บทที่ 42 กระดูกที่ฝังอยู่ในดิน
บทที่ 42 กระดูกที่ฝังอยู่ในดิน (บทสั้นแถมฟรี)
.
เมฆดำหนาแน่น ฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นสายๆ ฝนตกหนักตลอดทั้งคืน ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น พายุฝนลดระดับลง แสงแดดที่หายไปนานส่องต้องพื้นโลกอีกครั้ง
หลังจากพยายามอย่างหนักมาเกือบชั่วโมง พวกเฉินฮุ่ยก็สามารถช่วยชีวิตรถที่ตกหล่มโคลนออกมาได้ หลังจากช่วยชีวิตรถทุกคนก็ไม่ได้หยุดแม้ชั่วครู่ แต่ขับรถไปบนถนนที่เต็มไปด้วยโคลน และไปหยุดลงตรงแนวป่าไม่ไกลจากป้ายรถเมล์
พวกเฉินฮุ่ยช่วยกันดึงตัวกันและกันก้าวไปบนถนนที่เต็มไปด้วยโคลน เดินเข้าไปในป่าลึก เมื่อไปถึงป้ายรถเมล์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ ยกเว้นรอยกดทับของล้อรถสองแนว
“ดูเหมือนว่ารถเมล์ผีจะมาที่นี่เมื่อคืนนี้” เฉินฮุ่ยตัดสินใจหลังจากมองรอยบนพื้นโคลน
“น่ากลัวจริงๆ!” เหล่าสวีย่อตัวลง ตรวจสอบแนวรอยกดทับของล้อรถ แล้วถอนหายใจ
จ้าวเจิ้น จ้องไปที่รอยยางบนพื้น นึกถึงฉากที่เขาเห็นเมื่อคืนนี้ในใน และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ขนลุกเกรียวไปทั่วร่างกายทันที
“ไม่เป็นไรนะ!” เมื่อเห็นอาการของจ้าวเจิ้น เหล่าสวีก็ลุกขึ้นมาตบไหล่ของเขาและพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
จ้าวเจิ้นยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่กลัวนิดหน่อย!” หลังจากใช้ชีวิตมาเกือบครึ่งชีวิต จ้าวเจิ้นบอกกับตัวเองว่า เห็นสิ่งแปลกๆมาก็มากแล้ว แต่คราวนี้มันสยองขวัญชนิดติดตาตรึงใจจนลบไม่ออกจริงๆ
“อืม” เหล่าสวีพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แล้วมองไปที่เฉินฮุ่ย “เป็นไงบ้าง เจออะไรไหม?” ตั้งแต่วินาทีแรกที่มาถึงป้ายรถเมล์ เฉินฮุ่ยก็จดจ่ออยู่กับความพยายามศึกษารอยยางบนพื้นโคลน ซึ่งทำให้เหล่าสวีคิดว่าเฉินฮุ่ยพบบางอย่าง
“ไม่ ฉันแค่คิดว่ารอยยางนี้ค่อนข้างแปลก” เฉินฮุ่ยขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงลึก
“แปลก? แปลกยังไง?” เหล่าสวีถามพร้อมกับเดินไปที่ข้างๆเฉินฮุ่ย และจ้องมองที่รอยยางบนพื้น แต่เขาก็ไม่พบอะไรที่แปลกๆ เลย
“บอกไม่ถูก แค่รู้สึกว่ามันแปลก” เฉินฮุ่ยสั่นศีรษะ เขาแค่รู้สึกว่ารอยยางมันดูแปลก แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน
“ไม่พบอะไรอีกแล้ว นอกจากรอยยาง ทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เรามาก่อนหน้านี้ทุกประการ” หนิงหวาที่เดินตรวจไปรอบๆป้ายรถเมล์ก็ไม่พบอะไรเลย
เฉินฮุ่ยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูตำแหน่งโทรศัพท์มือถือของลู่เฉียนฉิง “ตำแหน่งมือถือของเฉียนฉิงอยู่ที่นี่ แต่ค้นตั้งนานแล้วก็ยังไม่พบ หรือว่ามันจะถูกฝังไว้ในดิน” หลังจากค้นหาสองครั้งแล้วยังไม่พบ เฉินฮุ่ยจึงเดาว่าโทรศัพท์อาจถูกฝังไว้ใต้ดิน
“มีพลั่วสนามอยู่ในรถ ฉันจะไปเอามาขุด จะได้รู้กันไปเลยว่า เกิดอะไรขึ้น!” หนิงหวาวิ่งออกไปจากป่า ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาพร้อมกับตัวที่เปื้อนโคลนและพลั่วสนาม
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหนิงหวา ทุกคนก็ถามด้วยความเป็นห่วง “หนิงหวา เป็นไงบ้าง หกล้มเหรอ?” ร่างกายของหนิงหวาไม่เพียงเปื้อนโคลน แม้แต่ใบหน้าของเขาก็ยังเต็มไปด้วยโคลน
“ไม่เป็นไร รีบขุดเถอะ!” หนิงหวาไม่พูดอะไรมาก หลังจากยื่นพลั่วให้เฉินฮุ่ย เฉินฮุ่ยก็เริ่มขุด
เนื่องจากฝนตกหนักตลอดทั้งคืน พื้นดินจึงอ่อนนุ่ม ในไม่ช้าเฉินฮุ่ยก็ขุดเป็นหลุมขนาดหนึ่งตารางฟุต
“ขุดมาตั้งนานแล้วยังไม่พบ มันคงไม่ฝังลึกแบบนี้หรอก!” เฉินฮุ่ยขุดจนเหงื่อโชก แต่ก็ยังไม่พบอะไร ดังนั้นหนิงหวาจึงคิดว่าเฉินฮุ่ยเดาผิด
ขณะที่หนิงหวากำลังจะเกลี่ยกล่อมให้เฉินฮุ่ยเลิกขุด พลั่วของเฉินฮุ่ยก็ไปกระทบกับบางอย่าง “ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่าง!”
พอได้ยินคำพูดของเฉินฮุ่ย ทุกคนก็ต่างจับจ้องไปยังพลั่วสนามของเฉินฮุ่ยทันที
เฉินฮุ่ยสูดหายใจลึก ใช้กำลังขุดเปิดออกดู ไม่ช้า ‘วัตถุ’ สีขาวก็ปรากฎขึ้น!
เฉินฮุ่ยใช้มือของเขาปัดสิ่งสกปรกที่อยู่บนมัน แล้วดึงขึ้นมาอย่างแรง ในวินาทีถัดมา ฉากที่ทุกคนลืมไม่ลงก็เกิดขึ้น
สิ่งนั้นคือแขนที่เหลือแต่กระดูก!
ทันทีที่รู้ตัวว่าสิ่งที่เขาดึงออกมาคือกระดูกแขนสีขาว เฉินฮุ่ยก็สั่นสะท้านและเหวี่ยงกระดูกชิ้นนั้นออกไปโดยไม่รู้ตัว และรีบกระโดดขึ้นจากหลุม เหงื่อเย็นไหลจากหน้าผากของเขาอย่างต่อเนื่อง “ฮู่! ฮู่!” เฉินฮุ่ยหอบหายใจ มองไปยังกระดูกแขนที่อยู่ห่างออกไป ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกระดาษทันที
เมื่อเหล่าสวีกับคนอื่นๆเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตกใจเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับการแสดงออกของเฉินฮุ่ยแล้ว พวกเขาดูสงบกว่า
เหล่าสวีหยิบแขนที่เฉินฮุ่ยโยนทิ้งขึ้นมาตรวจดู หลังจากยืนยันว่าเป็นแขนของมนุษย์จริงๆ เขาก็คว้าพลั่วสนามจากมือของเฉินฮุ่ยมาขุดต่อไป
คราวนี้ ในหลุมเหล่าสวีขุดเจอศีรษะกับอีกครึ่งร่าง
หลังจากนั้น เหล่าสวีก็ยังขุดต่อไป แต่ก็ไม่พบอะไรอีก และสิ่งที่แปลกที่สุดก็เกิดขึ้น นั่นคือหลังจากขุดพบศีรษะกับอีกครึ่งร่าง ตำแหน่งโทรศัพท์มือถือของลู่เฉียนฉิงบนโทรศัพท์มือถือของเฉินฮุ่ยก็หายไป
“หายไปได้ยังไง! ไม่มีอินเตอร์เน็ตเหรอ?” หนิงหวาเอนหน้าเข้าไปมองบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเฉินฮุ่ย
เฉินฮุ่ยสั่นหัว แสดงเบราว์เซอร์ให้หนิงหวาดู มันยังสามารถท่องอินเตอร์เน็ตได้ หลังจากนั้นก็ลองใช้แอปพลิเคชันอื่น “ฉันลองเรียกหลายครั้งแล้ว แต่มันก็ยังหายไป! ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” เฉินฮุ่ยพูดด้วยใบหน้าเหยเก ซึ่งเต็มไปด้วยความกลัว
“ศพนี้! เป็นไปไม่ได้…” จ้าวเจิ้นมองหนึ่งศีรษะและครึ่งตัวส่วนบน บนพื้น พร้อมกับกลืนน้ำลายและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
“ร่างเน่าเปื่อยจนไม่เหลือเนื้อหนัง เหลือเพียงโครงกระดูกสีขาวนี้ มันต้องใช้เวลาฝังไม่น้อยกว่าหนึ่งปี!” เหล่าสวีไม่คิดว่าศพที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นของลู่เฉียนฉิง เพราะท้ายที่สุดแล้วลู่เฉียนฉิงก็หายไปเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น
จ้าวเจิ้นพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่านี่จะเป็นหนึ่งในชาวบ้านหมู่บ้านเฮยสุ่ยที่ยังหาตัวไม่พบ 12 คนนั้น” ตามที่พวกจ้าวเจิ้นเคยถามซ่งเฟย ตามที่ซ่งเฟยบอก หมู่บ้านเฮยสุ่ยมีคนอยู่ 115 คน แต่พบศพเพียง 103 ศพเท่านั้น
“ซ่งเฟยบอกว่าพวกเขาเคยพบศพ 5 ศพ ใกล้กับป้ายรถเมล์นี้มาก่อน แต่เนื่องจากพวกเขาเคยตรวจสอบบริเวณนี้แล้วในตอนนั้น จึงไม่ควรมีรอยรั่ว!” เหล่าสวีคิดถึงคำพูดของซ่งเฟยเช่นเดียวกัน
“หรืออาจเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นายที่หายตัวไป?” หนิงหวารู้สึกว่า ศพที่อยู่ตรงหน้าน่าจะเป็นหนึ่งในห้าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หายตัวไปก่อนหน้านี้
“แค่เดากันมันก็ไร้ประโยชน์ จะชัดเจนได้ก็ต่อเมื่อระบุตัวตนแล้วเท่านั้น” ท้ายที่สุดเหล่าสวีก็ไม่ตั้งใจจะคาดเดาต่อไป และรู้สึกว่าควรนำกระดูกกลับไปที่สถานีตำรวจเพื่อระบุตัวตน
“ก่อนหน้านี้ฉันพบเงาร่างตรงไปที่สุสานหมู่บ้านเฮยสุ่ย ฉันจะไปตรวจสอบที่สุสาน สวีเกอ ช่วยนำศพนี้กลับไปที่สถานีตำรวจเพื่อตรวจสอบด้วย” เฉินฮุ่ยยังคงไม่ลืมเงาดำที่เห็นเมื่อคืนนี้
“ฉันกับเหล่าจ้าวจะนำศพกลับไป พวกนายสองคนไปสืบทางนั้น แต่ระวังตัวด้วย!” เหล่าสวีเตือน
“อืม!” เฉินฮุ่ยกับหนิงหวาพยักหน้าไม่พูดอะไรมาก จากนั้นทั้งสองคนก็ไปยังสุสานหมู่บ้านเฮยสุ่ยเพื่อตรวจสอบ ขณะที่เหล่าสวีกับจ้าวเจินนำศพกลับไปยังสถานีตำรวจเพื่อระบุตัวตน