ตอนที่ 519 ผู้ใช้กฎเซี่ยเฟย
ตอนที่ 519 ผู้ใช้กฎเซี่ยเฟย
ในช่วงกลางคืน
หยูเจียงกำลังเล่นหมากรุกอยู่กับหยูฮัว และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเล่นหมากรุกกันมา 3 กระดานแล้ว แต่หยูฮัวก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้เลย มันจึงทำให้ชายชราเริ่มที่จะรู้สึกหมดความสนใจ
“ทักษะการเล่นหมากรุกของผู้อาวุโสยอดเยี่ยมจริง ๆ ผมขอยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี” หยูฮัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หยูเจียงโบกมือทำให้กระดานหมากรุกหายไป ถูกแทนที่ด้วยจานของว่างเอาไว้กินเล่นฆ่าเวลา
“การเดินหมากมันก็เหมือนกับนิสัยของคนเล่นนั่นแหละ หมากของนายมีไหวพริบแต่ยังขาดความเด็ดขาด นายมักจะลังเลทุกครั้งที่ต้องทำอะไรเสี่ยง ๆ มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นายได้รับความพ่ายแพ้”
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้อาวุโสพูดถูกแล้ว ถ้าผมมีความเด็ดขาดมากพอผมก็คงจะไม่เลือกเป็นพ่อค้าแบบนี้” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“เฮ้อ! พูดตามตรงว่าฉันชอบนายมากที่สุดในบรรดาลูกหลานทั้งหมด แต่นายก็คือคนที่ทำให้ฉันผิดหวังมากที่สุดด้วยเหมือนกัน ทำไมนายถึงต้องยอมทิ้งพรสวรรค์ของตัวเองไป นายรู้ไหมว่าทั่วทั้งตระกูลหยูมีคนที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อย่างเต็มที่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้น”
“แม้หยูเสี่ยวเป่ยจะเฉลียวฉลาดแต่เขาก็ยังเด็กและใจร้อนมากเกินไป ส่วนหยูจินก็พร้อมที่จะแลกทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เซี่ยเฟยก็เป็นคนนอกไม่ใช่สมาชิกสายตรงของตระกูล นอกจากนี้สมองของเขายังได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และมันก็คงจะไม่มีทางฟื้นฟูกลับคืนมาได้”
“ในบรรดาคนที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างสมบูรณ์ก็มีเพียงแค่นายคนเดียวเท่านั้นที่ดูเข้าเค้ามากที่สุด แต่น่าเสียดายที่นายไม่ชอบเรื่องการเมือง ฉันเลยทำได้แค่ต้องยอมปล่อยนายไป”
“ตอนนี้ตระกูลหยูของเราไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนกับในอดีตอีกต่อไปแล้ว ฉันเกรงว่าเมื่อถึงคราวที่ฉันจากไป บางทีตระกูลของเราอาจจะต้องล่มสลายลงเลยก็ได้” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ผู้อาวุโสมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปแล้ว ร่างกายของคุณยังแข็งแรงดี ไม่ว่าผมจะมองยังไงคุณก็อยู่ต่อไปได้อีกนาน ว่าแต่ตอนนี้เซี่ยเฟยก็มาอยู่ในตระกูลของเรากว่าครึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” หยูฮัวกล่าว
“ฉันได้รับคำคัดค้านมาอย่างมากมายทั้งภายในและภายนอกตระกูล ว่าเราเอาเขามาเข้าร่วมตระกูลของเราทำไม” หยูเจียงกล่าว
“ผู้อาวุโสอย่าลืมสิว่าเซี่ยเฟยมีสายเลือดของตระกูลสกายวิง เพียงแต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างมันจึงทำให้เขาต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในพันธมิตร ความเร็วของตระกูลสกายวิงเป็นสิ่งที่ไม่มีตระกูลไหนสามารถเทียบเคียงกับพวกเขาได้ ถ้าหากว่าพวกเขารู้ว่าเราช่วยเซี่ยเฟยในยามที่เขากำลังยากลำบาก มันก็คงจะช่วยให้เราได้กลายเป็นมิตรที่ดีต่อตระกูลสกายวิง” หยูฮัวกล่าว
“พวกคนในสกายวิงมักจะชอบทำอะไรโดยไม่สนกฎเกณฑ์อยู่แล้ว ส่วนเซี่ยเฟยก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าต้นตระกูลของตัวเองเป็นใคร การที่เราจะคืนเขาให้กับตระกูลสกายวิงคงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น”
“ถึงตัวตนของเขาจะไม่ได้ทำให้เราได้รับความโปรดปรานจากสกุลสกายวิง แต่มารขาวในการควบคุมของเขาก็ยังคงเป็นประโยชน์ต่อตระกูลของพวกเราอยู่ดี หากพวกเราหยิบยื่นความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เซี่ยเฟยจะต้องรู้สึกติดหนี้บุญคุณพวกเราอย่างแน่นอน”
“ซึ่งในเวลานั้นเราก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลว่าเขาจะไม่ทำงานให้กับตระกูลของเราอีกต่อไป และมารขาวในมือของเขาก็น่าจะมีความแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะกอบกู้ความยิ่งใหญ่ของตระกูลเรากลับคืนมาได้” หยูเจียงกล่าว
หยูฮัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเล็ก ๆ เพียงแต่เขาคิดว่าวิธีการของหยูเจียงไม่ค่อยเหมาะสมนัก น่าเสียดายที่ตระกูลหยูไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะหาคำพูดใด ๆ มาหักล้างวิธีการของหยูเจียงได้
แต่ใครจะไปรู้ว่าในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เซี่ยเฟยก็สามารถฟื้นฟูพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขากลับมาได้สำเร็จ ซึ่งมันก็หมายความว่าในตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้เปิดสมองพื้นที่ส่วนที่ 7 ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และมันก็ไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางไม่ให้เขาเรียนรู้การใช้พลังของกฎต่าง ๆ อีกต่อไป
—
เมื่อพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้รับการฟื้นฟู เซี่ยเฟยก็พยายามถักทอเส้นใยภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาอีกครั้งเพื่อจำลองอักขระของกฎแห่งมิติ ซึ่งในคราวนี้เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป เขาจึงสามารถถักทอเส้นใยพลังงานภายในสมองได้อย่างราบรื่น
“นี่มันฟื้นฟูได้ 100% เลยงั้นเหรอ?!” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจหลังจากที่เขาได้ทำการตรวจสอบสมองของเซี่ยเฟยซ้ำ ๆ จากนั้นเขาก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ
“ฮ่า ๆ ๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมันก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางการพัฒนาของนายอีกแล้ว มาดูกันซิว่าหลังจากนี้มันจะมีใครกล้ามาเหยียดหยามนายอีกไหม”
เซี่ยเฟยลุกยืนขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างผ่อนคลาย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าค่ำคืนนี้สวยงามมากเป็นพิเศษ แม้แต่ขนอุยก็ดูน่ารักมากขึ้นกว่าทุก ๆ วัน
หลังจากใช้เวลาพักผ่อนไปเพียงแค่ไม่นาน เซี่ยเฟยก็เริ่มทำการฝึกฝนการใช้กฎมิติในทันที เพราะท้ายที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเขาก็ไม่มีความคืบหน้าในการฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย เขาจึงต้องการใช้เวลาต่อจากนี้ทุกวินาทีให้คุ้มค่าเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่เขาได้สูญเสียไป
เส้นใยพลังงานในสมองของเซี่ยเฟยเริ่มถักทอเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง และเนื่องมาจากว่าเขาคอยสังเกตอักขระของกฎแห่งมิติขั้นแรกมาแล้วซ้ำ ๆ มันจึงทำให้เขาสามารถจดจำรูปแบบของอักขระได้อย่างขึ้นใจ
“หือ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาได้พบว่าการถักทอเส้นใยพลังงานตามรูปแบบของอักขระถือได้ว่าเป็นการฝึกฝนชนิดหนึ่ง เพราะยิ่งเขาค่อย ๆ ถักทอเส้นใยพลังงานเข้าใกล้อักขระมากเท่าไหร่ เส้นใยพลังงานในสมองของเขาก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น
อย่างไรก็ตามการฝึกฝนด้วยวิธีนี้ก็จำเป็นจะต้องใช้พลังงานมหาศาล และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะนั่งอยู่บนเตียงโดยไม่เคลื่อนไหว แต่พลังงานที่เขาได้ใช้ไปก็ไม่ด้อยไปกว่าการที่เขาได้ออกวิ่งอย่างเต็มกำลัง
เซี่ยเฟยจำเป็นจะต้องหยุดการฝึกฝนเอาไว้กลางคัน และเขาก็ได้พบว่าทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไคลอย่างมากมาย
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคริสตัลต้นกำเนิดถึงกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าในดินแดนนี้สูงมาก ที่แท้มันเป็นเพราะว่ากระบวนการฝึกฝนการใช้พลังของกฎ จำเป็นจะต้องใช้พลังงานปริมาณมหาศาลด้วยนี่เอง” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเองขึ้นมาเบา ๆ
จากนั้นชายหนุ่มก็ใช้นิ้วสัมผัสกับแหวนมิติเพื่อหยิบคริสตัลสีม่วงออกมาด้านนอก
หลังจากดูดซับพลังงานจากคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 2 แล้ว เซี่ยเฟยก็เริ่มทำการถักทอเส้นใยพลังงานในสมองของเขาอีกครั้ง
ด้วยความช่วยเหลือจากคริสตัลต้นกำเนิดเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงสามารถฟื้นฟูพลังงานกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เขาจึงสามารถทำการฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นจะต้องหยุดพักเหมือนกับเด็กฝึกหัดคนอื่น ๆ
—
วันเวลาผ่านไป 3 วันอย่างรวดเร็ว ซึ่งในเวลานี้เซี่ยเฟยก็ทำการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา และเขาก็ได้ใช้คริสตัลต้นกำเนิดระดับ 2 เพื่อเติมเต็มพลังงานไปแล้วถึง 24 ชิ้น
สำหรับเด็กฝึกในตระกูลหยูพวกเขาจะได้รับคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 2 เพียงแค่เดือนละ 3 ชิ้นเท่านั้น แต่เซี่ยเฟยได้ใช้คริสตัลต้นกำเนิดสำหรับ 8 เดือนในเวลาเพียงแค่ 3 วัน ซึ่งมันเป็นการใช้คริสตัลต้นกำเนิดอย่างสิ้นเปลืองในสายตาของคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 2 พวกนั้นเลย เพราะในที่สุดภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาก็ได้มีอักขระของกฎแห่งมิติปรากฏขึ้นมาแล้ว
“สำเร็จ! เซี่ยเฟยตอนนี้นายได้กลายเป็นนักสู้ผู้ใช้พลังกฎแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่านายสามารถเรียนรู้กฎแห่งมิติขั้นแรกได้ในเวลาเพียงแค่ 3 วัน นายนี่มันเป็นอัจฉริยะชัด ๆ” อันธกล่าวอย่างตื่นเต้น
เซี่ยเฟยพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้และเขาก็พยายามใช้พลังของกฎในระหว่างการจู่โจม ซึ่งพลังการจู่โจมในครั้งนี้ต่างจากพลังการจู่โจมโดยทั่วไปที่เขาได้ทำการฝึกฝนจู่โจมมาแล้วเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน
ฉัวะ!
ตู้เสื้อผ้าตู้เดียวภายในห้องถูกตัดขาดออกจากกันด้วยการจู่โจมเพียงแค่ครั้งเดียว ก่อให้เกิดเส้นแนวทแยงในเนื้อไม้ที่หนาทึบ
“มันไม่ค่อยต่างจากเดิมเลยใช่ไหม? ดูเหมือนว่าการโจมตีในรูปแบบนี้จะไม่ได้แสดงผลลัพธ์อย่างชัดเจนนัก” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว แต่ทันทีที่เขาได้พูดจบตู้เสื้อผ้าตู้นั้นก็พังทลายลงมาในทันที
ภาพที่ปรากฏเหมือนกับกระจกที่กำลังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ดังนั้นแทนที่ตู้เสื้อผ้าจะถูกตัดขาดออกเป็น 2 ท่อนเหมือนการจู่โจมโดยทั่วไป แต่มันกลับกลายเป็นตู้เสื้อผ้าค่อย ๆ พังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแทน
“นี่มันคือการโจมตีอะไรกันเนี่ย?! นี่มันแค่การโจมตีที่นายรวบรวมพลังของกฎเข้ากับการโจมตีปกติใช่ไหม? ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้านายรวมพลังของกฎเข้ากับวิชาต่าง ๆ มันจะแสดงผลลัพธ์ออกมายังไงบ้าง” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเขาได้เห็นตู้เสื้อผ้าถูกแยกออกจากกันจนไม่เหลือสภาพเดิม
“พลังของกฎน่าทึ่งมากจริง ๆ ระหว่างที่ฉันโจมตีมันก็ดูเหมือนกับมิติจะถูกตัดออกเป็นชิ้น ๆ นี่สินะเหตุผลที่ว่าทำไมนักรบผู้ใช้กฎถึงทรงพลังมากนัก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างพึงพอใจในการใช้พลังของกฎแห่งมิติออกมาเป็นครั้งแรก
เมื่อชายหนุ่มสามารถใช้กฎแห่งมิติออกมาได้สำเร็จแล้ว เขาก็เริ่มลองถักทออักขระของกฎแห่งความโกลาหลที่ถูกสลักอยู่บนแขนซ้าย ซึ่งเซี่ยเฟยคุ้นเคยกับอักขระนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะต้องถักทอมันขึ้นมาอย่างกลับหัวกลับหาง แต่มันก็ไม่ได้สร้างความยากลำบากให้กับชายหนุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว
เวลาได้ล่วงเลยผ่านมานานกว่า 3 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่เขาได้รับอักขระของกฎแห่งความโกลาหลมา และในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสเรียนรู้กฎอันลึกลับกฎนี้เสียที
“แค่เริ่มต้นนายก็จะเรียนกฎพร้อมกัน 2 กฎเลยงั้นเหรอ? แบบนี้มันไม่โลภมากเกินไปหรือเปล่า” อันธถามอย่างสงสัย
“แค่ลองดูก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนิ ถึงยังไงการมีพลังของกฎมาเพิ่มมันก็ช่วยทำให้ฉันมีทางเลือกเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าว
หลังจากนั้นเส้นใยพลังงานก็ค่อย ๆ ถักทอเป็นอักขระของกฎแห่งความโกลาหลขึ้นมาในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเซี่ยเฟยอย่างช้า ๆ และเนื่องจากเขามีพื้นฐานจากการสร้างอักขระของกฎแห่งมิติมาก่อนแล้ว การถักทอเส้นใยของเป็นอักขระในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากมากนัก แต่น่าเสียดายที่ยิ่งเขาเริ่มถักทออักขระมากขึ้นเท่าไหร่ เขากลับยิ่งเหมือนกับจะได้พบกับทางตันมากขึ้นเท่านั้น
หากเปรียบเทียบการถักทออักขระของกฎแห่งมิติเป็นเหมือนกับเส้นทางที่ค่อย ๆ ไต่ระดับความยากสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ การถักทอเส้นใยพลังงานเป็นอักขระของกฎแห่งความโกลาหล ก็เป็นเหมือนกับเส้นทางของรถเหาะตีลังกาที่ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนและมีความซับซ้อนถึงขีดสุด
เซี่ยเฟยจึงเริ่มนึกได้ว่ากฎแห่งความโกลาหลคือกฎที่ขัดต่อหลักของธรรมชาติแต่เดิมอยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อักขระของกฎที่แปลกประหลาดนี้จะมีรูปร่างที่แปลกประหลาดเช่นเดียวกัน
เซี่ยเฟยยังคงใช้ความพยายามในการถักทอขึ้นมาอย่างช้า ๆ และเมื่อเขาเริ่มคุ้นเคยกับการควบคุมพลังงานแล้ว เขาก็เริ่มขับเคลื่อนเส้นใยด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
วิถีการเคลื่อนไหวของกฎนี้ทั้งแปลกประหลาดและรวดเร็ว และยิ่งเซี่ยเฟยได้เห็นรูปแบบของอักขระมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้เขาได้นึกถึงคำ ๆ หนึ่งขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น
“บิดงั้นเหรอ… น่าสนใจดีนี่” เซี่ยเฟยอุทานกับตัวเองขึ้นมาเบา ๆ
—
อักขระของกฎมิติขั้นต้นถูกตั้งเอาไว้ตรงกลางลานฝึกซ้อม ซึ่งในปัจจุบันเซี่ยเฟยก็กำลังจ้องมองไปยังอักขระนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อมองให้แน่ใจว่าเขาได้ถักทออักขระขึ้นมาอย่างถูกต้องหรือไม่
การเรียนรู้กฎแห่งมิติขั้นต้นทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่การพยายามเรียนรู้กฎแห่งความโกลาหลในช่วงต่อมาทำให้เขารู้สึกสับสน และมันก็เกือบจะทำลายสามัญสำนึกทั้งหมดที่เขาเคยได้เรียนรู้มาก่อน
สาวผมสั้นยังคงแอบมองเขาอยู่จากระยะไกล และมันอาจจะเป็นเพราะว่าเซี่ยเฟยกำลังอารมณ์ดีเนื่องจากสมองได้รับการซ่อมแซม ในวันนี้เขาจึงเริ่มที่จะเข้าไปทักทายหญิงสาวคนนั้นก่อน
“สวัสดี”
“สวัสดี นายสังเกตเห็นฉันด้วยเหรอ?” สาวผมสั้นกล่าวถามขึ้นมาอย่างเขินอาย
“ฉันยอมสังเกตเห็นแววตาดี ๆ ท่ามกลางแววตาดูถูกเหยียดหยามได้อยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ฉันชื่อ…” หญิงสาวกำลังจะกล่าวแนะนำตัว แต่ทันใดนั้นชายร่างกำยำก็ดึงตัวเธอออกไปซะก่อน ซึ่งการเคลื่อนไหวของชายคนนั้นรุนแรงมากจนมันอาจจะทำให้แขนของหญิงสาวเกิดรอยฟกช้ำขึ้นมาได้
“จูลี่อย่าไปเสียเวลาพูดกับไอ้ขยะนี่เลย!”
“เลิกมายุ่งกับฉันสักที! ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน อีกอย่างเขาคือเซี่ยเฟยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาพ่อกับแม่ของฉันคงจะตายภายใต้การบุกโจมตีของพวกเซิร์กไปตั้งนานแล้ว!!” หญิงสาวที่ชื่อจูลี่คำรามออกมาด้วยความโกรธ
“เขาเคยเป็นวีรบุรุษสงครามแล้วยังไง? อย่าลืมนะว่าที่นี่ไม่ใช่พันธมิตร แม้ว่าในพันธมิตรเขาจะเป็นคนที่มีอำนาจสูงมาก แต่ในดินแดนกฎนี่เขาก็เป็นเพียงแค่เศษขยะที่ไร้ประโยชน์” ชายร่างกำยำกล่าวอย่างหงุดหงิด
ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนี้จะเดินทางมาจากพันธมิตรมนุษย์ด้วย เธอจึงรู้สึกขอบคุณตัวเขาที่ช่วยหยุดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ในก่อนหน้านี้เอาไว้ เพียงแต่คนแบบเธอมีจำนวนอยู่น้อยเกินไป เพราะคนส่วนใหญ่ได้หลงลืมวีรกรรมของเซี่ยเฟยไปจนหมดแล้ว
ท่าทางของชายกำยำทำให้เซี่ยเฟยหัวเราะออกมาเล็กน้อย ชายคนนี้ก็ไม่ต่างไปจากคนส่วนใหญ่ที่พยายามจะเหยียดหยามเขาเพื่อที่จะทำให้ตัวเองดูสูงส่งมากยิ่งขึ้น
“แกหัวเราะอะไร? นี่ถ้าไม่ใช่เพราะกฎที่บอกว่านักสู้ผู้ใช้กฎห้ามต่อสู้กับเด็กฝึก ฉันคงจะจัดการกับแกไปแล้ว!” ชายรูปร่างกำยำกล่าวขู่พร้อมกับตั้งท่าเหมือนกับเขาจะจู่โจมเข้าใส่เซี่ยเฟย
“นายไม่จำเป็นจะต้องสนใจกฎอะไรแบบนั้นหรอก เพราะตอนนี้ฉันก็เป็นนักสู้ผู้ใช้กฎเหมือนกันกับนาย” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเย็นชา แต่คำพูดของเขาเพียงแค่ประโยคเดียวกลับทำให้บรรยากาศในพื้นที่บริเวณนั้นเงียบสงัดลงในทันใด
***************
สู้ or ไม่สู้ เลือกมาสักทาง อย่ามัวแต่ปากเก่งไปวันๆ!! พี่เฟยไม่ได้บอกไว้…