นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 187 - สถานการณ์อันตราย!
ในบันทึกมีรายละเอียดระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าระดับพรสวรรค์ของนักเรียนเชื่อมโยงกับอัตราการหมุนเวียนเลือดที่พวกเขาทำได้ และมันมีขีดจำกัดบางอย่างกั้นอยู่ แม้ว่าจะยังไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม แต่โอกาสที่นักเรียนแต่ละคนจะทำลายขีดจำกัดนั้นได้มีน้อยมากเหลือเกิน
สไปรเยอร์ที่มีพรสวรรค์ระดับ 1 ดาวจะมีขีดจำกัดอยู่ที่ 120-130 รอบต่อนาทีเท่านั้น ในขณะที่พรสวรรค์ระดับ 2 ดาวจะสูงขึ้นมาเป็น 140-150 รอบต่อนาที ส่วนผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับ 3 ดาว อัตราการหมุนเวียนเลือดของพวกเขาจะถึงขีดจำกัดที่ระดับ 170-180 รอบต่อนาทีเท่านั้น
สไปรเยอร์ที่สามารถหมุนเวียนเลือดของตัวเองขึ้นไปเกิน 200 รอบต่อนาที ส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีพรสวรรค์ระดับ 4 ดาวขึ้นไป แน่นอนพวกเขาก็ยังมีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน 220-230 รอบต่อนาทีสำหรับพรสวรรค์ระดับ 4 ดาว และ 280- 290 รอบต่อนาทีสำหรับผู้ที่พรสวรรค์ระดับ 5 ดาว
ส่วนผู้ที่มีพรสวรรค์สูงขึ้นไปกว่านั้น มันไม่มีการระบุเอาไว้!
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับพรสวรรค์กับขีดจำกัดของการหมุนเวียนเลือดที่ทำได้ เป็นงานวิจัยของศาสตราจารย์คนหนึ่ง ที่ทำการทดลองให้นักเรียนในระดับพรสวรรค์ต่าง ๆ พยายามทำลายขีดจำกัดเหล่านั้นด้วยทรัพยากรที่ไม่จำกัด และพบว่ามีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถทะลวงผ่านขีดจำกัดพรสวรรค์ของตัวเองขึ้นไปได้ มันทำให้ทฤษฏีนี้ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างในท้ายที่สุด
แน่นอน! การทดลองนี้ยังไม่ได้ครอบคลุมทุกความเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ การฝึกฝนของสไปรเยอร์ต้องอาศัยมากกว่าทรัพยากรถึงจะประสบความสำเร็จได้ บางทีการที่พวกเขาไม่สามารถทะลวงผ่าน อาจจะมาจากเงื่อนไขอื่น เช่นความไม่เหมาะสมของทักษะการเสริมสร้างร่างกาย หรือแม้แต่จิตใจที่ไม่เข้มแข็งพอ แต่มันก็ยังถือว่าเป็นผลการทดลองที่ใช้อ้างอิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สีหน้าที่ผิดหวังของเดวิดค่อย ๆ หายไป และตาก็เริ่มมีประกายสว่างออกมาเรื่อย ๆ เขาไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาคนเดิมที่ตื่นขึ้นมาบนโลกนี้อย่างมึนงงแล้ว จากประสบการณ์และความรู้ที่สะสมมา เดวิดไม่คิดว่าตัวเองเป็นแค่นักเรียนพรสวรรค์ระดับ 3 ดาวเลย เขาแค่ไปทดสอบระดับพรสวรรค์ช้ากว่าที่ควรจะเป็น สาเหตุก็มาจากอาการปวดหัวอย่างหนักในตอนที่ตื่นขึ้นมานั่นเอง
เมื่อนึกย้อนไปเรื่อย ๆ เดวิดก็เริ่มมีรอยยิ้มออกมา ตอนที่เขาเดินชนกับเสาที่ยื่นออกมาจากตัวอาคาร นั่นเป็นสัญญาณของนักเรียนพรสวรรค์ระดับ 4 ดาวแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าไนฮุนสะกิดเอวตัวเองหนักแค่ไหน แต่มันมีโอกาสที่เขาจะไม่มีอาการเส้นประสาทถูกขยายการรับรู้อยู่เลยในตอนนั้น และถ้ามันเป็นอย่างที่คาด เดวิดจะเป็นนักเรียนพรสวรรค์ระดับ 5 ดาวเลยทีเดียว!
และที่ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ออกจากแคปซูลวิวัฒนาการ เดวิดไม่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเหมือนกับที่มู่เฉินบอกเลยแม้แต่นิดเดียว มันมีแต่อาการปวดหัวและสับสนจากชิ้นส่วนของความทรงจำที่ถาโถมเข้าใส่สมองของเขาเท่านั้น มันมีโอกาสที่ระดับพรสวรรค์ของเดวิดจะสูงกว่า 5 ดาวเสียด้วยซ้ำ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเดวิดกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาทอเป็นประกายอย่างตื่นเต้น แม้ว่าจะไม่แน่ใจนักว่าข้อสรุปของตัวเองนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเชื่อมั่นตามนี้ไปก่อน เขาไม่มีขีดจำกัด! ในฐานะสไปรเยอร์ เขามีโอกาสที่จะเพิ่มอัตราการหมุนเวียนเลือดไปถึงระดับ 1,000 รอบต่อนาทีเลยด้วยซ้ำ!...
แต่อาการอย่างนั้นก็อยู่เพียงไม่นานนัก ความหวาดกลัวผุดขึ้นมาปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากฝันหวานอย่างไม่รู้ตัว ความกลัวที่จะโดดเด่นเกินไป การเป็นต้นไม้ใหญ่ย่อมต้องถูกลมพัดกระหน่ำเข้าใส่อย่างแน่นอน ถ้าเขาเปิดเผยความเป็นอัจฉริยะของตัวเองออกไป คงไม่แคล้วจะถูกพวกขี้อิจฉากลุ้มรุมทำร้ายแน่ นี่ยังไม่นับถึงเรื่องที่เขาสามารถฝึกฝนทักษะการต่อสู้ระดับสีแดงได้อย่างรวดเร็วอีก เรื่องพวกนี้สามารถก่อให้เกิดความยุ่งยากมากมายแน่ เดวิดตัดสินใจที่จะปกปิดความสามารถที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ให้ได้นานที่สุด
และเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ เขาก็หวนคิดไปถึงคนที่รู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง ลู่ฟง! ไม่สิ ยังมีจานีนด้วยอีกคน ทั้งคู่เคยเห็นเขาใช้ทักษะท้าเท้า 3 ชั้นอย่างเต็มกำลังมาแล้วในตอนที่ต่อสู้กัน
นี่ทำให้จิตสังหารเริ่มถูกปล่อยออกมาจากตัวของเขาทันที
“ลู่ฟงกับจานีน! อย่าให้ฉันเจอตัวเชียวนะ...” ดูเหมือนว่าเดวิดคิดจะฆ่าพยานเพื่อเป็นการปิดปากแล้ว!
…………………………..
“ใคร! มัน! กล้า! ฆ่า! ลูก! ศิษย์! ของ! ข้า!!!” เสียงตะโกนดังก้องฟ้าถูกปล่อยออกมา มันเป็นเสียงที่ทรงพลังและดังสะเทือนไปทั่วทั้งท้องฟ้าจริง ๆ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพื้นที่ ๆ ใช้เป็นสนามแข่งขันครั้งนี้ต้องได้ยินอย่างชัดเจน
ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นไหวเอนอย่างรุนแรงราวกับถูกลมพายุพัดกรรโชกเข้าใส่ นักเรียนที่โชคร้ายอยู่ใกล้กับบริเวณนั้นหลายคนต้องร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด กระดูกอ่อนในหูของพวกเขาถูกทำลายลงในพริบตา แต่ละคนต้องรีบใช้มือปิดหูของตัวเอง และพยายามกระตุ้นการหมุนเวียนเลือดสร้างพลังงานให้สูงขึ้นพอที่จะต้านทานพลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นให้ได้
เดวิดที่กำลังหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที ดวงตาเคร่งขรึมจริงจังไม่มีอาการงุนงงปรากฏอยู่ในนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้สึกได้ถึงพลังที่แฝงออกมากับเสียงตะโกนในครั้งนี้ มันมีพลังทำลายล้างอันมหาศาลของคลื่นเสียงอย่างเต็มเปี่ยม ถึงแม้ว่าเดวิดจะอยู่ห่างไกลจากจุดกำเนิดเสียงไม่น้อย แต่สัญชาตญาณของเขาก็แสดงออกถึงการถูกคุกคามอย่างเต็มที่แล้ว
และไม่ใช่เพียงเดวิดคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกตัว ยังมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยโผล่ออกมาจากที่ซ่อนของตน เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าด้วยความสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่!!” เสียงพึมพำดังขึ้นมาจากปากของนักเรียนส่วนหนึ่ง พวกเขาเพิ่งฟื้นตัวจากผลกระทบของคลื่นเสียงที่รุนแรงได้
แต่นั่นเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบ จนกระทั่ง มีอีกเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นมาบนท้องฟ้าบ้าง
“คุณฟาลักซ์! คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง!? กล้าดียังไงถึงได้โจมตีทำร้ายนักเรียนของสถาบัน ‘เทมเบรีย’!!!”
เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาพาร่างกายที่มีผมสีบลอนด์ และหน้าตาดูดีได้มาตรฐานพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้าอย่างเกรี้ยวกราด ชุดอุปกรณ์สกายวอคเกอร์ของเขาส่งพลังออกมาอย่างสุดกำลัง เพียงชั่วพริบตา เขาก็สามารถพุ่งเข้ามาถึงจุดที่เสียงตะโกนดังขึ้นเป็นครั้งแรกได้แล้ว
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยโทสะ มันเป็นอารมณ์โกรธที่มีคนกล้ามากระตุกหนวดเสือ กล้าบุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้ามของทางสถาบัน และในนั้นยังมีความสงสัยเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ด้วย คน ๆ นี้รู้ได้อย่างไรว่ากิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นที่นี่?
‘ฟาลักซ์’ เจ้าของเสียงที่ตะโกนลั่นฟ้า กำลังยืนหนวดสั่นอยู่ด้วยความโกรธที่มากกว่าผู้ที่เพิ่งมาถึงเสียด้วยซ้ำ เสียงหัวเราะของเขานั้นฟังดูบ้าคลั่ง คำพูดที่ถูกปล่อยออกมาหลังจากนั้นยิ่งแข็งกร้าวดุร้ายเสียยิ่งกว่า
“หึ! แค่คนเดียวอย่างนั้นหรือ? คิดว่าฉันจะมาที่นี่โดยไม่เตรียมตัวหรือยังไง? คิดหรือว่าจะหยุดฉันได้!”
และโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของเจ้าของสถานที่ เขาเปิดหน้าต่างโฮโลแกรมของตัวเองขึ้นตรวจสอบ ก่อนจะหันหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง และกระตุ้นให้ชุดสกายวอคเกอร์บินพุ่งออกไปในทันที
นั่นทำให้ ‘กาเรน’ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขาตะโกนเสียงก้องออกมา “คิดจะมองข้ามหัวกันไปง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?” ชุดสกายวอคเกอร์ของเขาปล่อยพลังขับเคลื่อนออกมาทันทีเช่นกัน มันส่งร่างของเขาเข้าไปขวางทางของฟาลักซ์เอาไว้ในพริบตา
แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำอะไรไปมากกว่านั้น กาเรนก็ถูกล้อมเอาไว้อย่างฉับพลันด้วยกลุ่มคนที่อยู่ในชุดดำปกปิดหน้าตาอย่างมิดชิด พวกเขา 3 คนโผล่ขึ้นมาจากเงามืดเบื้องล่าง หยุดยั้งความพยายามในการโจมตีของกาเรนเอาไว้ได้ทันที
“คุณกาเรน! จะรีบไปไหนล่ะ? อยู่ด้วยกันตรงนี้ก่อนเถิด” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาจากกลุ่มของ 3 คนในชุดดำเบา ๆ
สีหน้าของกาเรนเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้แล้ว เขาเป็นเพียงแค่ครูฝึกธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางที่จะรับมือกับเฟสเซอร์ 3 คนพร้อมกันได้อย่างง่าย ๆ แน่ ต่อให้เขาแน่ใจว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าคนพวกนี้ก็ตาม มันต้องเสียเวลาหลายนาทีกว่าที่จะสลัดพวกเขาออกไปได้
และถึงแม้จะไม่มีทั้ง 3 คนนี้โผล่ออกมา เขาก็มีโอกาสไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นในการต่อสู้กับตาแก่นั่น ต่อให้ ‘ฟาลักซ์’ เป็นเพียงแค่ศาสตราจารย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งจาก ‘สถาบันไวท์อีเกิ้ล’ แต่ความแข็งแกร่งของศาสตราจารย์ ไม่ใช่สิ่งที่ครูฝึกคนหนึ่งจะจัดการได้ บางทีทางเลือกที่ดีที่สุด คือยืนคุมเชิงอยู่ที่นี่เฉย ๆ เท่านั้น ปล่อยให้เรื่องนี้คลี่คลายไปเอง
สถาบันเทมเบรียอาจจะไม่ใช่สถาบันที่มีอิทธิพลสูงสุดใน ‘เมืองสครูตรอน’ แต่การที่จะปกป้องนักเรียนของตัวเอง ยังนับว่ามีทรัพยากรและความสามารถเพียงพออยู่
“ฉันไม่รู้ว่าพวกแกทั้ง 3 คนเป็นใคร แต่คิดจริง ๆ หรือว่าจะรับผลของการยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ได้?” เสียงของ กาเรนนั้นเข้มต่ำ คำพูดที่กล่าวออกมานั้นเป็นการข่มขู่อย่างชัดเจน
และนั่นส่งผลกับคนทั้ง 3 ไม่น้อย พวกเขาหันมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล แต่สุดท้ายแล้ว คนที่อยู่ตรงกลางก็เอ่ยออกมา “พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร ขอเพียงแค่คุณหยุดอยู่ที่นี่กับเราแค่เพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ทุกอย่างก็จะสิ้นสุด หน้าที่ของพวกเรามีแค่นั้น!” นี่เป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง มันมีความไม่มั่นใจแฝงอยู่ในนั้นเล็กน้อย อันที่จริงแล้วพวกเขาถูกว่าจ้างมาให้ทำหน้าที่ขัดขวางครูฝึกเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ศาสตราจารย์เฒ่าต้องการเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการจัดการกับคนร้ายที่สังหารลูกศิษย์ของเขา ทุกอย่างควรจะจบก่อนที่กำลังเสริมของทางสถาบันจะมาถึง
กาเรนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา และเลือกที่จะลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างเงียบ ๆ รอดูการแสดงดี ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในโลกนี้ยังมีศาสตราจารย์โง่ ๆ อยู่จริง ๆ ด้วย กิจกรรมที่ใหญ่ขนาดนี้ เจ้าแก่นั่นคิดจริง ๆ หรือว่าจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่แค่คนเดียว..
….
เดวิดพาตัวเองออกมาจากถ้ำด้วยความสงสัย พยายามมองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อหาสาเหตุเหมือนกับนักเรียนคนอื่น ๆ แต่เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย นั่นทำให้เขาตัดสินใจจะกระโดดขึ้นไปบนยอดต้นไม้ เดวิดอยากรู้จริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ย่อตัวลงเลยด้วยซ้ำ ขนทั่วตัวของเดวิดนั้นลุกซู่ขึ้นมาก่อน
‘ให้ตายสิ! นี่มันแรงกดดันอะไรกันแน่!!?’ เขาสบถขึ้นในหัวอย่างหยาบคาย คลื่นสมองที่ส่งออกมานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันแทบจะทำให้เขาขยับตัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เดวิดต้องขบริมฝีปากของตัวเองจนแตกออก ให้ความเจ็บปวดปลุกสติของเขาให้แจ่มใสขึ้นให้ได้มากที่สุดก่อน
และเมื่อเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เหงื่อเย็น ๆ ก็ผุดออกมาตามร่างกายจนเต็มไปหมด เจ้าของกลิ่นอายที่รุนแรงนั่นกำลังพุ่งตรงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว
“แกนี่เองที่ฆ่าลูกศิษย์ข้า!!” น้ำเสียงที่แก่ชรานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร มันถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มีการปิดบัง
เดวิดไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขารู้ว่ายืนอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว
ตึงง!!
พื้นดินที่เดวิดยืนอยู่กลายเป็นหลุมลึกขนาด 5 เมตรทันที แรงส่งตัวที่เขาปล่อยออกไปนั้นมหาศาลกว่าทุกครั้ง และความเร็วของเขาก็อยู่ในระดับที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำได้ เดวิดรีบพุ่งหนีออกไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอ๋?” ชายชราดูจะประหลาดใจในตอนแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“เป็นแกจริง ๆ!” ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดตัว ความแข็งแกร่งที่เดวิดเพิ่งแสดงออกมานั้นอยู่ในระดับที่จะสังหารลูกศิษย์ของเขาได้ และยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นใบหน้าที่เขาเห็นจากสัญญาณสุดท้ายที่ส่งกลับไปโดยลูกศิษย์ของตัวเอง จิตสังหารของเขานั้นพุ่งทะยานขึ้นจนเสียดฟ้าแล้ว
ก่อนหน้านี้เขายังกังวลกับบทลงโทษที่จะได้รับจากการรุกล้ำเข้ามาในเขตหวงห้ามของสถาบันอื่น แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะต้องลดน้อยลงหลายเท่าตัวแน่ ถ้าเขาสังหารเจ้าเด็กสารเลวที่ฆ่าลูกศิษย์ของตัวเองลงได้ การกำจัดอัจฉริยะของสถาบันอื่น มันเป็นความดีความชอบอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ระบุเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ก็ตาม โดยเฉพาะการสังหารอัจฉริยะระดับ 5 ดาวแบบนี้ด้วย!
จากอายุและความแข็งแกร่งที่แสดงออกมา ฟาลักซ์ตัดสินได้ทันทีว่าเดวิดมีพรสวรรค์ระดับ 5 ดาว
และนั่นทำให้เขาตวาดออกมาด้วยเสียงที่เหี้ยมเกรียม “ตาย!!”