MDB ตอนที่ 339 โชคดีสุด ๆ
เมื่อสวมหน้ากากแล้ว หลินจินก็เข้ามาและสังเกตเห็นผู้มาใหม่สองคนในแวบแรก
'ผู้มาเยือนใหม่?' เขามองผ่านอย่างอารมณ์ดี
ผลประโยชน์ที่หลินจินจะได้รับจากห้องโถงเยี่ยมชมนี้ก็ชัดเจน หากไม่ใช่สถานที่แห่งนี้ มันคงยากขึ้นอย่างน้อยสิบเท่าในการบรรลุวิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบสำหรับเสี่ยวฮั่ว
ต้องขอบคุณสถานที่นี้ที่เขาได้รับแหล่งรวบรวมวัสดุและยืมกำลังของผู้เยี่ยมชมเพื่อแก้ไขปัญหาในยามลำบาก
เมื่อเห็นภัณฑารักษ์มาถึง ผู้เยี่ยมชมทั้งหกคนก็แสดงความเคารพอย่างจริงจัง
“ขอคารวะ ภัณฑารักษ์”
พวกเขาทำอย่างพร้อมเพรียงกัน และเสียงของพวกเขาก็ดังก้อง
สิ่งนี้ทำให้ผู้มาใหม่สองคนตกตะลึง เฟิงจือเฉียนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้เยี่ยมชมหมายเลขสิบสองก็ตกใจเช่นกัน เธอจ้องมองคนที่โผล่ออกมาจากประตูเหล็กด้านบนอย่างอยากรู้อยากเห็น
หลินจินรู้สึกยินดี เมื่อห้องโถงเยี่ยมชมค่อย ๆ พัฒนา ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับก็ยิ่งมากขึ้น
ตอนนี้หลินจินคุ้นเคยกับมันแล้ว สำหรับเขาแล้ว ไม่สำคัญหรอกว่าใครจะมาที่ห้องโถงเยี่ยมชม เพราะพวกเขาทั้งหมดจะต้องยอมจำนนต่อเขาในท้ายที่สุด
เช่นเดียวกับ อีกาทมิฬ, เฒ่าเทียนและผีเด็ก พวกเขาต่างแสดงความไม่พอใจในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยอมจำนนต่อเขาอยู่ดี
กฎของห้องโถงเยี่ยมชมนั้นเรียบง่าย แต่ละคนจะต้องไม่สอบถามเกี่ยวกับภูมิหลังของกันและกัน ทุกคนสามารถเก็บความลับหรือเปิดเผยได้ ใครก็ตามที่กำลังมองหาการประเมินจะต้องให้ 'ของแลกเปลี่ยน’ ที่เท่าเทียมกัน
มันง่ายและยุติธรรม
หลินจินถามได้เอ่ยขึ้นว่า
“พวกเจ้าได้สรุปกฎของที่นี่ให้พวกเขาฟังแล้วหรือยัง?”
เฒ่าเทียนตอบเร็วที่สุดโดยกล่าวว่า
“พวกเราทำแล้ว ภัณฑารักษ์ เราได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าคนหนึ่งดูเหมือนจะไม่เชื่อสิ่งที่เราบอกเขา และอีกคนหนึ่งยังคงนิ่งเงียบมาตลอด”
"ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาได้รับแจ้งเกี่ยวกับกฎแล้ว” หลินจินกวาดสายตามองผู้มาใหม่
ไม่มีสัตว์เลี้ยงอยู่กับพวกเขา
ผู้ที่เคยบ่มเพาะคัมภีร์จ้าวอสูรมาจะมีสัตว์เลี้ยงอยู่ในตัวของเขา หากตัดสินจากออร่าของอีกฝ่าย มันควรจะเป็นระดับสี่
คุณภาพของผู้เยี่ยมชมรายใหม่นี้ไม่เลวเลย
แต่ผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างมีเอกลักษณ์
แม้จะดูเหมือนเธอไม่มีสัตว์ร้าย แต่สิ่งต่าง ๆ กลับซับซ้อนกว่าที่เห็นภายนอก ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรหลุดรอดสายตาจากหลินจินไปได้ อย่างไรก็ดี สำหรับตอนนี้ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้เยี่ยมชมรายใหม่ไปก่อน
เขามองไปที่เฒ่าเทียน จากนั้นมองไปที่ไทแรนโนซอรัสที่อยู่ข้างหลังเขาซึ่งได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลินจินประหลาดใจถามว่า
“เฒ่าเทียน สัตว์เลี้ยงของเจ้าวิวัฒนาการเมื่อใดกัน?”
หลินจินไม่รู้เรื่องนี้ เนื่องจากในตอนนั้น เขาอยู่ในช่วงสำคัญของการบ่มเพาะเมฆานำพา หลินจินได้มาและจากไปอย่างรวดเร็วในครั้งล่าสุด
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เยี่ยมชมคนอื่น ๆ จึงเป็นผู้ช่วยเหลือเฒ่าเทียน เพราะเขาประสบปัญหาบางอย่าง และด้วยโชคอันยิ่งใหญ่ ทำให้การวิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงของเขาประสบความสำเร็จ
หลินจินรู้สึกประหลาดใจ
ท้ายที่สุดแล้ว การพัฒนาสัตว์วิเศษระดับสามไปสู่ระดับสี่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เฒ่าเทียนอธิบายสถานการณ์ก่อนหน้าของเขาทันที ในขณะที่เย่หยู่โจวและคนอื่น ๆ เสริมรายละเอียดให้หลินจิน
แน่นอนว่า หลินจินฟังดูประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาจ้องมองที่เฒ่าเทียนเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดว่า
“เจ้าช่างโชคดีจริง ๆ”
หลินจินพูดถูก เฒ่าเทียนโชคดีจริง ๆ
แม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามคำแนะนำแบบคำต่อคำ แต่การลงมือทำจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แถมพวกเขายังใช้เลือดสัตว์วิเศษหลายประเภทเพื่อกระตุ้นกระบวนการวิวัฒนาการ
ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาจะล้มเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ทำสำเร็จ นี่เป็นสถานการณ์หนึ่งในล้านอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่า โอกาสสำเร็จที่เพิ่มขึ้น มันเป็นเพราะห้องโถงเยี่ยมชม
ห้องโถงเยี่ยมชมนี้มีกลิ่นอายของพิพิธภัณฑ์ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จได้
“ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่การวิวัฒนาการประสบความสำเร็จก็เพียงพอแล้ว”
หลินจินกระโจนลงมาจากด้านบน และทำท่าทางกวักมือเรียก ไทแรนโนซอรัสของเฒ่าเทียน มันวิ่งเหยาะ ๆ อย่างเชื่อฟัง ผงกหัวไปทางหลินจิน
หลินจินเอื้อมมือไปแตะหัวของไทแรนโนซอรัสเพื่อดูรายละเอียดของมัน
“หื้ม!”
แม้แต่หลินจินก็ยังประหลาดใจ
เขารู้อยู่แล้วว่าไทแรนโนซอรัสตัวนี้มีทรงพลังมากเพียงใด แต่คิดว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ช่างเป็นเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ
เดวิลโลซอรัสกลายพันธุ์ระดับสี่ แถมยังมีคุณสมบัติธาตุที่หลากหลาย!
พูดง่าย ๆ ก็คือ ความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตนี้คือการรวมกันของสัตว์เลี้ยงของอีกาทมิฬ, เย่หยู่โจวและผีเด็ก พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ สัตว์วิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องโถงเยี่ยมชมในตอนนี้ไม่ใช่เหยี่ยวดำ มังกรทะลวงเมฆา หรือแมงมุมหน้าทารกอีกต่อไป แต่เป็นเดวิลโลซอรัสกลายพันธุ์ตัวนี้
โชคของเฒ่าเทียนนั้นสุดแสนจะพรรณนาได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาเองไม่มีวิทยายุทธ์ที่โดดเด่น และระดับพันธสัญญาโลหิตของเขาก็ไม่มีนัยสำคัญ เขาจึงไม่สามารถใช้ศักยภาพของเดวิลโลซอรัสกลายพันธุ์ของเขาได้อย่างเต็มที่ ถ้าเขาทำได้ เขาจะเทียบเท่ากับมาดามผีเด็กได้เลย
อย่างไรก็ตาม หลินจินไม่ได้วางแผนที่จะบอกเฒ่าเทียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเร็ว ๆ นี้
ในฐานะบุคคล เฒ่าเทียนยังต้องการการขัดเกลามากกว่านี้
จากนั้นหลินจินก็หันไปหาผีเด็ก
“ตอนนี้ซอมบี้คธูลูหายเป็นแกติแล้ว ชายโลงศพสามารถมารับมันกลับได้ทุกเมื่อ”
ผีเด็กยินดีกับข่าวดีนี้
ต่อจากนั้น พวกเขาจัดถามการซักถามตามปกติ ผีเด็กและคนอื่น ๆ รู้กฎดี ดังนั้นพวกเขาจึงมีตัวอย่าง DNA ของสัตว์วิเศษอยู่กับตัว เพื่อให้หลินจินตอบคำถามของพวกเขาเกี่ยวกับสัตว์วิเศษที่สงสัยได้
ผู้เยี่ยมชมทั้งสองเพียงแค่สังเกตการแลกเปลี่ยนของพวกเขาที่มุมหนึ่ง พวกเขาดูและฟังอย่างตั้งใจ
ในฐานะองค์ชายสามของอาณาจักรเกลียวสวรรค์ เฟิงจือเฉียนเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวาง เขาสามารถบอกได้โดยอาศัยเพียงแค่ฟังจากอีกฝ่ายว่า ชายสวมหน้ากากซึ่งทุกคนเรียกว่า 'ภัณฑารักษ์' นั้นมีฝีมือค่อนข้างดีในสายงานของเขา
อย่างน้อยที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของสัตว์วิเศษ ไม่มีคำถามใดที่ท้าทายสำหรับเขา
เฟิงจือฉียนรู้จักผู้ประเมินระดับสี่ส่วนใหญ่ในประเทศของเขาเป็นการส่วนตัว ความรู้ของภัณฑารักษ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงระดับสี่นั้นไม่ได้ด้อยเลย เมื่อเทียบกับผู้ประเมินระดับสี่ที่เขารู้จัก
'ที่นี่คือที่ไหนกันแน่? คนเหล่านี้คือใคร?'
ตอนนี้เฟิงจือเฉียนสามารถบอกได้ว่านี่อาจไม่ใช่ฝีมือของพี่น้องเขา และไม่ใช่ของพ่อของเขาด้วย
หากนี่คือการทดสอบที่พ่อของเขากำหนดไว้ มันจะต้องมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง แต่จนถึงตอนนี้เฟิงจือเฉียนก็ยังมองไม่ออกว่าเขากำลังถูกทดสอบในด้านใด
ความสามารถในการปรับตัว?
ไม่ใช่อย่างแน่นอน
ทัศนคติของเขา?
ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
นอกจากนี้ แม้ว่าอาณาจักรเกลียวสวรรค์จะเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่มีสัตว์วิเศษระดับห้ามากกว่าหนึ่งตัวคอยเป็นผู้พิทักษ์ แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของสัตว์วิเศษระดับสี่ก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน
ถึงกระนั้นเฟิงจือเฉียนก็ไม่รู้จักคนเหล่านี้ที่เป็นเจ้าของสัตว์วิเศษระดับสี่แม้แต่คนเดียว เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขามาก่อนเลยด้วยซ้ำ
หากพวกเขาเป็นพลเมืองของอาณาจักรของเขา เขาคงจะรู้จักพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคน แน่นอนว่า คนเหล่านี้อาจปักหลักอยู่ในเมืองที่เงียบสงบก็ได้เช่นกัน
'เมื่อไม่รู้อะไร งั้นก็คอยสังเกตกันต่อไปล่ะกัน'
เฟิงจือเฉียนตัดสินใจที่จะยึดมั่นในหลักการเพื่อต่อต้านความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น
เมื่อหลินจินตอบคำถามของกลุ่มเสร็จแล้ว เขาก็หันไปหาผู้เยี่ยมชมรายใหม่
“ผู้มาใหม่ พวกเจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่?” หลินจินถาม
ไม่มีใครพูดอะไร แต่ถึงอย่างนั้น ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ผู้เยี่ยมชมหมายเลขสิบเอ็ดที่ขี้โอ่ในตอนแรก เขากำลังแสดงท่าทีระมัดระวังและมีแววลังเลในดวงตาของเขาอย่างแจ่มชัด ดูเหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
ในขณะเดียวกัน หลินจินพบว่าผู้เยี่ยมชมหมายเลขสิบสองดูน่าสนใจมากทีเดียว
ตั้งแต่เริ่มต้น สีหน้าและอารมณ์ของเธอยังคงนิ่งเฉย
สิ่งที่สะท้อนในดวงตาของเธอคือสิ่งที่หลินจินสามารถอธิบายได้ในคำเดียว ซึ่งนั่นก็คือคำว่า 'ความสิ้นหวัง'