ตอนที่ 82 ให้พวกข้าผ่านเข้าไป
ตอนที่ 82 ให้พวกข้าผ่านเข้าไป
“ซู่เฉิงเฟิง เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าค่อยๆคิดเมื่อเกิดเรื่อแบบนี้ขึ้นกับตระกูลซู่ของพวกเรา คำว่าค่อยๆคินนั้นไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของข้า และตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เจ้าควรจะตัดสินใจทำอะไรอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าเอาแต่จะใช้ความประณีประนอมในการแก้ปัญหา เจ้าก็ควรอยู่เงียบๆแล้วไปหลบอยู่ในรถม้าตอนที่ข้ากำลังทำลายล้างพวกตระกูลเป๋ยอยู่ก็ได้”
เมื่อพูดจบ ซู่เฮาเที่ยนหันไปมองที่ซู่เฉิงเฟิงซึ่งตกตะลึงเล็กน้อยและหันหลังเดินกลับไปที่รถม้าทันที
“ท่านพี่ข้ารู้สึกสับสนจริงๆ ข้ารู้สึกว่าวันนี้ซู่เฮาเที่ยนมีความคิดที่เหนือกว่าท่านไปแล้ว และแม้ว่าท่านบรรพบุรุษของตระกูลจะยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เขาก็จะไม่ได้ใส่ในเลยแม้แต่น้อย ถ้าให้พูดตรงๆ ตระกูลซู่นั้นไม่ได้สำคัญกับเขาเลย สิ่งที่สำคัญกับเขาคืออาณาจักรเที่ยนซวนหรือแม้กระทั่งภูมิภาคตะวันตกทั้งหมดเท่านั้น”
ขณะที่พวกเขาทั้งหมดกำลังออกเดินทาง ซู่เฉิงหลงได้ขี่ม้าของเขาไปที่กลุ่มของซู่เฉิงเฟิงและเริ่มชวนเขาพูดคุย เนื่องจากทั้งสองคนนั้นเป็นพี่น้องกัน และเมื่อได้ซู่เฮาเที่ยนพูดแบบนั้นกับพี่ชายของเขา ซู่เฉิงหลงก็เริ่มรู้สึกกังวลถึงการพัฒนาของตระกูลซู่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะตำแหน่งของตระกูลซู่ในอนาคตนั้นจะสร้างแรงดึงดูดได้มาก และตำแหน่งของเขานั้นก็ถือว่ามีอำนาจมากแล้ว แต่การแข่งขันของลูกหลานในตระกูลเองก็ดุเดือดเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องรักษาตำแหน่งของพี่ชายของเขาไว้
“เจ้าหมายถึงนายน้อยที่สามต้องการเป็นหนึ่งในใต้หล้างั้นรึ?”
ดวงตาของซู่เฉิงเฟิงเบิกกว้างและเต็มไปด้วยความตกใจ เขาเหลือบมองรถม้าที่อยู่ด้านหลังเขาแล้วจึงหันกลับไปมองที่น้องชายของเขา
เมื่อเขากลับไปตระกูลอีกครั้ง สักวันหนึ่งเขาก็คงเป็นดั่งผู้อาวุโสคนอื่นๆที่ลงจากตำแหน่งแล้วตายจากไปหรือเข้าสู่ความสันโดษหลังจากนั้นไม่กี่ปี
แต่ซู่เฮาเที่ยนอยู่ในตระกูลซู่จะกางปีกแล้วทะยานออกไปสู่โลกกว้างได้ เนื่องจากซู่เฮาเที่ยนั้นมีวิสัยทัศน์ที่กว้างใหญ่ในชีวิตที่เขากำลังพยายามอยู่
หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความมั่นใจฐานะผู้อาวุโสของซู่เฉิงเฟิงก็ค่อยๆลดลงในทันที ความมั่นใจของเขาค่อยๆหายไปแล้วสีหน้าของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเช่นกัน
ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น รถม้าก็กำลังมุ่งข้างหน้าด้วยเช่นกัน
….
“นายท่าน ตาแก่นั่นใจเสาะเกินไป เขาเป็นถึงผู้อาวุโสแท้ๆแต่เขากลับทำได้เพียงแค่ใช้ความประณีประนอมแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว”
ไป๋ซู่เจินพูดกับซู่เฮาเที่ยนด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้เพียงแค่ใช้ความประณีประนอมแก้ปัญหา แต่เขาก็เป็นผู้ปกครองตระกูลที่ดี และเขาเองก็เป็นผู้อาวุโสในตระกูลซู่ที่มีวิสัยทัศน์ที่น้อยที่สุดด้วยเช่นกัน”
ซู่เฮาเที่ยนที่ค่อยๆใจเย็นนั้นอธิบายให้กับไป๋ซู่เจินได้ฟัง หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปจนทุกคนในรถม้าของเขาค่อยๆกลับมายิ้มได้และพูดคุยอย่างเฮฮาอีกครั้ง
ซู่เฮาเที่ยนยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจออก และเริ่มทำฝึกฝนของเขาอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน
กฎที่เขาตั้งไว้สำหรับตัวเองนั้นคือการฝึกอย่างสงบทุกเช้า ฝึกพลังเหนือธรรมชาติต่างๆอย่างเช่น หมัดซอมบี้ วิชาเคลื่อนย้ายมิติ เพลงกระบี่หกสาย ในช่วงบ่ายโดยที่พยายามทำให้การฝึกของเขาเป็นเหมือนกับเรื่องสนุก
ในวันนี้ หลังจากที่พวกเขาเดินทางผ่านพื้นที่ที่เป็นเนินเขา ลักษณะของภูมิประเทศตรงหน้าพวกเขาก็ค่อยๆกว้างขึ้น
ในที่สุด เมื่อสายตาของพวกเขามองเลยไปตรงที่ราบกว้าง ในที่สุดเมืองสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน
“ด้านหน้าของพวกเราคือเมืองซินโจว พวกเราทุกคนจะเดินทางไปที่เมืองซินโจวเพื่อพักผ่อนก่อนจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง”
ซู่เฉิงเฟิงตะโกนเสียงดังออกมาให้ทุกคนในกลุ่มได้ยิน
เพราะเขานั้นเป็นผู้นำของกลุ่มในตอนนี้
หลังจากที่เดินทางต่อไปอีกครู่หนึ่ง พวกเขาก็เดินทางมาถึงประตูเมืองตอนเวลา 10.00 น.
แต่เมื่อพวกเขากำลังยืนอยู่หน้าประตูเมือง พวกเขาเห็นทหารที่มีอาวุธครบครันนับหมื่นนายกำลังยืนประจำที่บนกำแพงเมือง โดยที่ประตูเมืองนั้นถูกปิดอย่างแน่นหนา
ชายวัยกลางคนสองคนในชุดคลุมสีทองยืนอยู่เบื้องหน้าหมู่ทหารและมองดูขบวนรถม้าใต้เมืองอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นแบบนี้ ชุ่ยเหมียวเหมี่ยวและอีกสี่คนนั้นก็จับกำไลเก็บของในมือของพวกเขาทันทีขณะที่หัวใจของพวกเขาเริ่มแสดงความกังวลออกมา
ส่วนคนอื่นๆนั้นดูสงบมาก โดยเฉพาะ หลี่กุยที่ยืนอยู่ข้างๆซู่เฮาเที่ยน สิงโตเก้าหัวและปี่กันซึ่งพวกเขาทั้งสามนั้นไม่กระพริบตาเลยด้วยซ้ำ
“พวกเราคือตระกูลซู่จากเมืองหยูโจว ตระกูลฉินจากเมืองหยูโจว และตระกูลเฉินจากเมืองฉูโจว พวกเราทั้งสามกำลังจะมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมสุดยอดการประลองซวนหลง ดังนั้นเปิดประตูเมืองให้พวกข้าผ่านไปด้วยเถิด”
ซู่เฉิงเฟิงออกมายืนด้านหน้าของกลุ่มแล้วพูดเสียงดัง