ตอนที่ 524 สวนเสือคำราม
ตอนที่ 524 สวนเสือคำราม
“ไม่สน” เซี่ยเฟยตอบกลับง่าย ๆ สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนที่กำลังรอฟังคำตอบของเขาอยู่เป็นอย่างมาก
พลังงานต้นกำเนิดคือสิ่งสำคัญของทุกชีวิตในดินแดนของผู้ใช้กฎ ปรมาจารย์ด้านการกลั่นพลังงานจึงกลายเป็นตัวตนที่สำคัญในดินแดนของผู้ใช้กฎไปโดยปริยาย และถ้าหากว่าทุกคนเลือกเส้นทางของตัวเองได้ คนส่วนใหญ่ย่อมจะต้องตอบว่าพวกเขาอยากจะเป็นปรมาจารย์ด้านการกลั่นพลังงานอย่างแน่นอน
แต่ถึงกระนั้นเซี่ยเฟยก็ยังตอบปฏิเสธอย่างฉับพลัน และมันก็คงจะมีเพียงแค่คนบ้าเท่านั้นที่กล้าตัดสินใจทำอะไรแบบนี้
“เซี่ยเฟย! นี่นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรอยู่?!” หยู่ลู่ซวนกล่าวถามด้วยความประหลาดใจท่ามกลางท่าทีอันตกตะลึงของทุกคน โดยเฉพาะหยูเจียงที่กำลังอ้าปากกว้าง เพราะมันไม่มีใครเชื่อว่าชายหนุ่มจะกล้าปฏิเสธคำชวนจากดูบาร์ ผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นพลังงานจริง ๆ
เมื่อได้รับคำปฏิเสธจากเซี่ยเฟยใบหน้าของดูบาร์ก็เริ่มซีดเซียวเนื่องมาจากความอับอาย จากนั้นใบหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ และกลายเป็นสีเขียวจากความอัดอั้นที่ไม่สามารถระเบิดอารมณ์ของตัวเองออกไปได้
ในที่สุดดูบาร์ก็ตัดสินใจจะเดินจากไปโดยไม่คิดที่จะร่ำลาแม้กระทั่งผู้นำตระกูลอย่างหยูเจียง
“เซี่ยเฟย นายอยากไปตกปลากับฉันไหม?” หยูเจียงกล่าวถามพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากที่เขาพยายามรวบรวมสติกลับคืนมา
“ตกปลา? ได้ครับ ปลาหางฟินิกซ์อร่อยมาก ผมยังอยากจะกินปลานั่นอีกสักครั้งพอดี” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“หลังจากนี้ 3 วันนายจะได้เข้าไปในแอ่งน้ำเพื่อเลือกวิชาการต่อสู้ที่นายต้องการ เดี๋ยวเมื่อถึงเวลานั้นจะมีคนเข้าไปติดต่อนายอีกที” หยู่ลู่ซวนกล่าวก่อนที่เขาจะเดินจากไป
เมื่อเรื่องทุกอย่างถูกจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเฟยก็ตามหยูเจียงไปยังแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองแห่งนี้มากกว่า 100 กิโลเมตร
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำอยู่จะเป็นการก้าวเดินตามชายชรา แต่เซี่ยเฟยก็ได้พบว่าทุก ๆ ย่างก้าวที่เขาเดินออกไปนั้นสามารถที่จะเคลื่อนที่ได้หลายร้อยเมตร ซึ่งหลังจากที่เขาได้ก้าวเท้าไปเพียงแค่ไม่กี่สิบก้าว ในที่สุดเขาก็เดินทางมาจนถึงท่าน้ำซึ่งเป็นจุดหมาย
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสับสนมาก เพราะเขารู้สึกราวกับว่าพื้นใต้เท้ากำลังเคลื่อนที่ผ่านร่างของเขาไปเอง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าหยูเจียงได้ใช้วิธีการอะไรในการย่นระยะทางให้สั้นลงอย่างกะทันหันแบบนี้
“เป็นยังไง การเคลื่อนไหวของฉันพอจะเทียบกับพลังความเร็วของนายได้ไหม?” หยูเจียงถามขณะนั่งลงประจำตำแหน่งและหยิบคันเบ็ดคู่ใจของเขาขึ้นมา
“เรื่องนี้มันคงจะนำมาเทียบกันไม่ได้หรอกครับ ความเร็วของผมเป็นพลังพิเศษที่จำเป็นจะต้องพึ่งพาร่างกาย แต่การเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสจำเป็นจะต้องใช้การควบคุมในระดับที่ละเอียดอ่อนมาก ถ้าหากว่าผมเดาไม่ผิดการเคลื่อนไหวนี้น่าจะเป็นหนึ่งในวิธีใช้งานของกฎแห่งมิติ ที่ทำให้เราสามารถเคลื่อนที่ตัดผ่านมิติในระยะสั้น ๆ อย่างต่อเนื่องได้” เซี่ยเฟยกล่าว
“ใช่แล้ว นี่คือพลังของกฎแห่งมิติ และถ้าหากว่านายใช้พลังความเร็วของนายร่วมกับเทคนิคที่ฉันใช้เมื่อกี้นี้ มันก็คงจะไม่จำเป็นจะต้องบอกนะว่าความเร็วที่นายทำได้จะบรรลุไปจนถึงระดับไหน” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันจะทะลุความเร็วแสงได้หรือเปล่าครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างตื่นเต้น เพราะถ้าหากว่าเขาสามารถใช้เทคนิคเมื่อสักครู่นี้ได้จริง ๆ การไล่ตามความเร็วแสงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องฝันเฟื่องอีกต่อไป
“เชื่อฉันสิว่าความเร็วแสงมันไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความเร็วหรอก” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า เพราะมันยังมีอีกหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างในดินแดนของผู้ใช้กฎที่อยู่เหนือเกินกว่าสามัญสำนึกของเขา ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เขาเคยนึกว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องนั้น ๆ มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้
“ที่นายปฏิเสธดูบาร์เพราะว่าเขาย้ายคอปเปอร์ไปที่เกาะอสรพิษพิทักษ์ใช่ไหม?” หยูเจียงถาม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรออกมาเพิ่มเติม
“แต่การฉีกหน้าปรมาจารย์ด้านการกลั่นพลังงานในดินแดนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเหมือนกัน เพราะถ้าหากว่าเราปราศจากคริสตัลต้นกำเนิด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะช่วยให้เรามีความก้าวหน้าในการใช้กฎของจักรวาลได้” หยูเจียงกล่าว
“ถึงแม้ผมจะไม่ได้เลือกเส้นทางที่ฉลาด แต่อย่างน้อยผมก็ไม่อยากจะฝืนใจตัวเอง สิ่งที่ผมจะทำมีเพียงแค่สิ่งที่ผมต้องการจะทำ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีผลประโยชน์มากมายมาวางกองอยู่ตรงหน้า แต่ถ้าหากว่าผมไม่อยากทำผมก็ไม่คิดจะฝืนตัวเองให้ทำเรื่องนั้น ๆ อยู่ดี” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“นายนี่เป็นคนที่เด็ดเดี่ยวเหมาะสำหรับจะเป็นนักสู้ชั้นยอดในอนาคตจริง ๆ อย่างน้อยการที่นายปฏิเสธดูบาร์ไป มันก็ทำให้นายได้มีโอกาสกินปลาหางฟินิกซ์ที่อยู่ในแม่น้ำ” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นผมก็คิดถูกแล้วสินะครับที่ปฏิเสธคำชวนของปรมาจารย์ดูบาร์ไป” เซี่ยเฟยกล่าว
“คน 100 คนที่ฝึกฝนกฎแห่งมิติก็จะมีความเข้าใจที่แตกต่างกันออกไป 100 แบบ ดังนั้นในดินแดนนี้ความเข้าใจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และสิ่งที่มีความสำคัญกว่านั้นก็คือความเพียรพยายาม”
“ย้อนกลับไปในอดีตบรรพบุรุษของตระกูลหยูได้ตีความกฎแห่งมิติแตกต่างออกไปจากคนโดยส่วนใหญ่ จนทำให้ทุกคนต่างก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะ เพราะคิดว่าการตีความของบรรพบุรุษเป็นเรื่องที่ผิดพลาด แต่เขาก็ยังคงพยายามยืนหยัดอย่างดื้อรั้นที่จะรักษาแนวทางของตัวเองเอาไว้”
“ในที่สุดวันหนึ่งสิ่งที่เขายืนยันก็ประสบความสำเร็จ และพวกที่เคยหัวเราะเยาะต่างก็ต้องรู้สึกตกตะลึง เพราะบรรพบุรุษสามารถใช้การตีความที่แตกต่างออกไปนั้นสร้างกฎแห่งมิติในรูปแบบที่ทรงพลัง แล้วทำให้ตระกูลหยูกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งดินแดน”
“บางทีความดื้อรั้นของนายก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย นายพอจะสังเกตเห็นไหมว่าการตีความกฎแห่งมิติของตระกูลเรามีความแตกต่างจากกฎแห่งมิติในรูปแบบธรรมดายังไง?” ชายชราถาม
“มันน่าจะเป็นการฉีกกระชากมิติออกจากกันใช่ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวตอบหลังจากใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ถูกต้อง ตระกูลหยูมีความโดดเด่นในการใช้กฎแห่งมิติในการฉีกกระชากมิติออกจากกันจริง ๆ แม้แต่การสังเกตของนายก็จัดอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมเหมือนกันสินะ” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“ผมแค่สังเกตเห็นว่านักสู้ทุกคนในตระกูลต่างก็ใช้การฉีกมิติเป็นตัวเลือกแรกในการโจมตี ผมเลยคิดว่าพวกเขาน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากความโดดเด่นของตระกูล” เซี่ยเฟยกล่าวเสริม
“ใช่ สาเหตุที่พวกเขาทำแบบนั้นนั่นก็เพราะว่าเรื่องนี้คือสิ่งที่พวกเราทำได้ดีมากที่สุดแล้ว แต่นายกลับไม่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของตระกูล เพราะในตอนที่นายใช้กฎแห่งมิติออกมา ฉันสัมผัสได้ถึงพลังที่มีรูปแบบที่แตกต่างออกไป”
“เห็นได้ชัดเลยว่าการโจมตีนั้นไม่ใช่การฉีกกระชากมิติเหมือนกับสิ่งที่พวกเราถนัด แต่... แต่... เอาล่ะ ฉันไม่รู้จะหาคำ ๆ ไหนมาอธิบายการจู่โจมของนายได้เหมือนกัน มันจะเรียกว่ายังไงดี? จะเรียกว่าพลังมันบิดเบี้ยวก็คงจะได้มั้ง” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับหัวเราะตัวเองที่ไม่สามารถหาคำมาอธิบายพลังของเซี่ยเฟยได้
คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะพลังที่เขาได้เพิ่มเข้าไปในระหว่างการโจมตีคือกฎแห่งความโกลาหล และตอนนี้มันก็ดูเหมือนกับว่าหยูเจียงจะค้นพบสิ่งแปลกปลอมในการจู่โจมของเขาแล้ว
จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็นึกถึงคำพูดของนกสีขาวดำว่ากฎแห่งความโกลาหลคือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขาและไม่มีใครสามารถสัมผัสถึงมันได้ ซึ่งเรื่องนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เมื่อชายหนุ่มได้นึกถึงเทพเจ้าที่นกทั้งสองตัวเคยพูดถึง เซี่ยเฟยก็ยังนึกไม่ออกว่าเทพเจ้าพวกนั้นคืออะไรกันแน่ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นหนึ่งในตระกูลในดินแดนของผู้ใช้กฎเหมือนกับตระกูลหยูที่เขากำลังอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้หรือเปล่า
“การที่นายสามารถแสดงพลังของกฎแห่งมิติในรูปแบบที่แตกต่างจากพวกเราได้ มันก็ถือว่าเป็นพรสวรรค์ที่น่ายกย่องเหมือนกัน และถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเส้นทางนั้นจะเป็นเส้นทางที่นำนายไปสู่ทิศทางที่ดีหรือแย่ลงกว่าเดิม แต่ฉันก็หวังว่านายจะอดทนและเดินไปในเส้นทางที่ยังไม่มีใครเคยก้าวเดินผ่านไป”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ เพราะการเลือกเดินในเส้นทางที่แตกต่างจากคนอื่นก็เป็นสิ่งที่เขายึดมั่นมาโดยตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าหยูเจียงจะไม่ได้พูดอะไรในวันนี้ แต่เขาก็ยังคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ยากลำบากนี้อยู่ดี
“นายรู้จักสวนเสือคำรามไหม?” หยูเจียงถาม
เซี่ยเฟยส่ายหัวเป็นคำตอบ เพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อสวนอะไรในลักษณะนี้มาก่อนเลย
“สวนเสือคำรามเป็นสถานที่สำหรับเลี้ยงดูสัตว์อสูรในตระกูลของเรา แต่น่าเสียดายที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสวนเสือคำรามยังไม่มีใครที่เหมาะสมจะเข้าไปดูแลสถานที่แห่งนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ภายในสวนจึงมีเพียงแค่สัตว์อสูรระดับต่ำเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น”
“แล้วถึงแม้ว่าเราจะพยายามเปลี่ยนผู้จัดการมาแล้วกี่คนต่อกี่คน แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ถ้าหากว่าสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปฉันก็คิดว่าสวนเสือคำรามคงจะถูกทิ้งร้างในที่สุด แต่ฉันคิดว่าในตอนนี้ฉันน่าจะได้พบกับผู้จัดการที่เหมาะสมแล้ว ว่ายังไงนายสนใจจะไปดูแลสวนนั่นไหม?” หยูเจียงถาม
คำถามนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย เพราะท้ายที่สุดเขาก็พึ่งเข้ามาอยู่ในดินแดนของผู้ใช้กฎเพียงแค่ไม่นาน และสถานะในปัจจุบันของเขาก็ค่อนข้างต่ำต้อย แต่หยูเจียงกลับเสนอให้เขาไปเป็นผู้จัดการสถานที่เลี้ยงดูสัตว์อสูรของตระกูล ซึ่งมันเป็นข้อเสนอที่สร้างความประหลาดใจให้กับเขาได้อย่างแท้จริง
แต่เมื่อชายหนุ่มนึกถึงแววตาที่หยูเจียงกับหยูฮัวเคยมองไปที่ขนอุย เขาก็เริ่มตระหนักว่าคำเชิญชวนนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการที่เขาได้มีขนอุยเป็นอสูรคู่หู
“ท่านผู้นำ ในตระกูลหยูมีประชากรอยู่มากกว่า 1 ล้านคน แล้วทำไมคุณถึงต้องเลือกผมด้วยล่ะครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“นั่นก็เพราะว่านายมีความสามารถในการควบคุมอสูรระดับสูง ที่แม้แต่มารขาวก็ยังยอมทำพันธสัญญากับนาย ดังนั้นการให้นายไปเป็นผู้จัดการสวนเสือคำรามจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตระกูลของเราแล้ว” หยูเจียงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อคุณรู้ว่าขนอุยคือมารขาว ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้ด้วยใช่ไหมว่ามันอยู่ในระดับไหน?” เซี่ยเฟยถาม
“ใช่ มันเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับที่สูงมาก”
“สูงมากนี่คือสูงมากแค่ไหนครับ?”
“สูงมากแบบสูงมาก ๆ”
เซี่ยเฟยแบะริมฝีปากอย่างไม่ค่อยพอใจ เพราะคำตอบของชายชราไม่ได้ช่วยให้เขาได้รับข้อมูลอื่นเพิ่มเติมเลย
“ในสวนเสือคำรามมีห้องสมุดอยู่ด้วย ถ้าหากว่านายรับตำแหน่งนายก็สามารถเข้าไปหาข้อมูลโดยละเอียดของสัตว์อสูรชนิดต่าง ๆ ได้ ซึ่งในเอกสารพวกนั้นมันก็น่าจะให้คำอธิบายกับนายได้ดีมากกว่าการมาเค้นถามหาคำตอบจากฉัน”
“นอกจากนี้ผู้จัดการสวนเสือคำรามยังได้รับเงินเดือนถึงเดือนละ 30 คริสตัลม่วง และฉันก็รู้ถึงสถานการณ์ของสวนแห่งนั้นดี ดังนั้นถึงแม้ว่านายจะดูแลสวนนั่นได้ไม่ดี แต่มันก็คงจะไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก”
“เอาล่ะฉันได้พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะพูดออกไปหมดแล้ว ที่เหลือนายก็แค่จะต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้วให้คำตอบฉันกลับมา”
เซี่ยเฟยกำลังถูกล่อลวงด้วยเงินเดือน 30 คริสตัลม่วงอยู่จริง ๆ เพราะในตอนนี้เขากำลังรู้สึกยากจนในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาเลย
แม้ว่าก่อนเดินทางมาดินแดนของผู้ใช้กฎเขาจะขนหัวใจจักรวาลสีม่วงเดินทางมาด้วยถึง 6 ตัน แต่ตอนนี้หัวใจจักรวาลพวกนั้นถูกใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้ว เงื่อนไขนี้จึงเป็นเงื่อนไขที่ดีที่สามารถช่วยต่อชีวิตให้กับเขาได้
แม้ว่าคนนอกจะมองว่าชายหนุ่มสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับติดจรวด แต่ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จนั้นต้องถูกแลกมาด้วยเงินจำนวนมากมายมหาศาลขนาดไหน
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ต้องการพลังงานต้นกำเนิดก็ไม่ได้มีเพียงแต่เซี่ยเฟยเพียงคนเดียว เพราะขนอุยก็ต้องการพลังงานต้นกำเนิดมาเป็นอาหารของมันด้วย
ตั้งแต่ที่ขนอุยมีโอกาสได้ลิ้มรสพลังงานจากคริสตัลต้นกำเนิด มันก็กลายเป็นสัตว์อสูรเรื่องมากที่ไม่กลับไปกินพลังงานจากหัวใจจักรวาลอีกเลย ดังนั้นเพียงแค่ค่าอาหารของมันเพียงอย่างเดียวก็จำเป็นจะต้องใช้คริสตัลต้นกำเนิด 20-30 ก้อนในแต่ละเดือนแล้ว ด้วยเหตุนี้เงินเดือนในจำนวนนี้จึงพอจะเอามายื้อชีวิตของเขาได้บ้าง
“ได้ครับผมตกลงรับงานนี้ ว่าแต่คุณจะให้ผมเริ่มงานเมื่อไหร่?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“พรุ่งนี้เลย” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
—
สวนเสือคำรามตั้งอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลจากที่พักเดิมของเซี่ยเฟยพอสมควร โดยมันได้ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ห่างออกไปจากเมืองฝึกหัดประมาณ 2,000-3,000 กิโลเมตร
แม้ว่าทัศนียภาพโดยรอบของสวนเสือคำรามจะค่อนข้างดี แต่สภาพโดยรวมของสวนแห่งนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างทรุดโทรม
ในช่วงเวลาเช้า
พนักงานของสวนเสือคำราม 6 คนกำลังพยายามทำความสะอาดสวนอย่างดีเพื่อรอคอยหัวหน้าคนใหม่
“ฉันได้ยินมาว่าคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพวกเราคือเด็กใหม่ที่ชื่อว่าเซี่ยเฟย”
“ฉันก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน ตอนแรกดูเหมือนทุกคนจะบอกว่าเขาเป็นเพียงแค่คนที่ไร้ประโยชน์ แต่ใครจะไปคิดว่าจู่ ๆ เขาจะสามารถฟื้นฟูพื้นที่สมองส่วนที่ 7 กลับมาอย่างสมบูรณ์ได้ในฉับพลัน และเขาก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนในการพัฒนาเป็นนักรบกฎขั้นที่ 2”
“เขาฝึกได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่เห็นจะต้องแปลกใจอะไรเลย อย่าลืมนะว่าพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาถูกเปิดออกทั้ง 100% ดังนั้นหลังจากที่เขาฟื้นฟูสภาพสมองของตัวเองกลับมาแล้ว มันจะช่วยให้เขาสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว”
พนักงานในสวนเสือคำรามต่างก็กำลังพูดถึงเรื่องหัวหน้าคนใหม่ และมันก็ทำให้หยูซานสุ่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
แต่เดิมเขาเป็นคนบริหารสวนแห่งนี้และเขายังเป็นทายาทสายตรงตระกูลหยูเพียงคนเดียวในสวนแห่งนี้ด้วย
งานที่ยากที่สุดในสวนเสือคำรามคือการจัดการให้สัตว์อสูรภายในสวนเชื่อฟังมนุษย์ แต่สัตว์อสูรกว่า 10 ตัวที่ถูกขังอยู่ในสวนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อสูรที่มีอารมณ์รุนแรง คนที่พยายามฝึกพวกมันจึงเสียชีวิตไปแล้วหลายคน แล้วมันก็ยังมีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกเป็นจำนวนมาก
เหตุผลที่หยูซานสุ่ยยังคงปลอดภัยมาจนถึงปัจจุบันนั้นก็เพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการพยายามฝึกสัตว์อสูรให้เชื่อง เพราะเขาไม่เดินเข้าไปใกล้กรงขังสัตว์อสูรพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นมุมปากของหยูซานสุ่ยก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้าย เพราะเขาได้คิดถึงวิธีการที่จะทำให้เซี่ยเฟยได้รับความอับอายตั้งแต่วันแรกที่ชายหนุ่มได้เข้ามารับตำแหน่ง
***************