ตอนที่แล้วตอนที่ 521 นักสู้ผู้ใช้กฎระดับนักรบขั้นที่ 2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 523 ดาบดูดเลือด

ตอนที่ 522 ชุดเกราะโลหะเหลว


ตอนที่ 522 ชุดเกราะโลหะเหลว

“ขั้นที่ 2! หลังจากนี้เซี่ยเฟยได้ถูกแต่งตั้งให้กลายเป็นนักรบกฎขั้นที่ 2 อย่างเป็นทางการ” หยูลู่ซวนตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

เมื่อพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเซี่ยเฟยได้รับการฟื้นฟู พรสวรรค์ที่ถูกอัดอั้นมานานก็ถูกระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง และในตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาขัดขวางความก้าวหน้าของเขาได้อีกแล้ว

เหล่าฝูงชนต่างก็ยังคงตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงัด เพราะมันไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าคนไร้ประโยชน์ที่พวกเขาเคยเยาะเย้ยเมื่อไม่กี่สิบวันก่อน จะพัฒนาด้วยความเร็วราวกับจรวดความเร็วสูง จนทำให้พวกเขาไม่สามารถจะตามทันแบบนี้

ภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าเซี่ยเฟยกลายเป็นนักรบกฎขั้นที่ 2 ไปแล้วจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าครูฝึกอย่างหยูลู่ซวนยังเป็นผู้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

หยูเจียงเริ่มปรบมือเบา ๆ ขึ้นเป็นคนแรกและเขาก็พยักหน้าให้เซี่ยเฟยอย่างพอใจ แล้วถึงแม้ว่าหลาย ๆ คนจะยังคงอยู่ในความสับสน แต่พวกเขาก็จำเป็นจะต้องปรบมือตามผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”

“ฉันฝึกมาตั้ง 2 ปี แต่ฉันก็พึ่งเป็นนักรบกฎขั้นที่ 2 เท่านั้น เขาตามฉันทันในเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเนี่ยนะ!”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ นายไม่เห็นเหรอว่าแม้แต่ผู้นำตระกูลก็ยังปรบมือให้กับเซี่ยเฟย แบบนี้มันไม่ได้หมายความว่าอนาคตของเซี่ยเฟยได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วงั้นเหรอ?”

ภาพที่ปรากฏขึ้นสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้คนเป็นจำนวนมากรู้สึกหดหู่ใจเมื่อพวกเขาได้เห็นความเร็วในการพัฒนาของชายหนุ่ม

เซี่ยเฟยถอยหลังกลับไปยังด้านหลังอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับใบหน้าอันเงียบสงบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนดั่งในอดีต

“ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินนายผิดไปจริง ๆ สินะ” ดูบาร์รีบลุกขึ้นมาจากที่นั่งและเดินเข้าไปหาเซี่ยเฟยอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว และเซี่ยเฟยก็ไม่ชอบขี้หน้าของดูบาร์มากนักกับท่าทางของชายชราที่เปลี่ยนไป จึงทำให้เขามองไปยังปรมาจารย์ด้านการกลั่นพลังงานคนนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดใครสักคนมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา ดังนั้นเขาจึงยังคงรักษาสีหน้าอันสงบเยือกเย็นเอาไว้ พร้อมกับพูดกับชายชราด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“แม้แต่ท่านดูบาร์ก็ยังชื่นชอบเซี่ยเฟยด้วยงั้นเหรอ? แบบนี้เส้นทางในอนาคตของเขาคงจะถูกปูด้วยพรมแดงรอไว้แล้วสินะ”

“นั่นสิ ท้ายที่สุดนักสู้ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่ต้องการพลังงานต้นกำเนิด หากเซี่ยเฟยได้รับการสนับสนุนจากทั้งท่านผู้นำและท่านดูบาร์ เขาก็คงจะทะยานขึ้นไปเป็นสมาชิกระดับสูงของตระกูลในเวลาเพียงแค่ไม่นาน”

ในเวลาเดียวกันฮานหยูเป่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเซี่ยเฟยก็กำลังมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความซีดเซียว เพราะท้ายสุดเขาก็คืออัจฉริยะที่ได้ถูกรับเลือกให้เข้ามายังดินแดนของผู้ใช้กฎตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงมากและเซี่ยเฟยก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ

ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เพียงแค่ฮานหยูเป่ยที่มีความคิดแบบนี้ เพราะเด็กฝึกทุกคนต่างก็เคยมีความคิดแบบนี้ในหัวของพวกเขาทั้งนั้น

เนื่องจากในวันแรกที่พวกเขาได้พบกับเซี่ยเฟยพวกเขาก็ได้พบกับความจริงว่าวีรบุรุษผู้เคยกอบกู้สงครามเป็นเพียงแค่ขยะ ที่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และไม่ว่าเซี่ยเฟยจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางที่ชายหนุ่มคนนี้จะสามารถเรียนรู้การใช้พลังของกฎได้ พวกเขาจึงเหยียบย่ำเซี่ยเฟยอย่างไม่ยั้งคิดเพื่อพยายามระบายความอัดอั้นภายในใจของพวกเขา

แน่นอนว่าในตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่พวกเขาจะมารู้สึกเสียใจ เพราะการกระทำที่พวกเขาเคยทำในอดีตมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจะย้อนกลับไปแก้ไขได้

การประเมินผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากการประเมินเด็กฝึกจากภายนอกอย่างฮานหยูเป่ยกับเซี่ยเฟยแล้ว มันก็เริ่มเป็นการประเมินเด็กฝึกจากภายในตระกูลหยู

เด็กพวกนี้มีอายุน้อยกว่าเซี่ยเฟยมาก แม้แต่เด็กที่โตที่สุดก็มีอายุเพียงแค่ประมาณ 11-12 ปีเท่านั้น ท้ายที่สุดพวกเขาก็คือเด็กที่ถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนของผู้ใช้กฎ พวกเขาจึงได้สัมผัสกับพลังของกฎตั้งแต่ที่พวกเขายังคงเป็นเด็ก ด้วยเหตุนี้พรสวรรค์ในการใช้พลังกฎของพวกเขาจึงอยู่ในระดับที่แตกต่างจากพวกเด็กฝึกที่เดินทางมาจากพันธมิตรอย่างชัดเจน

หลังจากนั้นมันก็มีการประกาศแต่งตั้งนักรบกฎขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 อย่างมากมาย และมันก็มีแม้กระทั่งนักรบกฎขั้นที่ 3 ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีการประเมินอีกด้วย

เมื่อเวลาผ่านไปการทดสอบก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการทดสอบเด็กฝึกที่มีระดับสูงมากขึ้นกว่าเดิม โดยเด็กฝึกพวกนี้ได้เดินทางมาฝึกฝนในตระกูลหยูเป็นระยะเวลาค่อนข้างนานแล้ว มันจึงมีนักรบกฎขั้นที่ 4-5 เริ่มปรากฏตัวขึ้นมา แต่ตั้งแต่นักรบกฎขั้นที่ 6 เป็นต้นไปมันก็มีอัตราการปรากฏตัวที่ลดลงจากเดิมอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน

“ดูเหมือนว่านักรบกฎขั้นที่ 6 น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการถูกยอมรับสินะ แต่การจะขึ้นไปจนถึงระดับนั้นมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ด้วยเหมือนกัน” อันธกล่าว

เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ เพราะถึงแม้ว่ามันจะมีผู้เข้าร่วมการประเมินมากกว่า 30,000 คน แต่มันกลับมีนักรบกฎขั้นที่ 6 ขึ้นไปอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

“ต่อไปฮานหยูตง” หยูลู่ซวนประกาศออกมาเสียงดัง

ทันทีที่พูดจบชายหนุ่มอายุประมาณ 28 ปีก็กระโดดขึ้นไปบนเวที และรูปร่างหน้าตาของเขาก็ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับฮานหยูเป่ย

‘ฮานหยูเป่ย…ฮานหยูตง… ที่แท้ที่เขากล้าทำตัวเย่อหยิ่งขนาดนั้นก็เพราะว่าเขามีพี่น้องที่แข็งแกร่งแบบนี้คอยสนับสนุนอยู่นี่เอง’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ

ฮานหยูตงดูสงบกว่าน้องชายของเขามาก และเมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาของทั้งสองแล้ว มันก็เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะต้องมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด

เหล่าบรรดาผู้อาศัยในดินแดนของผู้ใช้กฎค่อนข้างที่จะให้ความสนใจกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดสูงมาก เพราะท้ายที่สุดพรสวรรค์ก็มักจะถูกส่งต่อกันทางสายเลือดด้วย ดังนั้นถ้าหากว่ามันมีใครในสายเลือดสามารถพัฒนาอย่างโดดเด่น นักสู้คนอื่น ๆ ที่อยู่ในสายเลือดก็จะได้รับการจับตามองมากเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน

ฮานหยูตงเริ่มสร้างอักขระขึ้นมาบนหน้าจอด้วยความรวดเร็ว และความสำเร็จของเขาก็ทำให้ฝูงชนทุกคนรู้สึกตกตะลึง

“ชั้นที่ 9!”

นักรบกฎขั้นที่ 9!!

“ฮานหยูตงได้รับการแต่งตั้งเป็นนักรบกฎขั้นที่ 9 อย่างเป็นทางการ หลังจากนี้นายมีคุณสมบัติในการเข้าไปฝึกฝนในเมืองอีกาดำ” หยูลู่ซวนประกาศขึ้นมาเสียงดัง

เหล่าบรรดาผู้ชมทุกคนต่างก็เริ่มพูดคุยกันอย่างฮือฮา เพราะหลังจากนักรบกฎขั้นที่ 9 นักสู้คนนั้นก็จะถูกเลื่อนระดับขึ้นไปเป็นระดับอัศวิน

ตระกูลหยูได้สร้างเมืองอีกาดำเพื่อช่วยให้นักสู้ในตระกูลพัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับอัศวินได้อย่างราบรื่นมากขึ้นกว่าเดิม ภายในเมืองแห่งนั้นจึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกคอยให้บริการอยู่อย่างมากมาย และมันยังมีครูฝึกระดับสูงคอยให้คำแนะนำพวกเขาในระหว่างการฝึกฝนอีกด้วย

ผู้ที่มีสิทธิ์เดินทางเข้าไปในเมืองอีกาดำเปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งสำหรับเด็กฝึกทุกคน เพราะมันมีเฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์ในระดับสูงเท่านั้นถึงจะได้รับการยอมรับให้เข้าไปฝึกฝนภายในเมืองอีกาดำได้

ฮานหยูตงเดินถอยหลังกลับไปยืนอยู่ข้างน้องชายอย่างเย็นชา โดยไม่รู้สึกรู้สาจากเสียงเชียร์ของเหล่าบรรดาผู้ชมราวกับว่าเขาสมควรที่จะได้รับเสียงเชียร์พวกนั้นอยู่แล้ว

“ดีใจด้วยนะพี่! ในที่สุดพี่ก็เลื่อนระดับไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว” ฮานหยูเป่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ฮานหยูตงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะฝืนยิ้มให้กับน้องชายของตัวเอง

“เอาล่ะการประเมินในวันนี้จบลงแล้วถึงเวลาสำหรับการประลอง ผู้ที่ได้รับการเลื่อนระดับสูงที่สุดในระดับของตัวเองสามารถเลือกคู่ต่อสู้ของตัวเองได้ แต่หากว่าใครอยากจะประลองกับฉัน ฉันก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธหรอกนะ”

เหล่าบรรดาผู้ชมต่างก็ส่งเสียงหัวเราะ เพราะพวกเขารู้ดีว่าหยูลู่ซวนกำลังพูดล้อเล่น ท้ายที่สุดชายคนนี้ก็คือหัวหน้าครูฝึก ซึ่งถ้าหากว่าใครกล้าท้าประลองหัวหน้าครูฝึกคนนี้พวกเขาก็คงจะมีความคิดที่โง่เต็มทน

เซี่ยเฟยรีบเดินขึ้นไปด้านหน้าโดยไม่จำเป็นจะต้องให้ใครประกาศเรียกชื่อของเขาออกมา เพราะมันถึงเวลาที่เขาจะได้เริ่มต้นทำการแก้แค้นอย่างเป็นทางการเสียที

“เซี่ยเฟย นายคงไม่คิดที่จะท้าฉันประลองใช่ไหม?” หยูลู่ซวนพูดติดตลก

ชายหนุ่มจับมือซ้ายของตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะบาดแผลที่เขาได้รับจากหยูลู่ซวนในครั้งที่แล้วยังคงเจ็บปวดมาจนถึงวันนี้

ในความเป็นจริงหยูลู่ซวนก็มีความรู้สึกคาดหวังไว้ในใจว่าเซี่ยเฟยจะท้าประลองเขาไปเป็นคู่ต่อสู้จริง ๆ เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นถึงหัวหน้าครูฝึก และเขาก็คิดว่าเขาน่าจะมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับชายหนุ่มในระหว่างการประลองได้

“ฮานหยูเป่ย นายยังไม่ลืมข้อตกลงเดิมของพวกเราใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเย็นชาพร้อมกับหันหน้าไปทางฮานหยูเป่ย

เมื่อได้เห็นว่าเซี่ยเฟยไม่ได้เลือกคู่ต่อสู้เป็นตัวเอง หยูลู่ซวนก็ทำได้เพียงแค่ยักไหล่อย่างรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ขณะเดียวกันฮานหยูเป่ยก็รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย เพราะในตอนนี้เซี่ยเฟยมีพลังเหนือเกินกว่าเขาถึงหนึ่งระดับ แม้กระทั่งเด็กฝึกคนสุดท้ายที่ต่อสู้กับเซี่ยเฟยก็อาจจะต้องนอนติดเตียงไปอีกนานถึงครึ่งปี เขาจึงไม่รู้ว่าการปะทะกับเซี่ยเฟยจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บกลับมาหนักแค่ไหน

ฮานหยูเป่ยก้มหัวลงโดยพยายามหลบเลี่ยงสายตา จากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางพี่ชายโดยพยายามที่จะขอความช่วยเหลือ

“เอานี่ไป! ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ที่นี่ไม่มีใครสามารถจะทำอันตรายต่อนายได้” ฮานหยูตงเอื้อมมือเข้าไปในแหวนมิติก่อนที่จะหยิบกล่องออกมาจากแหวนมิติและส่งให้ฮานหยูเป่ย

คำพูดประโยคสุดท้ายของเขาคือคำพูดที่พยายามส่งสารไปถึงเซี่ยเฟยอย่างเห็นได้ชัด แต่ชายหนุ่มก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและหมุนข้อมือขณะเดินขึ้นไปบนเวที

กล่องที่ฮานหยูตงมอบให้ฮานหยูเป่ยเป็นกล่องสีเงินขนาดเล็ก แต่ฮานหยูเป่ยก็ยังคงจ้องมองไปยังกล่อง ๆ นั้นอย่างตื่นเต้น

“นี่มัน…”

เซี่ยเฟยไม่รู้ว่าฮานหยูตงมอบอะไรให้กับฮานหยูเป่ยกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ของสิ่งนั้นทำให้ฮานหยูเป่ยดูมีความมั่นใจมากกว่าเดิมมาก

“ฆ่ามันซะ!” ฮานหยูตงพูดออกมาคล้ายกับการออกคำสั่ง และมันก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน

ฮานหยูเป่ยรีบก้าวเท้าเข้ามาหาเซี่ยเฟยอย่างรวดเร็ว โดยในตอนนี้มันไม่มีความหวาดกลัวอยู่ในแววตาของเขาแล้ว แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยแววตาแห่งความหยิ่งยโสไม่ต่างจากตอนที่เขาเคยพูดจาดูถูกเซี่ยเฟยเมื่อครั้งในอดีต

‘ของชิ้นเดียวสามารถสร้างความมั่นใจให้กับฮานหยูเป่ยได้ถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? ของในกล่องสีเงินนั้นจะต้องเป็นอะไรบางอย่างที่ทรงพลังมากแน่ ๆ!?’

ฮานหยูเป่ยวางกล่องลงบนพื้นก่อนที่เขาจะหยิบหยดน้ำสีเงินออกมาจากกล่อง ซึ่งหยดน้ำนี้ก็เริ่มไหลไปยังร่างของฮานหยูเป่ยราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต ในที่สุดพวกมันก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างของชุดต่อสู้ที่ปกป้องร่างของฮานหยูเป่ยเอาไว้

“นั่นมันชุดกล่องโลหะเหลว!”

“ไม่น่าเชื่อเลย มันคือชุดเกราะที่ทำขึ้นมาจากโลหะเหลวจริง ๆ”

“แม้แต่ชุดเกราะโลหะเหลวระดับต่ำสุดก็มีราคา 10,000 คริสตัลม่วงไม่ใช่เหรอ? ฮานหยูตงไปเอาชุดเกราะระดับสูงแบบนี้มาได้ยังไง”

“ฉันว่าคราวนี้เซี่ยเฟยตกที่นั่งลำบากแล้ว”

ฝูงชนเริ่มส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง และพวกเขาต่างก็จับจ้องมองไปยังชุดเกราะโลหะเหลวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา

แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่เคยเห็นชุดเกราะลักษณะนี้มาก่อน แต่โลหะเหลวที่นำมาใช้สร้างชุดเกราะนี้ทำให้เขานึกถึงโลหะเหลวบนร่างกายของวอร์สตาร์ ซึ่งในคราวนั้นถ้าหากว่าพลังงานของวอร์สตาร์ไม่ได้หมดลงเสียก่อน มันก็คงจะเป็นฝ่ายของเขาที่จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้

แต่หลังจากที่เขาได้เข้ามาอยู่ในดินแดนของผู้ใช้กฎเพียงแค่ไม่กี่เดือน เขากลับได้พบกับชุดเกราะที่ทำขึ้นมาจากเทคโนโลยีโลหะเหลวเช่นเดียวกันกับโลหะเหลวบนร่างของวอร์สตาร์ มันจึงทำให้เขานึกถึงเรื่องของลินนิจที่โซฟีเคยเล่าเอาไว้ว่าพ่อของเธอยังคงมีชีวิตอยู่ในดินแดนของผู้ใช้กฎแห่งนี้

“อยากจะประลองกับฉันมากนักเหรอ?! ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวตายเอาไว้ซะ” ฮานหยูเป่ยกล่าวขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ

เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหยิบดาบสั้นสีแดงออกมาจากแหวนมิติ ซึ่งดาบเล่มนี้คืออาวุธที่ชายหนุ่มละเลยมาโดยตลอด และแน่นอนว่ามันคือบลัดบิวเทียสซึ่งเป็นอาวุธที่อันธรู้สึกภูมิใจมากที่สุด

อาวุธของเซี่ยเฟยทำให้ผู้ชมอดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นอาวุธแต่มันก็ดูมีรูปร่างไม่เหมือนอาวุธไปเสียทีเดียว

“นั่นมันอาวุธอะไรกันน่ะ?”

“ทำไมมันถึงดูน่าเกลียดแบบนั้น กระบองนั่นมันเอามาใช้สู้ได้จริง ๆ เหรอ?”

“เซี่ยเฟยจะเอากระบองมาสู้กับชุดเกราะโลหะเหลวงั้นเหรอ? นี่มันเป็นเรื่องตลกที่สุดในชีวิตเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลย”

***************

มาทายกันว่าฮานหยูเป่ยจะตายไหม? ว่าแต่ทุกคนจำบลัดบิวเทียสได้ไหมว่ามันมีความพิเศษยังไงบ้าง อิอิ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด