บทที่ 21: ท่านเป็นคนยังไงกันแน่ หลินเป่ยฟาน?
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 21: ท่านเป็นคนยังไงกันแน่ หลินเป่ยฟาน?
หลินเป่ยฟานหัวเราะและดุว่า “ต้าหลี่ รักษามารยาทหน่อย เวลาทานไม่พูดคุย เวลานิทราไม่พูดคุย! ยามนี้เจ้ากำลังกินอยู่ เช่นนั้นจงหยุดพูด! กินให้มากขึ้นเถอะ เจ้าจะได้มีแรงทำงาน เข้าใจไหม?”
"ขอรับนายท่าน!" ต้าหลี่ตอบอย่างมีความสุข
“ส่วนเสี่ยวกุ้ย เจ้าไม่ต้องสุภาพกับข้าขนาดนั้นหรอก!” หลินเป่ยฟานกล่าวอีกครั้ง
"เจ้าค่ะนายท่าน!" เสี่ยวกุ้ยยิ้ม
จากนั้นหลินเป่ยฟานก็พูดกับหลี่ซือซือ สตรีผู้งดงามที่อยู่ตรงหน้าเขา “ข้าขอโทษด้วยที่ไม่สามารถปฏิบัติต่อเจ้าได้ดีเหมือนกับเรือนร้อยบุปผา ข้าได้แต่หวังว่าเจ้าคงจะไม่รังเกียจ”
หลี่ซือซือยิ้มออกมาราวกับดอกไม้เบ่งบาน “ท่านคงกำลังหยอกข้าเล่นแล้ว! ท่านได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ข้า ตัวข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ข้าจะไปรังเกียจได้ยังไงกัน?”
หลี่ซือซือหยิบตะเกียบของนางขึ้นมาและยังช่วยหลินเป่ยคีบเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า “ท่านเองก็มากินข้าวด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ!”
หลินเป่ยฟานพยักหน้าและยิ้มออกมา “ได้สิ เรามากินข้าวด้วยกันเถอะ!”
จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มกินกันไป
หลินเป่ยฟานกินด้วยความเร็วปกติ แต่หลี่ซือซือเคี้ยวอย่างเชื่องช้า
นางพบว่าแม้ว่าอาหารจะไม่ดีเท่าเรือนร้อยบุปผา แต่ก็มี "รสชาติของมนุษย์" จนทำให้ความอยากอาหารของนางเพิ่มขึ้น นางกินมากกว่าปกติด้วยซ้ำ
ในสมัยโบราณ ไม่มีผู้ใดใช้ชีวิตหลังเที่ยงคืน ดังนั้นหลังอาหารเย็น จึงไม่มีอะไรให้ทำมากนักนอกจากการพักผ่อน
หลี่ซือซือก็เช่นกัน หลังจากรับประทานอาหารแล้ว นางก็กลับไปที่ห้องเพื่อเตรียมตัวเข้านอน
ซึ่งเมื่อนางคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
นางเคยทำงานที่เรือนร้อยบุปผาในฐานะนางโลม จากนั้นจู่ๆ ก็มีคนจ่ายเงินเพื่อไถ่ถอนนางและนางก็เดินตามคนแปลกหน้ากลับมา
นางคิดว่านางตกลงไปในเหวและจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือของนางกับข้าราชการทุจริตที่นางดูหมิ่น
แต่หลังจากมาที่นี่ นางก็ตระหนักว่าสิ่งต่างๆ นั้นได้แตกต่างออกไป
อีกฝ่ายใช้ชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์ ไม่เสแสร้งอะไร ไม่จ้างใครมาดูแล แม้แต่อาหารและการดื่มก็ธรรมดามาก ไม่มีของแพง ไม่มีร่องรอยของการทุจริต
นอกจากนี้ หลังจากใช้เวลากับเขา หลินเป่ยฟานก็ให้ความรู้สึกที่ดีกับนางมาก
รอยยิ้มของเขาบริสุทธิ์ สายตาของเขาแน่วแน่และเขาไม่ได้เสแสร้ง เหมือนกับคนที่นางเคยเห็นในหอนางโลม ไม่มีกระทั่งนิสัยความเย่อหยิ่งที่ข้าราชการล้วนเป็นกัน เขามองผู้คนอย่างเท่าเทียม
เขาเคารพนางและไม่เคยดูถูกภูมิหลังของนางเลย
สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกสบายใจมากที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขา และนางก็เริ่มรู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะจากไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มันก็ทำให้นางไม่อาจนอนหลับได้
"ท่านเป็นคนยังไงกันแน่ หลินเป่ยฟาน?" นางพึมพำอยู่ตัวคนเดียว
ในขณะเดียวกัน ณ พระราชวังหลวง
หลังจากได้อ่านบันทึกทั้งหมดแล้ว จักรพรรดินีก็อดไม่ได้ที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างและสังเกตเห็นว่ามันมืดแล้ว
“ฝ่าบาท เชิญดื่มชาเถิด!” ขันทีเฒ่าคนหนึ่งนำชาร้อนมาให้
"ขอบคุณ!" จักรพรรดินีพยักหน้าและยืนขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนที่จะนั่งลง ขณะที่นางดื่มชา นางก็ถามว่า “ช่วงนี้มีเรื่องอะไรใหม่ในเมืองหลวงบ้างไหม? บอกข้ามา!”
ในฐานะจักรพรรดินี นางกำลังยุ่งอยู่กับกิจของหลวง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถออกจากวังได้บ่อยนัก ในช่วงเวลาว่างพักผ่อนเช่นนี้ นางจึงชอบที่จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอก เพื่อบรรเทาความเหงาและความเบื่อหน่ายของนาง
ก็เหมือนกับการเลื่อนหน้าจอข่าวสารในยุคปัจจุบัน
“ฝ่าบาท มีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเรื่องข้าราชการระดับสูงคนใหม่ หลินเป่ยฟาน!” ขันทีเฒ่าหัวเราะ
“เกี่ยวกับหลินเป่ยฟานงั้นหรือ?” จักรพรรดินีพลันรู้สึกสับสนมาก "มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขา! บอกรายละเอียดข้ามา!"
“ขอรับฝ่าบาท!” ขันทีเฒ่าเล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที
หลังจากฟังแล้ว จักรพรรดินีก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะและหัวเราะออกมา: “เจ้าหลินเป่ยฟาน! ข้าอนุมัติให้ลาก็เพื่อให้เจ้าพักผ่อนที่เรือน แต่เจ้ากลับมีความคิดที่จะไปหอนางโลม! ไม่เพียงแค่นั้น ยังกล้านำโสเภณีระดับสูงกลับมาด้วย! ช่างเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่มีความสามารถนัก! ดูเหมือนแม้แต่ข้าราชการระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ก็คงไม่อาจต้านทานการล่อลวงเช่นนี้ได้สินะ!”
“ขอรับฝ่าบาท!” ขันทีเฒ่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักออกมา: “มีข่าวลือว่าในยามนั้น หลินเป่ยฟานไม่ต้องการรับข้อเสนอของหลี่ซือซือ แต่หลี่ซือซือมุ่งมั่นที่จะติดตามหลินเป่ยฟาน ถึงขั้นใช้เงินของตนเองเพื่อไถ่ถอนนาง สร้างความอิจฉาริษยาและความโกรธในหมู่ผู้ชายนับไม่ถ้วนเลยขอรับ! นอกจากนี้เขายังทิ้งบทกวีเอาไว้ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมในทั้งเมืองและทำให้เหล่าอิสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนถึงกับนอนไม่หลับ!”
"โอ้? เขาเขียนอะไรลงในบทกวีจนมันก่อให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้หรือ?” จักรพรรดินีอยากรู้อยากเห็นมาก
ขันทีเฒ่าที่เตรียมไว้อย่างดีก็เริ่มท่องบทกวี
จักรพรรดินีฟังหนึ่งครั้งและจำได้ จากนั้นจึงท่องด้วยตัวเอง: “โดดเดี่ยวในเรือนนางโลม จันทราคล้ายเหมือนดั่งตะขอ ต้นไม้เหมือนดั่งร่มโพธิ์ที่กันแสงดวงอาทิตย์อุทัยท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วง! ไม่สามารถตัดหรือยืดออกไป มีเพียงความเศร้าโศกจากการจากลา เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้จากก้นบึ้งหัวใจข้า!” (ก่อนหน้านี้แปลผิด ขออภัยด้วยครับ)
“เป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็แสดงให้เห็นถึงภาพอันเศร้าโศกของสตรีในหอนางโลม บทกวีนี้คงจะสืบต่อไปอีกชั่วอายุคน! สมกับเป็นข้าราชการระดับสูงคนใหม่ที่ข้าแต่งตั้งขึ้น!”
“ฝ่าบาทพูดถูกทุกอย่างขอรับ!” ขันทีเฒ่าก้มศีรษะเห็นด้วย
“ทว่าวัตถุประสงค์ของหลี่ซือซือที่เข้าใกล้หลินเป่ยฟานคืออะไรกันแน่?” จักรพรรดิหญิงพลันขมวดคิ้ว
ต้องบอกก่อนว่า หลี่ซือซือแม้จะเป็นเพียงโสเภณี แต่ภูมิหลังของนางคล้ายดั่งมัจฉาและมังกรในหอนางโลม การที่นางสามารถเป็นโสเภณีระดับสูงได้ แสดงให้เห็นว่านางต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน
สตรีเช่นนี้ได้พบกับชายและวีรบุรุษที่มีความสามารถมากมายอยู่แล้ว ทำไมนางถึงตกหลุมรักหลินเป่ยฟานตั้งแต่แรกเห็นกันเล่า? แล้วทำไมนางถึงดั้นด้นจะตามเขามากขนาดนี้?
เห็นได้ชัดว่านางต้องมีวาระซ่อนเร้นบางอย่าง!
หลินเป่ยฟานเป็นคนที่นางให้ความสำคัญอย่างมากและมีความหวังกับเขาไว้สูง หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา มันจะต้องเป็นหายนะแน่!
“ตรวจสอบหลี่ซือซือและแรงจูงใจของนางในการเข้าหาหลินเป่ยฟานอย่างละเอียด!” จักรพรรดินีสั่งการทันที
“ขอรับฝ่าบาท!”