ตอนที่ 30 แพนด้าแดง
ทะลุมิติมาสร้างสวนสัตว์ในฝัน ตอนที่ 30 แพนด้าแดง
นักท่องเที่ยวเดินทางมาที่สวนสัตว์หลินไหโดยเฉพาะนับเป็นความสําเร็จกำวสําคัญ เพราะในอดีตนั้นนักท่องเที่ยวจะมาที่สวนสัตว์หลินไห่ก็เหมือนกับคนไข้ที่ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะพวกเขาต้องการหมอคนไหนก็ได้ที่รักษาโรคของตัวเอง
ในขณะที่การไปหาหมอคนใดคนหนึ่งโดยตรงนั้นหมายความว่าหมอคนนั้นคือหมอที่มีความสามารถในด้านนั้นมากพอ
ซึ่งเช่นเดียวกันกับสวนสัตว์หลินให่ที่มีคนเลือกมาเพราะตัวสวนสัตว์ ไม่ใช่เพราะเพียงแค่ต้องการจะดูสัตว์ตัวใดก็ได้
นี่คือผลของชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้น!
ถ้าเปรียบกับโลกของเหล่าจอมยุทธ์แล้ว สวนสัตว์หลินไห่ก็หลุดจากเด็กใหม่แล้วกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แบบเต็มตัวแล้ว
กล่องของขวัญปริศนา ยิ่งทําให้ฟางเย่ประหลาดใจเข้าไปอีก! พร้อมกันนั้นก็มีเสียงของระบบดังขึ้นอีกครั้ง
[ขอแสดงความยินดี! โฮสต์ได้รับทักษะ “การข่มขู่”]
[การข่มขู่ : ในขณะที่ใช้ทักษะ จะใช้พลังจิตเพื่อเปิดใช้งาน เมื่อใช้งานทักษะจะทําให้สัตว์เกิดความรู้สึกกลัวคุณมากขึ้น (ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้ทักษะดังกล่าวบ่อยเกินไป เนื่องจากจะทําให้สัตว์เกิดความเครียดและหวาดกลัว)]
[ขอแสดงความยินดี! โฮสต์ได้รับ 10,000 เหรียญใบไม้!]
[ขอแสดงความยินดี! โฮสต์ได้รับแพนด้าแดง (Red Panda) 2 ตัว!]
เชี่ย! สุดยอดไปเลย!
ฟางเย่มีความสุขมากจนถ้าเขาไม่ทันสังเกตเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็คงจะหัวเราะเสียงดังลั่นไปแล้ว
ทักษะ [การข่มขู่] เป็นขั้วตรงข้ามกับทักษะ [แรงดึงดูด
ทักษะหนึ่งเป็นการทําให้สัตว์รู้สึกใกล้ชิดกับคุณมากขึ้น ในขณะที่อีกทักษะหนึ่งจะทําให้สัตว์เกิดความรู้สึกกลัวผู้ใช้มากขึ้น!
แม้ว่าเขาจะชอบที่ได้สร้างความสนิทสนมกับสัตว์อย่างอ่อนโยน ทว่ากับสัตว์ที่ดุร้ายหรือมีนิสัยที่ไม่ดีก็จะต้องมีทักษะข่มขู่เพื่อปราบพวกมัน!
เมื่อสัตว์เกิดโมโหและต่อสู้กัน เขาไม่สามารถใช้ทักษะแรงดึงดูดได้เลย ดังนั้นเขาก็จะต้องใช้ไม้แข็งในการสยบพวกมัน
เพราะบางครั้งถ้ามันเห็นว่ามีใครมายืนดูอยู่ข้างๆ ก็อาจจะทําให้มันรู้สึกอยากแสดงความสามารถมากขึ้นอีก จนทํา
ให้มันต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
นั่นทําให้ทักษะการข่มขู่นั้นมีความสําคัญอย่างมาก
สิ่งที่ทําให้ฟางเย่รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าคือแพนด้าแดง 2 ตัว!
เจ้าแพนด้าแดงเป็นหนึ่งในสัตว์ที่น่ารักที่สุดบนโลก อีกทั้งมันยังเป็นหนึ่งในสัตว์ตัวโปรดของเขาอีกด้วย!
ลักษณะของแพนด้าแดงนั้นคล้ายกับแมว แต่มันมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าและขนที่ปกคลุมทั่วร่างกายของมันก็มีสีแดงน้ำ ตาล อีกทั้งมันยังมีวงสีแดงหรือดําที่หาง
แพนด้าแดงเป็นสัตว์ที่รักสงบ
บางคนอาจจะจําสับสนระหว่างแพนด้าแดงกับแรคคูน เช่นในร้านก๋วยเตี๋ยวที่บอกว่าเป็นร้านชื่อแรคคูน ทว่าโล โก้ของร้านกลับเป็นเจ้าสิ่งมีชีวิตขนสีแดงน้ำตาลที่รูปร่างเหมือนแมวตัวนี้
อันที่จริง เราสามารถจําแนกพวกมันได้ง่ายมาก เพราะขนของแรคคูนจะเป็นสีดํา ขาวและเทา ทําให้มันดูคล้ายกับ หนูตัวใหญ่
ส่วนเหรียญใบไม้นั้นก็ถือว่าได้มาเป็นทุนในการปรับปรุงสวนสัตว์
เนื่องจากฟางเย่ต้องการให้ส่วนจัดแสดงของเสือเป็นจุดศูนย์กลางของสวนสัตว์ นั่นทําให้มันมีขนาดใหญ่และเขาก็ได้ ปรับแต่งพื้นที่อย่างละเอียดละออ ซึ่งนั่นทําให้เขาใช้เหรียญใบไม้ไปมากกว่า 60,000 เหรียญในการสร้างส่วนจัดแสดงเสือ
แต่ถ้าเขาต้องการสร้างให้ง่ายกว่านั้นก็ใช้เพียงไม่กี่หมื่นเหรียญก็เพียงพอ
นั่นทําให้เหรียญใบไม้ของเขาเหลืออยู่ประมาณ 20,000 เหรียญ บวกกับอีก 10,000 เหรียญที่เขาได้เป็นรางวัล อีกทั้งรางวัลจากการมีสายพันธุ์ย่อยของเสือโคร่งขาวเบงกอลที่เพิ่มเหรียญให้แก่เขาถึง 10,500 เหรียญ และแพนด้าแดงที่ เป็นสัตว์คุ้มครองของชาติระดับ 2 ทําให้รางวัลที่เขาจะได้เพิ่มก็อย่างน้อย 2,000 เหรียญ
รวมกันแล้ว...ประมาณ 67,000 เหรียญใบไม้
เขาสามารถสร้างส่วนจัดแสดงขนาดใหญ่ได้อีกแห่ง หรือไม่ก็ส่วนจัดแสดงขนาดเล็กได้อีกหลายที่!!
“ผู้อํานวยการ! คุณเมินหนู!!” แก้มของถังเดี่ยวชิ้นพองออกอย่างไม่มีความสุข
ฟางเย่ได้สติแล้วมองไปที่เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกเขาเมินไปเมื่อครู่
เขาเกาหัวตัวเองเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษที ฉันกําลังคิดเกี่ยวกับสัตว์ตัวใหม่อยู่เลยไม่ค่อยจะมีสติเท่าไหร่ เมื่อกี้หนูว่ายังไงนะ?”
เพราะถังเสี่ยวชินชอบฟางเย่นิดหน่อย ทําให้เธอยอมยกโทษให้เขาพร้อมกับพูดทวนสิ่งที่เธอพึ่งถามไป “เจ้าเสือขาวตัวน้อยเป็นยังไงบ้างคะ?”
นั่นทําให้ฟางเย่หัวเราะเบาๆ แล้วจึงตอบแฟนคลับของเสือขาวตัวน้อย “หนูพูดถึงซอร์เบท์นี่เอง อ้อ! ซอร์เบท์ เป็นชื่อของเจ้าเสือขาวตัวน้อยนะ น้ำหนักของมันเพิ่มขึ้นทุกวันจนต้องนี้มันสามารถยืนด้วยตัวเองได้แล้ว แถมยังปืนแล้ว เลียขนตัวเองได้แล้วด้วย!”
“ปกติมันจะชอบคลานไปมา แต่ตอนนี้พอตื่นปี๊บมันก็เดินไปทั่วห้องเลยล่ะ” ฟางเย่นึกถึงเจ้าเสือขาวน้อยแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ซอร์เบท์! เจ้าเสือน้อยกลายเป็นไอติมไปแล้ว!” ถังเสี่ยวซินนึกภาพตามที่ฟางเย่บอกแล้วรู้สึกตกหลุมรักมันยิ่งกว่าเดิม
“ผู้อำนวยการ ให้หนูไปดูไอติมน้อยได้ไหม~~” เธอนึกภาพตามไปซักพักก่อนจะถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ไม่ได้ ซอร์เบท์ยังอยู่ในช่วงที่ยังเด็กมาก รอให้มันโตก่อนแล้วหนูค่อยมาหามันนะ อีกอย่างหนูก็สามารถดูมันผ่าน ไลฟ์ของสวนสัตว์ได้ไม่ใช่เหรอ?”
เด็กหญิงตัวน้อยกระพริบตาพร้อมกับพยายามบีบน้ำตาออกมา เธอทําสีหน้าที่น่าสงสารแล้วพูดอย่างน่ารัก “ผู้อํา นวยการ~ หนูเป็นแฟนคลับเดนตายของคุณเลยนะ! ให้หนูไปดูซอร์เบท์หน่อยไม่ได้เหรอคะ”
ฟางเย่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ “เอ่อ....น่าจะไม่...”
ถังเสี่ยวซินพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร “ผู้อํานวยการรรรรรร~~~~”
ฟางเย่จับคางตัวเองราวกับกําลังคิดอะไรอย่างจริงจังอยู่ ก่อนที่จะตอบตกลง “โอเค! แค่วันนี้วันเดียวนะ!”
คําตอบของเขาทําให้ถังเสี่ยวบินกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข “เย่!! ผู้อํานวยการสุดยอดที่สุด!!!”
ฟางเย่หัวเราะเบาๆ
เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เป็นคนนําของขวัญสุดพิเศษมาให้แก่เขาในวันนี้ ในตอนแรกเขากะจะพาเธอทัวร์สวนสัตว์แล้วไปดูซอร์เบท์ตัวน้อย แต่เหมือนว่าเธอจะได้ประโยชน์มากกว่าที่เขาตั้งไว้เสียแล้ว
ตามปกติแล้ว บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าใกล้ชิดกับลูกสัตว์ได้ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม แต่เนื่องจากเขาให้น้ำยาผู้ พิทักษ์แก่ฃอร์เบทไปตั้งแต่แรก ทําให้เขาวางใจได้ว่าอย่างน้อยมันก็จะไม่ป่วย
“แล้วเราจะไปดูซอร์เบท์ก่อน หรือจะไปดูสัตว์ตัวอื่นก่อนดี?”
“ต้องไปดูซอร์เบท์ก่อนอยู่แล้ว!!” ถังเสี่ยวซินพูดอย่างตื่นเต้น ซึ่งฟางเย่ก็ตกลงแล้วพาเธอไปที่ห้องอนุบาลสัตว์
เมื่อพวกเขาเดินผ่านกรงหมาป่า เฮยตันก็วิ่งมาที่หน้ากรงพร้อมกับสะบัดหางใหญ่ๆ ของมันอย่างมีความสุข
บรู๊ววว!!
เสียงของเฮียทานดูมีความเป็นมิตรมากกว่าครั้งแรกอยู่มาก
แม้ว่าภาพลักษณ์ของเฮยตันจะดูเหมือนหมาซื่อๆ เพราะตากลมๆ ของมัน แต่เสียงของมันกลับต่ำมากสมกับที่เป็น
ถ้าไม่มองที่หน้าของมันแล้วฟังแต่เสียง คนที่ได้ยินคงคิดว่าพวกเขาเจอกับราชาหมาป่าอย่างแน่นอน
“ว่าไง!” ฟางเย่โบกมือให้แก่เฮยตันเพื่อทักทาย ในขณะที่ถึงเสี่ยวซินรู้สึกตกใจจนต้องแอบอยู่ด้านหลังของฟางเย่
เธอชะโงกหัวออกไปดูแล้วพบกับเจ้าหมาหน้าตาซื่อบื้อกําลังสะบัดหางอย่างมีความสุขแล้วรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
มันดู....ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดไว้นะ
“ผู้อำนวยการ มันคือหมาป่าหรือคะ? ทําไมมันดูเหมือนหมาบ้านเลย?”
ฟางเย่หันไปตอบเด็กหญิงตัวน้อย “มันคือหมาป่าสีเทา เป็นต้นกําเนิดของหมาบ้าน มันเลยคล้ายกัน”
“อ๋ออ~”
โบร๊ววว!!
เสียงของทั้ง 2 ประสานกันดังไปทั่ว นั่นทําให้ถังเสี่ยวซินถามอีกคําถามด้วยความสงสัย “ผู้อํานวยการ....มันกําลังทักทายคุณเหรอคะ?”
“ก็..อาจจะนะ”
“หนูเคยดูทีวีทีหมาป่าจะชอบหอนตอนกลางคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ทําไมมันถึงทําอย่างงั้นเหรอคะ?”
ฟางเย่อธิบายอย่างใจเย็น “มันเป็นเรื่องตามตํานานของประเทศทางตะวันตก ที่หมาป่าจะหอนแล้วกลายร่างเป็น มนุษย์หมาป่าเมื่อพระจันทร์เต็มดวง นั่นทําให้เวลาคนมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงก็จะนึกถึงหมาป่า แต่อันที่จริง มันไม่มีหลักฐานว่าหมาป่าจะหอนเฉพาะคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น”
“หมาป่าจะหอนเพื่อสื่อสารกับพวกของมัน ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่ล่าเหยื่อ หรือหอน 2 ครั้งเพื่อเรียกพวกของมันให้มา รวมกัน แล้วถ้ามันต้องการจะหาคู่ก็จะส่งเสียงหอนยาวๆ ออกไปเพื่อแสดงความต้องการหาคู่”
เด็กหญิงคิดเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “ผู้อํานวยการ ทําไมคุณถึงดูสนิทกับพวกสัตว์จังเลยคะ? ทั้งเสือ จิ้งจอกแล้วนี่ก็หมาป่าด้วย”
ฟางเย่ตอบกลับอย่างจริงจัง “คนบางคนอาจจะเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ทําให้สัตว์รู้สึกสนิทได้ง่าย ตอนฉันอยู่ชั้นประถมก็ไปเจอกับชายชราคนหนึ่งแล้วบอกว่าฉันมีร่างกายหมื่นสัตว์อสูร แล้วพยายามพาฉันไปฝึกเพื่อสืบทอดสํานัก...”
ถังเสี่ยวซินฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่เมื่อเธอฟังไปเรื่อยๆ เธอก็ยกมือบอกให้เขาหยุดแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “คนโกหก!!”
“โอ้...ถ้าไม่เชื่อก็แล้วแต่” เด็กนี่หลอกยากจริง! ทําไมหลานลี่ถึงโดนหลอกง่ายกว่าเด็กอีกนะ...