บทที่ 94 - ร่างที่อมตะมันไม่มีอยู่จริง
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 94 - ร่างที่อมตะมันไม่มีอยู่จริง
“ทำให้เจ้าผิดหวังงั้นหรือ? ไร้สาระ! เจ้ามันอะไรกัน? ช่างกล้านัก เอาแต่พูดจาไร้สาระต่อหน้าข้าอยู่ได้”
เสียงของสลักดังขึ้นขณะที่เขาอยู่กลางอากาศ
วู้บบ!
เขาโบกหมัดขนาดมหึมาพร้อมด้วยใบหน้าที่ดุร้าย
หมัดยักษ์เหมือนอุกกาบาตที่น่าสะพรึงกลัวได้พุ่งเข้ามา แต่ก่อนที่พวกมันจะโจมตีหลินเฉินได้ เขาก็หลบพวกมันราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นอนาคต
“บนดาวเคราะห์นาเม็ก มีเทคนิคพิเศษที่เรียกว่าสัมผัสพลังอยู่ ในช่วงที่ดาวเคราะห์นาเม็กตกอยู่ในวิกฤต พวกเขาปรับปรุงวิชานี้และพัฒนาเทคนิคในการเคลื่อนไหวของศัตรู โดยรับรู้จากการไหลของพลัง โดยไม่ต้องใช้สายตา”
“เมื่อเทียบกับชาวดาวนาเม็กทั่วไปแล้ว แม้ว่าเจ้าจะมีพลังมากกว่ามาก แต่เจ้ากลับไม่สามารถใช้มันได้เต็มที่เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่แยแสของหลินเฉิน หน้าผากของสลักก็นูนขึ้นมาพร้อมกับเส้นเลือดสีน้ำเงิน
"หุบปาก!"
ทันใดนั้นหมัดที่ลอยอยู่ในอากาศก็พุ่งเข้าหาหลินเฉิน แต่เขาก็หลบได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง
จากนั้นหลินเฉินก็ยืนอยู่บนหมัดของสลักและเริ่มวิ่งไปตามแขนของเขา
ปัง!
หมัดของหลินเฉินกระแทกเข้าที่ใบหน้าของสลัก ทำให้ดวงตาของเขามองเห็นเพียงดวงดาว
หลังจากหมัดที่โหดเหี้ยมนั้นแล้ว มันก็ตามมาด้วยการโจมตีอย่างรวดเร็ว
ในชั่วพริบตาหมัดของหลินเฉินกระแทกเข้ากับสลักนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนที่เขาจะรวมฝ่ามือเข้าด้วยกันและทันใดนั้น ออร่าสีทองก็ปะทุออกมา
“พลังคลื่นเต่า!”
คลื่นพลังงานที่เปล่งแสงสีทองพุ่งตรงไปยังสลักอย่างรวดเร็วราวกับมังกรคำราม มันกระแทกเข้าไปในศีรษะของเขาด้วยพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
เมื่อลำแสงหายไป ศีรษะของสลักก็หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน!
“อ ….องค์ราชา!”
"ราชาสลัก!"
นักรบปีศาจร้องออกมาด้วยความเศร้าโศก
ในขณะที่ชาวไซย่าส่งเสียงร้องออกมาด้วยความยินดี
“ชนะแล้ว!”
"ฝ่าบาททรงพระเจริญ ราชาลิงค์ทรงพระเจริญ!"
ในขณะที่ส่งเสียงออกมาด้วยความยินดี ชาวไซย่าเหล่านี้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักรบที่เก่งที่สุดบนดาวเคราะห์เบจิต้าก็คล้ายตระหนักบางเรื่องได้
โดยเฉพาะบาร์ดัคที่เข้าใจอยากลึกซึ้ง
แม้นจะมีเหลื่อมล้ำในด้านความแข็งแกร่ง ก็ใช่ว่ามันจะเป็นตัวกำหนดผลต่อการสู้เสมอไป
คำพูดของหลินเฉินทำให้พวกเขาเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
ทว่าเมื่อทุกคนคิดว่าผลลัพธ์ได้ถูกตัดสินแล้ว หลินเฉินไม่ได้ยกเลิกร่างต่อสู้ของเขา แต่เขากลับจ้องไปที่ศพของสลักที่ไร้ศีรษะ
ทันใดนั้น หัวของสลักก็โผล่ออกมาจากร่างของเขา
ฉากนี้ทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัว
แม้แต่นักรบปีศาจก็ไม่คิดว่าสลักจะฟื้นคืนชีพได้ แม้ว่าเขาจะสูญเสียศีรษะไปแล้วก็ตาม
สลักอ้าปากค้างและมองไปทางหลินเฉินด้วยดวงตาสีแดง: "บัดซบเอ้ย! เห็นได้ชัดว่าพลังของข้าแข็งแกร่งกว่าพลังของเจ้ามาก! ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้!"
“ข้าจะแพ้ได้ยังไงกัน!”
ทันใดนั้น สลักพลันอ้าปากกว้างและลำแสงพลังงานก็ได้พุ่งออกมาจากปากของเขา
ลำแสงพลังงานนี้ทรงพลังยิ่งกว่าพลังคลื่นเต่าของหลินเฉิน หากมันกระแทกพื้น มันอาจทะลุผ่านดาวเคราะห์ไปได้โดยตรง
แต่แม้ว่ามันจะเป็นวิชาที่ทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ แต่มันมีประโยชน์อะไรถ้ามันไม่โดนศัตรู?
ก่อนที่ลำแสงพลังงานจะกระแทกหลินเฉิน เขาหายตัวไปและปรากฏตัวที่เท้าของสลัก จากนั้นก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วโดยสะสมพลังที่รุนแรงไว้ในกำปั้นของเขา
“ทำไมเจ้าถึงว่องไวเช่นนี้?”
เมื่อสลักตอบสนอง เขาก็มีเวลาเพียงแค่เหยียดแขนออกและพยายามป้องกันการโจมตี
ปัง!
เมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ตรงหน้าอกของเขา สลักก็ก้มลงมองและตระหนักว่ามีรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในหน้าอกของเขายามใดก็ไม่ทราบ
"ย๊าา!" สลักคำรามออกมาด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวผิดมนุษย์
แต่ทันใดนั้น เขาก็หันกลับมาและมองไปทางหลินเฉินที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเหยียดหยัน
ถึงแม้เขาจะถูกพลังของอีกฝ่ายทำให้เกิดหลุมที่ท้องของเขา แต่ผ่านไปครู่เดียวมันก็ฟื้นฟูกลับมาเช่นเดิมเลย
“ชาวไซย่า! เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ แต่ข้าได้ขอพรให้โปรุนก้ามอบร่างอมตะให้ข้าแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะฆ่าข้ากี่ครั้ง ข้าก็จะไม่ตาย!”
หลังจากได้รับความแข็งแกร่งจากเทพเจ้ามังกรของดาวเคราะห์นาเม็กแล้ว ความสามารถในการฟื้นฟูของสลักก็เทียบได้กับเซลล์ที่เป็นมนุษย์จักรกล
เมื่อมองไปที่ออร่าของสลัก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีเพียงความสามารถการฟื้นฟูของชาวดาวนาเม็กธรรมดาๆ
แม้จะเจอผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า สลักก็ไม่มีวันพ่ายแพ้
ช่างโชคร้ายที่คนที่เขาพบในครั้งนี้คือหลินเฉิน
“ร่างอมตะงั้นเหรอ? ตรงหน้าข้า ข้าไม่เห็นมีอะไรเช่นนั้นสักหน่อย ก็แค่ความสามารถในการฟื้นฟูของเจ้ามันดีก็เพียงเท่านั้น ตราบใดที่ข้าทำลายร่างกายทั้งหมดของเจ้า เจ้าจะสร้างใหม่ได้อย่างไรกัน?” หลินเฉินหัวเราะเยาะออกมา
สลักตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง: "ไร้สาระสิ้นดี! เจ้าจะทำลายข้าอย่างสมบูรณ์ด้วยพละกำลังอันน้อยนิดของเจ้าได้ยังไงกัน? ไหนเจ้าลองแสดงให้ข้าดูหน่อยสิ"
“ถ้าอย่างนั้นจงเบิกตากว้างและมองดูให้ดู!”
หลังจากที่เขาพูดจบ หลินเฉินก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราดและร่างกายของเขาก็ใหญ่ขึ้นทันที ออร่าที่น่าสะพรึงกลัวของเขาพลันเพิ่มขึ้นอีก
ร่างกายของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและสูงกว่าสองเมตร ร่างกายของเขาถูกล้อมรอบไปด้วยออร่าสีเขียวอมเหลืองที่โหมกระหน่ำ
ร่างซูเปอร์ไซย่าขั้น 2 ในตำนาน! นับตั้งแต่ที่หลินเฉินได้กลับสู่จักรวาลของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เปิดเผยร่างในตำนานนี้ให้ทุกคนเห็น
“จ-เจ้าแปลงร่างอีกครั้งได้ยังไงกัน?”
เมื่อเห็นร่างที่น่าสะพรึงกลัวของหลินเฉิน สลักก็กลืนน้ำลายและรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่าง
ซึ่งไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แม้แต่ผู้คนทั่วทั้งดาว รวมถึงบาร์ดัคและฮานาเซียก็พยายามใช้ออร่าของตนเข้าสู้ เนื่องจากออร่าของหลินเฉินได้ทำให้พวกเขาทรุดตัวลงและไม่อาจเคลื่อนไหวได้
"น...น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว! ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทกลายร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าแล้วไม่ใช่หรือ? มีการกลายร่างซูเปอร์ไซย่าร่างอื่นด้วยงั้นเหรอ?" ในฐานะซูเปอร์ไซย่าเอง ฮานาเซียก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างตัวนางเองกับหลินเฉินมากที่สุด
สำหรับชาวไซย่าคนอื่นๆ เพราะผลของสายเลือดซูเปอร์ไซย่าในตำนานของหลินเฉิน พวกเขาจึงไม่อาจแม้กระทั่งเปิดปากพูดได้เลย
“ฮ่าฮ่าฮ่า จงอย่าพยายามแสร้งทำเลย! เจ้าคิดว่าเพียงแค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ จะสามารถฆ่าข้าได้อย่างงั้นเหรอ?”
สลักหัวเราะออกมาและทันใดนั้น เขาก็ได้ยินหลินเฉินพูดว่า “ได้อยู่แล้ว”
จากนั้นหลินเฉินก็หายตัวไปทันที และเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็อยู่ข้างๆ ศีรษะของสลักพร้อมกับชกหน้าผากของสลักอย่างแรง
คราวนี้หัวของสลักระเบิดราวกับลูกโป่งและเขาก็ล้มลงพร้อมกับเสียงดังปัง
เมื่อร่างของสลักกระแทกกับพื้น เสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาตาม แต่เมื่อผ่านไปสักพัก ศีรษะของสลักก็งอกขึ้นมาใหม่
"ก...เกิดอะไรขึ้น? ความแข็งแกร่งของเจ้ามัน..."
สลักรู้สึกเวียนศีรษะพร้อมกับลุกขึ้นมา เขารู้สึกสับสนเป็ฯอย่างยิ่ง
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชาวไซย่าที่เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์ถึงมีความแข็งแกร่งเปลี่ยนไปคนละโยชน์?
เป็นไปได้ไหมว่าการกลายร่างของหลินเฉินจะเป็นเช่นเดียวกับเขาที่เพิ่มระดับพลังเป็นสองเท่า?
“เจ้าไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นหรอก จงนอนลงและรอความตายเสีย!”
กลางอากาศ หลินเฉินตะโกนเสียงดังขณะที่เขาพลิกฝ่ามือและกดลงไป
อากาศโดยรอบพลันเลือนหายไปภายใต้แรงดันฝ่ามือของหลินเฉิน สลักเมื่อถูกมันกระแทกใส่ก็ได้แต่นอนลงบนพื้นอีกครั้งทันที
"ตู้ม!!!"