัวเองไปสักหน่อย แต่นางก็ถือได้ว่าเป็นถึงผู้หญิงที่หน้าตาดีในเผ่าคนหนึ่ง
ทว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นเนื้อตัวสกปรกแถมยังมีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากร่างที่ผอมแห้ง พูดตามตรงว่าสตรีนางนี้ไม่เหมือนกับหยินเสวี่ยในความทรงจำของเขาเลยสักนิด
คำถามของชายหนุ่มส่งผลให้หยินเสวี่ยยืนตัวแข็งทื่อทันที พร้อมกับที่มือของนางกำแน่นจนเล็บแหลมแทบจะจิกเข้าไปในฝ่ามือ ก่อนที่นางจะสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วตอบเสียงแห้งผาก
“ท่านหัวหน้า ข้าคือหยินเสวี่ย...”
หญิงสาวรู้สึกผิดหวังมาก ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกไม่พอใจหลงหลิงเอ๋อที่ไม่ยอมใช้ความสามารถของหมอผีรักษานางให้หายขาดในทันที ตรงกันข้าม นางใช้วิธีการรักษาแบบทั่วไปทรมานนางจนมีสภาพเป็นแบบนี้ แล้วต้องให้นางมาเผชิญหน้ากับหัวหน้าเผ่าด้วยสภาพไม่น่ามองอีก มันทำให้หญิงสาวรู้สึกเสียหน้ามาก
ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแม่หมอตัวน้อย!
ทางด้านหยินซางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าบอกว่าเจ้าคือหยินเสวี่ยงั้นรึ?”
เขาไม่อยากจะเชื่อเลย ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่มีส่วนไหนที่เหมือนกับหยินเสวี่ยในความทรงจำของเขาแม้แต่น้อย
พอหยินเสวี่ยสบเข้ากับสายตาสงสัยของหัวหน้าเผ่าไป๋ผี นางก็อยากจะร้องไห้ออกมาตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
“ท่านหัวหน้า ข้าคือหยินเสวี่ยจริง ๆ”
เสียงของหญิงสาวที่ใช้พูดแหบแห้งมากเป็นเพราะนางไม่ได้ดื่มน้ำมานาน แต่หากตั้งใจฟังให้ดี หยินซางก็รู้สึกว่าเสียงของนางค่อนข้างคล้ายกับเสียงของหยินเสวี่ยในความทรงจำของเขา
จากนั้นชายหนุ่มก็เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายทันที
แต่คิ้วที่ขมวดแน่นยังไม่ยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย ในระหว่างที่เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“เจ้าเรียกให้ข้ามาที่นี่ทำไม ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าก็รีบพูดซะ”
ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่กลิ่นเหม็นเน่าแบบนี้ แล้วยังจะต้องมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยอีก มันทำให้หยินซางไม่มีความรู้สึกอยากอยู่ที่นี่ต่อเลยแม้แต่นิดเดียว
หยินเสวี่ยเองก็สังเกตเห็นท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์ของคนเป็นหัวหน้า นางจึงเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา แม้ว่านางจะไม่ค่อยพอใจเช่นกัน แต่นางก็ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
หญิงสาวพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะพูดเสียงเบาว่า
“ท่านหัวหน้า วันนี้ข้าเห็นลูกของหยินเหลย แล้วเขาก็อยู่ในเผ่านี้ด้วย”
ทันทีที่หยินซางได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาสีดำสนิทก็ลุกวาว
“ที่เจ้าพูดเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?!” ท่าทีของชายหนุ่มดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และน้ำเสียงของเขาก็ตื่นเต้นขึ้น
หยินเสวี่ยพยักหน้ารับระรัว “แน่นอน มันเป็นเรื่องจริง ข้าเห็นเขาด้วยตาของข้าเอง ข้าเข้าไปคุยกับเขาทันทีที่ได้พบเขา แต่เด็กคนนั้นไม่ยอมกลับมากับข้า”
ต่อมา หญิงสาวก็บอกเล่าให้หยินซางฟังว่าในวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่คำพูดนั้นก็ถูกเสริมเติมแต่งเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าหยินเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับหูเจียวเจียวที่ทำให้นางต้องรู้สึกไม่พอใจด้วย นางพูดเพียงว่าหยินชางสนิทสนมกับหมอผีที่ช่วยรักษานางเอาไว้
หยินซางที่ได้ฟังคำบอกเล่าทั้งหมดก็ยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อชายหนุ่มมองไปยังใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของหยินเสวี่ยอีกครั้ง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้น่าเกลียดดังเดิม แม้แต่กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่อบอวลอยู่ในห้องนี้ก็ไม่รบกวนเขาอีก
“หยินชางเป็นลูกหลานของเผ่าเรา ดังนั้นเขาก็ควรจะต้องมาอยู่กับเรา แล้วเจ้าก็เป็นญาติทางสายเลือดของเขาอีก เราจะต้องไปพูดเกลี้ยกล่อมให้เขากลับมาอยู่กับเราให้ได้” ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าไป๋ผีพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
หยินเสวี่ยพยักหน้ารับโดยง่าย ทว่าสีหน้าของนางกลับดูลังเลอยู่เล็กน้อย
“ท่านหัวหน้า แต่ตอนนี้เขาไม่ฟังคำพูดของข้า แล้วเขามักจะอยู่กับคนในครอบครัวของภูตเผ่านั้น และหมอผีคนนั้นก็บอกให้ข้าส่งเหยื่อตัวใหญ่ไปให้เป็นสิ่งตอบแทน..”
“ข้าจะหาทางออกเรื่องเหยื่อเอง เราจะได้เอาเหยื่อไปแลกตัวเด็กคนนั้นกลับคืนมา” หยินซางตอบตกลงโดยแทบไม่ต้องคิดอะไรอีก