ตอนที่ 1296 ภูเขาน้ำแข็งที่เปรียบได้ดั่ง ..ฝันร้ายของเธอ
เมื่อเผชิญกับความห่วงใยของ หลินฟาน เด็กสาวเพียงแค่ก้มหน้าลง และร้องไห้โดยไม่พูดอะไรออกมา และจากสายตาของเธอ หลินฟาน สามารถอ่านความเศร้าโศกที่อยู่ลึกในใจของเธอได้ ซึ่งดูเหมือนมันจะไม่ควรมาปรากฏ ..อยู่ในสายตาของเด็กสาวเช่นนี้ได้เลย
เด็กสาวคนนี้ เธอผ่านอะไรมาบ้าง?
หลินฟาน ได้นั่งอยู่ต่อหน้าเด็กสาวโดยไม่ถามอะไรอีกต่อไป แต่อยู่กับเธออย่างเงียบๆ ให้เวลาเธอครู่หนึ่ง เผื่อเธอจะเล่าเรื่องบางอย่างในใจออกมาให้เขาฟัง อีกอย่างบางทีคนที่มีเรื่องมากมายในใจ ก็ต้องการใครสักคนเพื่อระบาย หลินฟาน เขาเลยได้ตั้งใจจะเป็นผู้ฟังที่ดี
ตามที่คาดไว้ หลังจากนั้นไม่นาน เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ หลินฟาน เธอดูมีสีหน้าอึดอัด และดูเหมือนจะพึมพำอะไรบางอย่าง
หลินฟาน ยิ้ม และริเริ่มพูดไปว่า : “ผมชื่อ หลินฟาน แล้วคุณล่ะ.. ชื่ออะไร?”
เด็กสาว พูดว่า : “ฉัน.. ฉันชื่อ โจว เสี่ยวเซิ่ง”
หลินฟาน กล่าวว่า : “คุณมาจากไหน”
เด็กสาว พูดว่า : “ฉัน... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนจากไหน…”
หลินฟาน กล่าวว่า : “คุณหมายความว่ายังไง บ้านของคุณอยู่ที่ไหน แล้วคุณมาจากไหน?”
เด็กสาว ได้ก้มหน้าเช็ดน้ำตา แล้วกล่าวว่า : “ฉันไม่มีบ้าน... ฉันเคยมีบ้านมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
จากนั้น โจว เสี่ยวเซิ่ง ก็เล่าชีวิตตัวเองให้ หลินฟาน ได้ฟัง เธอเล่าว่าเธอเคยมีบ้าน ก่อนที่เธอจะอายุ 5 ขวบ เมื่อเธออายุ 5 ขวบ พ่อแม่ของเธอก็เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วยกันทั้งคู่ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็กลายเป็นเด็กกําพร้า มีญาติของทั้งสองฝ่ายของพ่อแม่ ผลัดกันเข้ามาดูแลจนเธอโต ในวัยเด็กเธอไม่เคยได้รับรู้ถึงความรักของพ่อแม่ แม้ว่าญาติๆ จะยังถือว่ารักเธอ แต่มันก็ไม่มีความรักใดๆ ที่สามารถเทียบได้กับความรักของพ่อแม่ และการที่เธอไม่มีพ่อแม่ปกป้อง เธอก็เป็นได้แค่เด็กกําพร้าที่น่าสงสาร ไม่ว่าญาติจะดีสักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถใส่ใจเธอได้ดีเท่ากับที่พ่อแม่ ..มีให้ต่อเธอได้
“ตั้งแต่เข้าเรียน โรงเรียนก็กลายมาเป็นฝันร้ายของฉัน เพราะเพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นพอเมื่อรู้ว่าฉันเป็นเด็กกําพร้า พวกเขาก็คิดว่าฉันรังแกง่าย เพราะต่อให้รังแกฉัน ฉันเองที่ไม่มีพ่อแม่ปกป้องเหมือนกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่มีพ่อ และแม่ช่วยออกหน้าปกป้อง ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะร่วมมือกันมารังแกฉัน แกล้งฉันสารพัด ..อย่างไร้ยางอาย พวกเขามาขวางทางฉันที่ประตูห้องน้ำ ราดน้ำลงใส่หัวฉัน และพวกเขาก็ผลักฉันจนลงกับพื้น แล้วพากันมองดู จากนั้นก็หัวเราะออกมา..” โจว เสี่ยวเซิ่ง ได้ก้มหน้ากล่าวออกมา
หลินฟาน ได้กำหมัดแน่น แล้วพูดไปว่า : “คุณไม่ได้ไปบอกครู?”
โจว เสี่ยวเซิ่ง กล่าวว่า : “ตอนแรกฉันบอกครู แต่ครูแค่ตำหนิสั่งสอนพวกเขาอย่างเบาๆ เพียงไม่กี่คำเท่านั้น และไม่ได้คิดทำอะไรอย่างจริงจัง.. แม้กระทั่งบางครั้งฉันถูกเพื่อนร่วมชั้นใส่ร้าย ครูยังตัดสินใจว่าเป็นความผิดของฉัน และด่าว่าฉันโดยไม่แยกแยะผิดถูก ฉันบอกครูว่าเพื่อนร่วมชั้นรังแกฉัน แต่ผลที่ตามมาคือฉันกลับถูกพวกเขารังแก เพื่อแก้แค้นฉันคืน ต่อมาฉันได้รู้แล้วว่าครูไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้เลย มีแต่จะทําร้ายฉันมากขึ้น ฉันเลยตัดสินใจไม่คุยกับครูอีก และทนแบกรับมันอย่างเงียบๆ คนเดียว”
หลินฟาน กล่าวว่า : “เด็กทั้งหมดนี่คือยังเรียนอยู่ชั้นประถมเหรอ?”
โจว เสี่ยวเซิ่ง พูดว่า : “อืม โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ที่โรงเรียนพวกเขารังแกฉัน ในหมู่บ้านพ่อแม่ของพวกเขามักจะหัวเราะเยาะฉัน และบอกพวกเขาว่าอย่าได้มาเล่นกับฉัน”
หลินฟาน : “......”
ประโยคแรกในคัมภีร์ตรีอักษร ‘มนุษย์ถือกำเนิดมานั้นท่านว่าบริสุทธ์โดยเนื้อแท้’ ผายลมน่ะสิ.. ดูไอ้พวกตัวร้ายพวกนี้สิ ขน(ผม)ยังไม่ทันยาว(ยังไม่โตเต็มที่) ก็แสดงความชั่วร้ายของมนุษย์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว, ความเป็นมนุษย์ ก็คือ ข่มเหงคนดี หวาดกลัวคนชั่ว,โจว เสี่ยวเซิ่ง เป็นเด็กกำพร้าวัย 5 ขวบ แน่นอนเธอเป็นคนอ่อนแอที่ใครๆ ก็รังแกได้ และคนอ่อนแอเช่นนี้ใครๆ ก็กล้ารังแก
“พอตอนที่ฉันเรียนมัธยมต้น และได้ไปเรียนหนังสือในเมือง ฉันก็ถูกรายล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมชั้นที่มีภูมิหลังไม่คุ้นเคย พวกเขาเองก็ไม่รู้ภูมิหลังของฉัน ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จึงน้อยลง และฉันที่เติบโตขึ้นแล้ว จึงได้เรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว แต่ตอนมัธยมต้น ฉันกลับไปเจอเข้ากับฝันร้ายที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้น..” โจว เสี่ยวเซิ่ง พูดถึงตรงนี้ เธอก็ได้เช็ดน้ำตาอีกครั้ง ดวงตาของเธอฉายชัดถึงความเจ็บปวด เหมือนกับว่าเธอได้ไปนึกถึงเรื่องเลวร้ายบางอย่างเข้า
หลินฟาน ไม่ได้ไปซักถาม หรือเขาอาจทนไม่ได้ที่จะถาม ในเวลานี้เขาไม่ค่อยเต็มใจที่จะฟังเรื่องน่าเศร้าเหล่านี้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเด็กสาวคนนี้ที่เคยประสบมันกับตัวเอง
เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าเด็กผู้หญิงอายุ 5 ขวบเติบโตขึ้นมาจากการถูกกลั่นแกล้งอย่างยาวนานมาได้อย่างไรกัน หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไปทั้งคู่ และยิ่งต้องตกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นอีก แค่คิดมันก็ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออกแล้ว
และสําหรับเด็กคนนี้ นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็งที่เปรียบได้ดั่ง ..ฝันร้ายของเธอ
โจว เสี่ยวเซิ่ง ได้พยายามสงบอารมณ์ตัวเองลง และพูดต่อไปว่า : “ในตอนมัธยมต้น ฉันพบเจอกับครูผู้ชายโรคจิตคนหนึ่ง ..มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าจะสอนการบ้านให้ฉัน ให้ฉันไปที่หอพักของเขา จากนั้นฉันก็เห็นเขาหยิบไวน์ออกมาดื่ม ดื่มจนหน้าแดง แล้วจู่ๆ เขาก็เข้ามากอดฉัน ฉันกลัวมากเลยพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต โชคดีที่ฉันช่วยคุณยายทํางานในไร่ในหมู่บ้านมาตลอดทั้งปี เลยพอให้ฉันมีกําลัง ฉันได้ดิ้นรนจนหลุดพ้น และวิ่งหนีออกไปได้ ช่วงนั้น ฉันทุกข์ใจอย่างมาก และในทุกๆ วันพอนึกถึงเรื่องนี้ก็อดไม่ได้จนร้องไห้ออกมาไม่หยุด แต่เรื่องนี้ฉันก็ไม่กล้าที่จะไปบอกใคร แถมเขายังมาขู่ฉัน นั่นทำให้ฉันได้แต่ต้องเก็บมันอยู่กับตัวเองคนเดียว เงียบๆ ..เท่านั้น”
หลินฟาน ได้หวังว่าเด็กคนนี้จะโกหกเขา, ประสบการณ์แบบนี้สำหรับเด็กคนหนึ่ง.. มันจะน่ากลัวแค่ไหน แต่ หลินฟาน กลับเห็นว่าสิ่งที่เธอพูดออกมาทั้งหมดนั้น มันกลับ ..เป็นความจริง
หลินฟาน โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว และเปลวไฟมันก็ได้พวยพุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของเขา
“ครูคนนี้ ชื่ออะไร?” หลินฟาน จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเด็กสาว และถามออกไป
เด็กสาว ได้เงียบไปครู่หนึ่ง จากสายตาของ หลินฟาน เธอ.. สามารถมองเห็นเจตนาฆ่าจากภายในดวงตาคู่นั้นของ หลินฟาน ได้ และนั่นทำให้จิตใต้สํานึกของเธอ ไม่กล้าที่จะปิดบัง เธอพูดไปว่า : “เขาชื่อ ..เฉิน ตงซิง”
เฉิน ตงซิง! หลินฟาน ได้จำชื่อนี้ไว้แล้ว
หลินฟาน กล่าวว่า : “คุณพูดต่อ”
โจว เสี่ยวเซิ่ง กล่าวว่า : “ตอนเด็กๆ ก็มีคนในหมู่บ้านบอกว่าฉัน ..เป็นเด็กป่าที่พ่อแม่ฉันเก็บมาเลี้ยง ตอนนั้นฉันยังเด็ก ยังไม่เข้าใจว่าเด็กป่ามันคืออะไร และไม่ได้คิดไปสนใจอะไร แต่เพราะเด็กๆ ในหมู่บ้านมักจะพากันหัวเราะเยาะว่าฉันไม่มีพ่อไม่มีแม่ เป็นเด็กกําพร้า ฉันเลยคิดว่าเด็กป่าก็น่าจะมีความหมายอย่างหนึ่ง เมื่อฉันโตขึ้น ฉันเองได้นึกถึงสิ่งนี้ จึงเริ่มให้ความสนใจ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันจึงไปถามกับคุณยายว่าท้ายที่สุดแล้วฉันเป็นอย่างที่คนในหมู่บ้านพูดกันหรือไม่ พ่อแม่เป็นคนเก็บฉันมาเลี้ยงใช่หรือไม่? ปรากฏว่า คุณยาย ได้ยอมรับ และบอกว่าฉันไม่ได้เกิดมาจากพ่อ และแม่จริงๆ พวกเขาเป็นแค่พ่อแม่บุญธรรมของฉัน ในโลกนี้ฉันยังมีพ่อ และแม่แท้ๆ อยู่อีกไหม คุณรู้ไหมว่าหลังจากที่ฉันรู้เรื่องนี้ ฉันตื่นเต้นมากแค่ไหน?”
หลินฟาน พยักหน้า เขาเข้าใจได้ว่าเด็กที่ขาดความรักของพ่อ และของแม่มาตั้งแต่เด็ก แต่พอทันใดนั้นเธอก็กลับได้รู้ว่าเธอยังมีพ่อแม่ผู้ให้กําเนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ และเช่นนี้เธอเองยังสามารถได้รับความรักจากพ่อแม่ที่ขาดหายไปได้อีกครั้งในชีวิต อารมณ์ของเธอ.. เขาสามารถจินตนาการได้
“ในตอนแรกแม้ว่าฉันจะตื่นเต้นมาก แต่ในเวลาเดียวกัน ..ฉันก็กลัวมาก ฉันกลัวว่าพ่อแม่ผู้ให้กําเนิดของฉันพวกเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าไปหาพวกเขา มันคงจะดีกว่าที่จะสามารถจินตนาการถึงพวกเขาในใจได้ แต่เมื่อตอนนั้นได้มีข่าวหนึ่งที่ทําให้ฉันเห็นว่ามีพ่อคนหนึ่งได้ออกมาตามหาลูกชายมาตลอดยี่สิบปี และในที่สุดเขาก็พบลูกชาย ครอบครัวได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เขารักลูกชายของเขามาก ภาพนั้นทําให้ฉันซึ้งใจ และฉันได้หันหน้าไปมองมือของตัวเอง และน้ำตาฉัน.. มันก็ไหลออกมา ฉันในตอนนั้นแค่กําลังคิดว่าพ่อแม่จริงๆ ของฉันจะเป็นเหมือนกับเขาที่ออกตามหาฉันอย่างยากลําบากเช่นนี้ไหม? ฉันในตอนนั้นก็ไม่คิดยอมให้พวกเขาเหนื่อยยากขนาดนั้น ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือทางออนไลน์ และบอกกับพวกเขาว่า ..ฉัน ต้องการหาพ่อแม่ที่แท้จริงของฉัน” โจว เสี่ยวเซิ่ง กล่าวออกมา
ช่วงนี้ หลินฟาน ไม่ได้มีเวลามานั่งดูข่าวในโลกออนไลน์ และเขาก็ไม่รู้ข่าวพวกนี้เลย เขาจึงถามไปว่า : “แล้วคุณหาพวกเขาเจอหรือยัง?”
โจว เสี่ยวเซิ่ง พยักหน้า : “อืม.. ใช่ ฉันหาพวกเขาพบแล้ว”
หลินฟาน รู้สึกสงสัยเล็กน้อย เธอพบพ่อแม่ผู้ให้กําเนิดแล้ว แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือ แต่ทําไมเธอถึงยังจะคิดฆ่าตัวตายอีก?
โจว เสี่ยวเซิ่ง ก็ได้ยิ้มอย่างขมขื่น และพูดว่า : “แทนที่จะหาเจอ ขอเลือกหาไม่เจอ ยังจะดีกว่า…”