บทที่ 82 เถ้าแก่เถาวิ่งหนีจากหลุมศพ
บทที่ 82 เถ้าแก่เถาวิ่งหนีจากหลุมศพ
หยางจิ่วคว้ามือของเถ้าแก่จางแล้วแต้มที่ดวงตาของตุ๊กตากระดาษ
"ใต้เท้า ตุ๊กตากระดาษ เปิดดวงตาไม่ได้..." เถ้าแก่จางกลัวจนเสี่ยงสั่น
ตุ๊กตากระดาษที่เปิดดวงตาจะนำมาซึ่งหายนะ
โดยไม่คาดคิด ทันทีที่คำพูดจบลง ตุ๊กตากระดาษก็เหยียดแขนออก และกลายเป็นมีชีวิต
เถ้าแก่จางกรีดร้อง เซถลาถอยหลัง และเกือบจะเป็นลม
ฟ่านถงก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง และเกือบจะสูญเสียการควบคุม
หยางจิ่วชี้ไปที่ตุ๊กตากระดาษ แล้วถามนายน้อยจางที่อยู่ในโลงศพว่า "นายน้อยจาง เจ้าพอใจกับภรรยาผู้นี้ไหม"
"ข้าพอใจ..." เสียงแข็งทื่อดังมาจากโลงศพ
เสียงนี้ฟังดูไม่เหมือนเสียงของบุตรชายเขา แต่เมื่อเถ้าแก่จางลองคิดเกี่ยวกับมัน มันคงเป็นเรื่องปกติที่เสียงของบุตรชายเขาจะเปลี่ยนไป หลังจากเสียชีวิตมาหลายวัน
แต่เขาไม่รู้ว่าเสียง "ความพึงพอใจ" นั้นมาจากท้องของหยางจิ่ว
เป็นครั้งแรกที่ข้าใช้ทักษะการใช้เสียง มันค่อนข้างสนุก และเป็นการบลัฟคนได้สะดวกมากๆ
หยางจิ่วพยักหน้าเล็กน้อย ชี้ไปที่ตุ๊กตากระดาษแล้วพูดว่า "ตั้งแต่นี้ไป เจ้าเป็นภรรยาของนายน้อยจาง เจ้าต้องดูแลนายน้อยจางให้ดี และมีลูกให้เขาเยอะๆ"
ตุ๊กตากระดาษพยักหน้า ค่อยๆ ปีนเข้าไปในโลงศพแล้วนอนลงข้างๆ นายน้อยจาง
แขนข้างหนึ่งของตุ๊กตากระดาษวางเบาๆ บนหน้าอกของนายจาง ซึ่งทำให้ท่านอนของพวกเขาคลุมเครืออย่างมาก
ไม่ต้องหาเหตุผลว่าทำไมร่างของนายน้อยจางถึงลุกขึ้นนั่ง ในตอนนี้มันถูกยัดเยียดด้วยตุ๊กตากระดาษ แม้ว่าเขาจะกลายเป็นกระดูก ก็อย่าคิดที่จะขยับตัวอีกเลย
เถ้าแก่จางเข้ามาและเห็นบุตรชายเขานอนกับภรรยากระดาษ น้ำตาเถ้าแก่จางก็ไหลอาบหน้า
มันจบแล้ว.
ครั้งนี้มันจบแล้วจริงๆ
บุตรชายของข้าไม่เพียงแต่ไม่ลุกขึ้นนั่งเท่านั้น แต่เขายังบอกว่าพอใจกับภรรยาผู้นี้มาก ดังนั้นทุกอย่างจึงเสร็จสิ้น
"ใต่เท้าหยางเป็นดั่งเซียนจริงๆ โปรดมาที่ห้องโถงใหญ่เพื่อดื่มชา" เถ้าแก่จางเช็ดน้ำตา ความสุขในใจของเขาเกินคำบรรยาย
เมื่อทั้งหมดมาถึงห้องโถงใหญ่ คนรับใช้ก็นำชาและของว่างมาให้แล้ว
ฟ่านถงยืนอยู่ด้านหลังหยางจิ่ว เขาเอื้อมมือไปหยิบของว่างกินเป็นครั้งคราว
ติ่มซำของเถ้าแก่จางอร่อยจริงๆ
ฟ่านถงสมควรที่จะเป็นคนงี่เง่า เขารู้แต่วิธีกินและดื่มเท่านั้นจริงๆ
หยางจิ่วไอเบาๆ เตือนเขาว่าอย่าลืมเรื่องนั้น
ปฏิกิริยาของฟ่านถงค่อนข้างดี เขากลืนของว่างเข้าไปในปากแล้วพูดว่า: "เถ้าแก่จาง เจ้ารู้ไหมว่าใต้เท้าเป็นคนงานยุ่งมาก เราจะไม่ทานอาหารมื้อว่างนี้ หลังจากนี้ เราต้องไป... ... "
"ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ..." เถ้าแก่จางพยักหน้า และหยิบตั๋วแลกเงินสิบใบออกมาจากกระเป๋าของเขา ซึ่งทั้งหมดมีมูลค่าใบละ 100 ตำลึงเงิน
ฟ่านถงรับมอบตั๋วแลกเงินด้วยรอยยิ้ม
"ใต้เท้าหยาง ถ้าสะดวก ท่านช่วยให้ที่อยู่ข้าไว้ได้ไหม เพื่อที่ข้าจะสามารถติดต่อท่านได้อีก ในอนาคต" เถ้าแก่จางพูดสิ่งนี้ออกมาจากใจ
ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีสิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้นที่บ้าน?
ที่ฉางอันมีซินแสมากมาย แต่มีเพียงใต้เท้าหยางเท่านั้น ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง
หยางจิ่วตอบ: "ถ้ามีอะไรเจ้าติดต่อฟ่านถงได้เลย"
"ถ้าอย่างนั้นนายน้อยฟ่าน ข้าขอที่อยู่ท่านได้ไหม?" เถ้าแก่จางหันไปหาฟ่านถง
เจ้างี่เง่าที่ถูกเรียกว่า "นายน้อยฟ่าน" ทำให้เขารู้สึกดีจริงๆ
ออกมาจากบ้านเถ้าแก่จางแล้ว ฟ่านถงก็ยื่นตั๋วแลกเงินทั้งหมดให้กับหยางจิ่วโดยไม่รั้งรอ
ฟ่านถงรู้สึกว่าเขาเริ่มต้นได้ดี แม้ว่าเขาจะได้ 100 ตำลึงก็ดีมากแล้ว
"เจ้างี่เง่า เจ้าหางานแบบนี้ให้เราอีกในอนาคตนะ" หยางจิ่วหยิบตั๋วแลกเงินสองใบออกมา แล้วมอบให้ฟ่านถง
สองใบ?
ตั๋วแลกเงินสองใบเป็นเงิน 200 ตำลึง
ฟ่านถงทรุดตัวลงคุกเข่า และเกือบจะเลียเท้าของหยางจิ่ว
“ใต้เท้าจอมยุทธ จากนี้ไปท่านจะเป็นบิดาของข้า ไม่สิ ท่านปู่ต่างหาก ขอให้ท่านปู่เอ็นดูข้าอย่างที่ผ่านมาด้วยเถอะ” ฟานถงน้ำหูน้ำตาไหลอาบแก้วเขา แล้วกล่าวอย่างประจบประแจง
คนที่เดินผ่านไปมาเห็นแล้วอิจฉาฟ่านถงยิ่งนัก
ถ้ามีใครสามารถให้เงิน 200 ตำลึงแก่พวกเขาได้ พวกเขาคงทำได้น่าเกียจกว่าฟ่านถงเป็นสิบเท่า
"ใต้าเท้า ได้โปรดรอสักครู่" จู่ๆ เถ้าแก่จางก็วิ่งออกมาจากบ้าน
หยางจิ่วหันกลับมาแล้วถามว่า "มีอะไรอีกหรือ เถ้าแก่จาง?"
"ขออภัยใต้เท้า ข้าเพิ่งจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน ศพเถ้าแก่เถาหายไปจากหลุมศพ" เถ้าแก่จางพูดด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ศพหายไป?
หยางจิ่วเริ่มสนใจและถามว่า "มันเกิดอะไรขึ้น?"
เถ้าแก่เถาเสียชีวิตอย่างกะทันหันในช่วงที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์
เพื่อนบ้านในละแวกบ้านรู้ว่า เถ้าแก่เถามีราชสีห์เหอตงอยู่ในครอบครัวของเขา และนางไม่ยอมให้เถ้าแก่เถามีภรรยาน้อย และยิ่งไม่ต้องถามถึงการรับนางบำเรอมาเลี้ยงดูเลย
(ราชสีห์เหอตง เป็นคำที่มักใช้อุปมาถึงนิสัยของภรรยาขี้หึงที่ชอบโวยวายทำร้ายสามี)
แต่คนร่ำรวยคนไหนจะไม่มีนางบำเรอบ้าง และบางครั้งพวกเขาก็ไปซ่องเพื่อสนุกสนาน
เป็นเพราะเขากลัวภรรยาอย่างมาก เถ้าแก่เถาจึงต้องเก็บความลับ เมื่อเขามองหาผู้หญิงคนอื่น
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่อีกฟากหนึ่งของเมืองฉางอัน และเลี้ยงดูนางบำเรอมากกว่า 30 คนในนั้น
ในวันธรรมดา เถ้าแก่เถาจะวิ่งไปที่บ้านนั้นเสมอ โดยอ้างว่ายุ่งกับเรื่องธุรกิจ
เถ้าแก่เถามีความสุขกับวันที่สวยงามเช่นนี้มา 20 ปีแล้ว
แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ผู้หญิงในบ้านนั้นก็พาลูกมาสองสามคนหรือบางคนมีพุงใหญ่ และทุกคนก็มาที่บ้านของเถ้าแก่เถาเพื่อขอแบ่งทรัพย์สิน
เมื่อภรรยาเถ้าแก่เถาเห็นเช่นนั้น ก็โกรธจัดจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด และแทบจะตายตามไปกับเถ้าแก่เถาจริงๆ
หลังจากหายดีแล้ว ภรรยาหลวงขอให้คนรับใช้ทุบตีกลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นออกไป และสาปแช่งศพของเถ้าแก่เถาเป็นเวลาหลายชั่วยาม
เพื่อนบ้านในละแวกนั้นได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาคิดไม่ถึงว่า คำพูดหยาบคายเหล่านี้ จะมาจากปากของผู้หญิงผู้นี้ได้
ราชสีห์เหอตงตระกูลเถา สมควรแก่ชื่อเสียงจริงๆ
หลังจากดุด่าร่ายคำสาบทั้งหมดที่อยู่ในใจออกมาจนหมดแล้ว ภรรยาหลวงยังคงไม่ลดความเกลียดชังของนาง ดังนั้นนางจึงตัดสมบัติของเถ้าแก่เถาด้วยมีดสั้น
ผู้คนรอบข้างต่างหวาดกลัวเมื่อเห็นสิ่งนี้ และเร่งเร้าให้นางรีบส่งร่างของเถ้าแก่เถาไปที่ร้านเย็บศพ เพื่อเย็บสมบัติคืนให้เถ้าแก่เถาเสีย
แต่ภรรยาหลวงไม่ฟัง แล้วนางก็โยนสมบัติชิ้นนั้นให้สุนัขกินโดยตรง และจัดงานศพให้เถ้าแก่เถาทันที
ในคืนนั้นหลังจากการฝังศพ มีคนเดินผ่านเข้าไปใกล้หลุมศพของเถ้าแก่เถา และได้ยินเสียงดังกึกกักเล็กน้อยในหลุมศพ
วันรุ่งขึ้น ชายคนนั้นก็เล่าให้คนรอบข้างฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อเขา
ความเป็นจริงแล้ว ราชสำนักได้ทำการเผยแพร่ว่า ศพที่เสียหายร่างกายไม่ครบ จะต้องถูกเย็บก่อนถึงจะสามารถนำไปฝังได้
ผู้คนในราชวงศ์เว่ยเชื่อมั่นในเรื่องนี้ แต่มีกี่คนล่ะ ที่ได้เห็นศพลวงที่แท้จริง?
(ศพลวง 诈尸 จ่านชี คนโบราณและชาวบ้านกล่าวว่า: เมื่อคนตาย บางครั้งยังมีลมหายใจอยู่ในอก ถ้าศพ ถูกแมว หมา หนู หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งวิ่งมา เขาจะฟื้นคืนชีพอย่างหลอกๆ แต่ลมหายใจนี้ไม่สามารถช่วยชีวิตได้เลย มันสามารถกัดได้เหมือนสัตว์ร้ายที่ฟื้นคืนชีพ ในที่สุดศพก็หมดแรงล้มลงกับพื้นและก็ตายสนิท )
คืนนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็มาพิสูจน์ที่หลุมศพของเถ้าแก่เถา
หลังจากนั้น คนทั้งกลุ่มก็ได้ยินเสียง ปัง ปัง ดังมาจากหลุมศพจริงๆ
แต่คราวนี้มันไม่ใช่การกระแทกเล็กน้อยอีกต่อไป แต่มันเป็นเสียงที่ดังกึกก้อง
เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เถาในโลงศพ ต้องการออกมาจากโลงศพ
คนกลุ่มนั้นตกใจมากจนร้องไห้เหาบิดามารดา แล้ววิ่งหนีเหมือนคนบ้า
วันรุ่งขึ้นเมื่อภรรยาหลวงได้ยินข่าว นางก็หยิบมีดทำครัว และพาคนรับใช้กลุ่มหนึ่งไปที่สุสาน
ตอนที่เขามีชีวิตอยู่ เถ้าแก่เถาไม่กล้าแม้แต่ผายลมต่อหน้านางด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากเถ้าแก่เถาตายไป เขาจะยังต้องการพลิกโลกกลับหัวกลับหางหรือไม่?
ผลก็คือ ทันทีที่พวกเขามาถึงสุสาน ภรรยาหลวงก็ตกใจมากจนล้มลงกับพื้น ตดแตก และปัสสาวะราดนองเต็มพื้นสุสาน
นางเห็นหลุมศพของเถ้าแก่เถามีหลุมขนาดใหญ่ ดินกระจัดกระจาย และแผ่นโลงศพก็ตกลงไปด้านข้าง
คนรับใช้หลายคนที่มาด้วยกัน มองเข้าไปในรู และพบว่าในโลงศพว่างเปล่า
เถ้าแก่หายไปแล้ว
มันคือศพลวง
ครั้งนี้เป็นเป็นศพลวงของจริง
หลังจากนั้น ข่าวแพร่ก็กระจายอย่างรวดเร็ว
ภรรยาหลวงกลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้างทันที
ทุกครัวเรือนจะติดเครื่องรางไว้ที่ประตู โดยเฉพาะตระกูลเถา ผู้ร่ำรวยและมีอำนาจ พวกเขามีเครื่องรางของขลังติดไว้ทุกหนทุกแห่ง
แต่เครื่องรางที่ประตูและบนกำแพงลานบ้าน มักจะถูกเพื่อนบ้านเอาไปอย่างโจ่งแจ้งเสมอ
คนจนไม่มีเงินจ้างซินแสมาทำเครื่องรางเหล่านี้ พวกเขาจึงต้องมาเอาจากตระกูลเถาเท่านั้น
หลังจากฟังจบ หยางจิ่วก็คิดว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นศพลุกหนีจากหลุม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หยางจิ่วสนใจมาก และถามว่า มีใครพบเถ้าแก่เถาบ้างไหม?"
"ไม่มี ถ้ามีคนพบ ทุกคนก็คงไม่กลัวขนาดนี้" เถ้าแก่จางถอนหายใจ
เดิมทีเขาไม่ต้องการติดยันต์ แต่ทุกคนต่างก็ติด ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ทำตามเท่านั้น
แต่เขาติดยันต์ไว้ที่ประตูเท่านั้น
หยางจิ่วยิ้มแล้วถามว่า: "เถ้าแก่จาง เจ้าช่วยพาข้าไปดูหลุมศพของเถ้าแก่เถาได้ไหม?"