บทที่ 129 รูปแบบค่ายกลระดับ 3
บทที่ 129 รูปแบบค่ายกลระดับ 3
“ข้าจำได้อยู่แล้ว เป็นไปได้ไหมว่าโอสถรวบรวมปราณระดับสูงนี้ ได้รับการกลั่นโดยอาจารย์ของท่าน?” ซุนซิงถาม
โอสถเหล่านั้นล้วนเป็นของชั้นยอดในโอสถระดับหนึ่ง
“ใช่ พวกมันทั้งหมดได้รับการกลั่นโดยอาจารย์ของข้า ท่านอาจารย์สามารถกลั่นโอสถได้ 500 - 600 เม็ด ได้ ในหนึ่งชั่วยาม ไม่เช่นนั้น ทำไมข้าถึงมีโอสถมาขายมากมายขนาดนี้?” หลินเป้ยกล่าว
เมื่อซุนซิงได้ยินคำพูดของหลินเป้ย เขาก็หน้ามืดเล็กน้อยและเกือบจะล้มลง กลั่นโอสถ 500 -600 เม็ด ในหนึ่งชั่วยามเนี้ยนะ?
เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?
ซุนซิงใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามในการกลั่นโอสถชนิดเดียวกันนี้ ซึ่งได้มาประมาณ 20 เม็ด และส่วนใหญ่เป็นขั้นกลางและขั้นสูง ส่วนขั้นสูงสุดก็ปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว
สรุปว่า ประสิทธิภาพของอาจารย์หลินเป้ยนั้น30 เท่า ของตัวเขา!
นอกจากนี้ยังเป็นโอสถขั้นสูงสุดอีกด้วย ระดับปรุงยาของเขาระดับไหน?
อันที่จริง ทักษะของหลินเป้ยเกือบทั้งหมดได้รับจากระบบ มันไม่ผิดที่จะบอกว่าระบบคืออาจารย์ของเขา
ขณะนี้ระบบการปรุงยาอัตโนมัติ ได้รับการอัปเกรดเป็นระดับ 3 แล้ว ในตอนนี้มันสามารถกลั่นโอสถระดับ 3 ได้
หลังจากอัปเกรด โอสถรวบรวมปราณในตอนนี้ สามารถกลั่นได้ถึง 700 เม็ดต่อชั่วยามแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่าอาจารย์ของท่านมีระดับการปรุงยาสูงแค่ไหนแล้ว?” ซุนซิงถอนหายใจ
ข้าไม่รู้ว่าอาจารย์ของหลินเป้ยยังรับลูกศิษย์อยู่ไหม ถ้าเขาเป็นลูกศิษย์เพิ่ม คงจะดีถ้าเขาเป็นศิษย์น้องของเขา
นี่คงเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยม
“อย่าแม้แต่คิดที่จะพบท่านอาจารย์ ท่านไม่ชอบพบเจอผู้คน เอาล่ะ ข้ามีอย่างอื่นต้องทำ ดังนั้นข้าขอลากันตรงนี้” หลังจากที่หลินเป้ยพูดจบ เขาก็เดินไปที่ร้านของเขา
นี่คือทางแยกบนถนน เขาและซุนซิงอยู่กลับไปกันคนละทาง
หลินเป้ยไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับอาจารย์ของเขา และแน่นอนว่า ซุนซิงก็ะไม่ถามคำถามต่อไป แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะเขาไม่อาจได้เจอปรมาจารย์ปรุงยาผู้ยอดเยี่ยม
หลังจากกลับมาถึงบ้าน หลินหลิงเอ๋อกำลังจะเตรียมอาหารเย็นแล้ว
หนิงเสวี่ยยังช่วยทำอาหารสองจานด้วย และรสชาติก็ค่อนข้างดี
เจ้าต้องรู้ว่าเมื่อหนิงเสวี่ยอยู่ในตระกูลหนิง นางไม่เคยทำอาหารเลย มีคนรับใช้เป็นผู้ทำอาหารทั้งหมด นางรับผิดชอบแค่เรื่องการกินเท่านั้น
หลังจากที่หนิงเสวี่ยได้ยินคำชมของหลินเป้ย นางก็รู้สึกมีความสุขมาก ปรากฎว่าการทำอาหารก็ทำให้รู้สึกดีเช่นกัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หลินเป้ยก็พักผ่อน และบ่มเพาะทักษะของเขา
หลังบ่มเพาะมาทั้งคืน หลินเป้ยก็กลืนโอสถหยางหยวนระดับ 2 ไปจำนวนมาก และระดับการฝึกฝนของเขาก็ทะลุไปถึงขั้เน 4 นักรบแท้จริง
หลินเป้ยรู้สึกพอใจมาก เมื่อเห้นเขาแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อวานนี้ เมื่อเขาไปที่ร้านค้าว่านเป่า หลินเป้ยซื้อของมามากมาย สิ่งเหล่านี้รวมถึงสมุนไพรและวัสดุในปริมาณมหาศาล ซึ่งทำให้หลายคนตกใจ เพราะเป็นราคามหาศาลถึง 1 ล้านตำลึง!
นี่เป็นคำสั่งซื้อครั้งใหญ่ และไห่ชิงเอ๋อยังคงรับผิดชอบในการขายสินค้าให้เขาเช่นเคย เพราะหลินเป้ยค่อนข้างมีความประทับใจในตัวนาง
ด้วยคำสั่งซื้อมูลค่าสูง ทำให้นางได้รับค่านายหน้าจำนวนมากในคราวเดียว และนางก็เริ่มสนใจหลินเป้ยมากขึ้น น่าเสียดายที่เขาไม่สนใจนางเลย
แม้ว่าไห่ชิงเอ๋อจะสวย แต่หลินเป้ยก็ไม่สนใจ
หลินเป้ยซื้อของหลายอย่าง เพื่อเตรียมไว้ที่จะจัดการกับเฟิงซินหยูที่จะมายกเลิกสัญญาหมั้นกับเขาเป็นหลัก ยกเว้นบางสิ่งที่เขาจะใช้ในอนาคต
ในช่วง 2 - 3 นี้ เฟิงซินหยูอาจมาเมื่อใดก็ได้ หลินเป้ยแค่อยากสั่งสอนหณิงสาวผู้นี้้ว่าไม่ให้ทำการดูถูกใคร ใบหน้าของเขานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรุกราน
อย่าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าเป็นอัจฉริยะในเมืองหลวง เจ้าก็สามารถทำอะไรก็ได้
ในตอนนี้ หลินเป้ยแลกเปลี่ยนรูปแแบบค่ายกล 4 รูปแบบ ซึ่งทั้งหมดเป็นค่ายกลระดับ 3 โดยมีราคาถึง 1.2 ล้านตำลึง
แต่ละรูปแบบค่ายกลราคา 300,000 ตำลึง
หลินเป้ยรู้สึกว่ามันราคาแพงมาก และเงินก็หมดอย่างรวดเร็วจริงๆ
ในความเป็นจริง สิ่งที่หลินเป้ยไม่รู้ก็คือ ในโลกภายนอกมันเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อรูปแบบค่ายกลระดับ 3 โดยไม่มีเงินเป็นล้านตำลึง ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะซื้อแม้ว่าเจ้าจะมีเงินก็ตาม
เนื่องจากเรื่องมรดก ทักษะต่อสู้ ทักษะบ่มเพาะ ทักษะลับบางอย่าง ฯลฯ ผู้คนจำนวนมากจะไม่มีวันส่งต่อสิ่งเหล่านี้ไปยังบุคคลภายนอกได้ง่ายๆ หากพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน
ระบบคิดเพียง 300,000 คะแนน ตราบใดที่เจ้ามีเงิน เจ้าก็ซื้อได้ ซึ่งถือว่าระบบมีมโนธรรมมาก
ในช่วงแรกของระบบ ของระดับต่ำๆ ราคาจะมีราคาแพงกว่าราคาของโลกภายนอกมาก แต่ต่อมาของยิ่งระดับสูง แต่ราคาก็ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับโลกภายนอก ซึ่งสิ่งนี้หลินเป้ยไม่รู้นั่นเอง
พูดง่ายๆ หลินเป้ยเป็นเจ้าของระบบ และเป็นเจ้าของคลังสมบัติขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้
ตราบใดที่เขามีเงิน เขาสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่เขาต้องการได้ตลอดเวลา
ในไม่ช้า หลินเป้ยเรียนก็รู้รูปแบบค่ายกลได้ทั้งหมด และสิ่งเหล่านี้กลายเป็นไพ่ตายอีกใบของเขา
หลินเป้ยได้สร้างธงค่ายกลจำนวนมาก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการวางรูปแบบค่ายกลเหล่านี้
ในการต่อสู้ หลินเป้ยสามารถใช้มันกับศัตรูได้ทันที
วันรุ่งขึ้น หลินเป้ยเมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็เริ่มคิดถึงอาการบาดเจ็บของบิดาเขา
หลินเป้ยช่วยหลินหลิงเอ๋อ และหลิวหยินแก้ไขปัญหาได้แล้ว ตอนนี้ก็เป็นปัณหาของหลินเทียนบ้างที่เขาจะต้องแก้ไข
เนื่องจากหลินเป้ยยุ่งมากในช่วงเวลานี้ อีกอย่าง เรื่องของหลินเทียนก็ไม่ได้เร่งด่วนมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตรวจสอบอาการของบิดาเขาเลยเลย วันนี้เขาว่างแล้วและต้องตรวจสอบอาการของบิดาเขาทันที
หลินเป้ยเข้าไปพบหลินเทียนซึ่งกำลังดื่มชาอยู่ที่สวนหลังบ้านในเวลานี้
ตอนนี้หลินเทียนหยุดดื่มสุราและดื่มชาแทน
“ท่านพ่อ” หลินเป้ยกล่าว
“เป้ยเอ๋อ มาลองชาใหม่ของข้า ชานี้ไม่เลวเลย แต่มันแพงไปหน่อย ราคาห่อละตั้ง 500 ตำลึง” หลินเทียนหัวเราะ
หลินเป้ยยิ้มและไม่พูดอะไร เขาไม่คิดว่าชา 500 ตำลึง ต่อห่อนั้นแพง ต้องรู้ว่าเมื่อหลินเป้ยไปหาซุยซิงเมื่อวานนี้ ชาของซุนซิงมีราคา 50,000 ตำลึง ต่อห่อด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าหลินเป้ยจะไม่พูด แต่เขานั่งลงและดื่มชา
ชานี้มีรสชาติดี แต่เมื่อเทียบกับชาจิตวิญญาณของซุนซิงแล้ว ยังห่างกันอีกโข
แน่นอนว่าหลังจากได้ชิมสิ่งที่ดีกว่าแล้ว เป็นเรื่องปกติ ที่จะจู้จี้จุกจิกมากขึ้น
“ทำไมเจ้าดื่มชาแบบนี้? ชามันต้องจิบช้าๆ” หลินเทียนพูดด้วยความโกรธ
ชานี้ราคาไม่ถูกเลย มันเป็นชาจากต้นชาอายุร้อยปี
ต้นชาอายุร่วมร้อยปี จะผลิตชาได้เพียง 3 ห่อต่อปีเท่านั้น
ยิ่งต้นชามีอายุมาก ชาก็จะยิ่งมีราคาแพง
แน่นอนว่ามันยังเกี่ยวข้องกับความหายากของต้นชาด้วย
ชาจิตวิญญาณของซุนซิง เป็นต้นชาที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ดังนั้นราคาจึงแพงมาก
“ฮ่า ฮ่า ข้าไม่รู้ว่าจะดื่มชายังไง แต่ยังไงก็ตามท่านพ่อ ข้าอยากรู้ว่าท่านเป็นยังไงบ้าง ข้าขอตรวจอาการบาดเจ็บของท่านได้ไหม เพื่อดูว่ามีวิธีแก้ไขได้หรือไม่?” หลินเป้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม.