บทที่ 32: การชักชวน
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 32: การชักชวน
แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้คนแก่อย่างเขาสงบลงได้คือการต่อสู้
ซึ่งทัศนคติของแฟรงค์ ก็แสดงออกผ่านทางกระทำมากกว่าคำพูด
ทำให้พันนิชเชอร์เป็นเขาดั่งเช่นทุกวันนี้
ทั้งหมดเป็นเพราะพวกกองกำลังชั่วร้ายที่ทำกับครอบครัวของเขา
“ก่อนอื่น นายสบายใจได้” ไรอันลดปืนลง แต่ไม่ได้เก็บอาวุธออกไป เพราะด้วยประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ใครจะรู้ว่าจู่ๆ แฟรงค์จะยิงเขาต่อหน้าอีกครั้งหรือเปล่า "ฉันไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกแก๊งอำมหิตที่นายกำลังพูดถึง และฉันก็ไม่มีความตั้งใจที่จะแก้แค้นให้พวกเขาแม้แต่น้อย"
“เหตุผลที่ฉันมาที่นี่อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ เป็นเพราะนายล้วนๆ”
“ฉันเหรอ?” แฟรงค์เลิกคิ้วเล็กน้อย ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง "ฉันไม่คิดว่าฉันมีอะไรจะพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากไหนไม่รู้หรอกนะ"
“ไม่หรอก แฟรงก์ แคสเซิล”
เมื่อไรอันออกเสียงชื่อของเขาอย่างชัดเจน ดวงตาของแฟรงค์ก็ขยับเล็กน้อย แต่ท่าทางของเขาก็กลับไปเฉยเมยเช่นเดิม
เขาไม่ได้จงใจปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเอง เพราะเขาไม่มีอะไรเหลือแล้วนอกจากการแก้แค้น
"นายเป็นคนพิเศษ" เสียงต่ำนั้นดูน่าเชื่อถืออย่างคาดไม่ถึง เมื่อรวมเข้ากับสายตาที่ของไรอัน มันก็ราวกับเขากำลังจะสื่อว่า 'ฉันมีเรื่องจะบอก' อยู่เลย "นายก็เหมือนเรา มีเป้าหมายที่แน่วแน่ในการยุติความชั่วร้ายด้วยมือเราเองและในการทำเช่นนั้น ก็เพื่อช่วยคนบริสุทธิ์อีกมากมาย"
"เรางั้นเหรอ?" แฟรงก์สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในคำพูดของไรอัน จึงได้เอ่ยถามออกมาทันที "แล้วเราที่แกพูดถึงคือใครกัน?"
เมื่อได้รับความสนใจจากแฟรงค์เรียบร้อย หัวใจของไรอันก็เต้นระรัว เพราะเขาเองก็ยังคงรู้สึกกลัวอีกฝ่ายอยู่ "เราคือภาคี"
“ภาคีงั้นเหรอ?”
[คะแนนชื่อเสียงจากแฟรงก์ แคสเซิล +20]
เช่นเดียวกับเจสซิก้า แฟรงค์ไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรนี้มาก่อน แต่ในฐานะนักสู้ของกองทัพสหรัฐ เขาได้ติดต่อกับองค์กรที่คล้ายกันหลายแห่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ดูประหลาดใจเลย
แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแฟรงค์จะไม่สนใจในภาคีของไรอัน
"ถ้าอย่างนั้นแกก็ต้องการให้ฉันเข้าร่วมองค์กรของแกสินะ..."
"ไม่ผิดนัก" ไรอันยังคงสวมบทบาทเป็นผู้นำของภาคีต่อไป "แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว สมาชิกของภาคีจะคัดกรองหรือรับสมัครนักฆ่าผ่านองค์กรของเราเอง แต่ฉันเชื่อตัวนาย แฟรงค์ นายมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นนักฆ่าที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นฉันจึงอยากจะแนะนำให้นายเข้าร่วมกับภาคี ตราบใดที่นายประกาศตัวต่อภาคีว่าจะเป็นฐานะนักฆ่าที่ปฏิบัติตามกฎและผ่านการทดสอบเพื่อพิสูจน์คุณค่าของนาย แค่นั้นก็พอแล้ว”
“แล้วฉันควรจะต้องขอบคุณแกไหม?” แฟรงก์หัวเราะเยาะและกระชับปืนกลมือของเขา ในขณะที่เขายังคงถ่อมตัว "ถ้าภาคีที่แกบอกว่ามันยิ่งใหญ่และลึกลับ ทำไมแกถึงต้องการให้ฉันเข้าร่วมด้วยกันล่ะ?"
“เพราะการลอบสังหารไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นต่างหาก ฉันคิดว่านายน่าจะรู้ดีที่สุดแฟรงค์”
"..."
คำพูดของไรอันดูเหมือนจะกระตุ้นความทรงจำบางอย่างของพันนิชเชอร์ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอารมณ์ผ่านสีหน้าอีกครั้งและยกปืนกลมือขึ้นพร้อมกับตอบกลับอย่างเย็นชา
“โทษที ฉันชินกับการทำงานคนเดียวแล้ว และทั้งหมดนี้ไม่เคยเกี่ยวกับการช่วยชีวิต เพราะฉันสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่ฉันควรจะช่วยชีวิตไปแล้ว...”
"เจอตัวเขาแล้ว! เจ้าหมอนั่นอยู่ที่นี่!"
“ฆ่าไอ้สารเลวนั่นเลย!”
"นายต้องการความช่วยเหลือไหม?" ไรอันมองไปที่สมาชิกแก๊งอำมหิตที่เดินเข้ามาทีละคนและถามแฟรงค์
"ไม่ ฉันทำคนเดียวเองได้" เขาไม่ลังเลที่จะปฏิเสธความปรารถนาดีของไรอัน แฟรงค์หันกลับมาพร้อมกับปืนกลมือของเขา ในขณะที่ยิงกลับไปที่สมาชิกแก๊งที่เดินเข้ามา เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "อย่าให้ฉันรู้ว่าภาคีของแกทำเรื่องเลวร้ายอะไรล่ะ ถ้าฉันรู้ ก็เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนองเลือดเลย”
"ลองดูก็ได้นะ"
ไรอันไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยถึงภัยคุกคามจากพันนิชเชอร์ เพราะองค์กรที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นมาจะเคยก่ออาชญากรรมได้ด้วยเหรอ?
ไรอันยกมือขึ้นและจัดการสมาชิกแก๊งที่เหลือ เขามองแฟรงค์ที่กลับมาต่อสู้ข้างหลังเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังและหายตัวไปในความมืด
[คะแนนชื่อเสียงจากสมาชิกแก๊งอำมหิต +0.05]
[คะแนนชื่อเสียงจากสมาชิกแก๊งอำมหิต +0.05]
...
"แอนโทนี่ตายแล้ว"
ในช่วงกลางของงานปาร์ตี้อันยิ่งใหญ่ คิงพินหัวเราะและกำลังพูดคุยกับคนใหญ่คนโตในเมืองนิวยอร์ก ทันใดนั้นบูลส์อายที่แต่งตัวเป็นบอดี้การ์ดก็ได้มากระซิบแจ้งข่าวอันไม่น่ายินดีให้เขาทราบ
“ขอโทษนะ ผมคงต้องขอตัวออกไปสักครู่”
เมื่อขอตัวออกมา คิงพินก็ไปที่ระเบียงของสถานที่จัดงานเลี้ยงพลางมองไปที่ฉากปาร์ตี้ที่มีชีวิตชีวาตรงหน้าเขาและหันไปถามบูลส์อายว่า "เกิดอะไรขึ้น ?"
“แก๊งอำมหิตถูกไฟเผามอดหมดเลย แอนโทนี่ถูกยิงตายและเราเสียเงินจำนวนมากให้กับกองกำลังฝ่ายตรงข้ามของแก๊งอำมหิต”
"เป็นใคร? พวกรัสเซีย? หรือว่าคาร์เทล? ... " แม้ว่าเขาจะคุมกองกำลังอาชญากรรมส่วนใหญ่ในนิวยอร์ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคิงพินจะไม่มีคู่แข่ง ไม่ใช่จะมีแค่ซูเปอร์ฮีโร่ที่น่ารำคาญ แต่ยังมีสมาชิกของแก๊งนิวยอร์กจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของเขา
บูลส์อายส่ายศีรษะตอบ “ไม่ใช่ทั้งคู่ ตามที่ผู้รอดชีวิตของแก๊งอำมหิตบอกมา ทั้งหมดเป็นฝีมือของคนๆ เดียว”
"คนเดียว?" ซิการ์ในมือของเขาค้างอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่คิงพินพูดต่อ "แดร์เดวิลงั้นเหรอ?"
เมื่อเร็วๆ นี้ แดร์เดวิลได้ตามรังควานทุกซอกทุกมุมของย่านเฮลคิทเช่น ปราบปรามอาชญากรรมมากมาย แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ได้ทำลายธุรกิจจำนวนมากของเขาทางอ้อมด้วย
“ไม่ครับ คนที่ปรากฏตัวในครั้งนี้ไม่ได้สวมหน้ากากเหมือนแดร์เดวิล เขาโจมตีด้วยกระสุนจำนวนมากและเรียกตัวเองว่าพันนิชเชอร์มาตั้งแต่ต้น”
“พันนิชเชอร์งั้นเหรอ!” เมื่อเขย่าซิการ์ในมือไป คิงพินก็หัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม "เป็นเพียงตัวตลก แต่กลับกล้าเรียกตนเองว่าพันนิชเชอร์ ให้คนของเราในย่านเฮลคิทเช่นเคลื่อนไหวและจับไอ้พันนิชเชอร์มาให้ฉัน แสดงให้มันเห็นว่ามันทำผิดพลาดครั้งใหญ่แค่ไหน”
คิงพินยิ้มให้แขกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ จากนั้นจึงหันศีรษะและออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“จะว่าไปมีวี่แววของจอมโจรคิดบ้างไหม?”
ทันทีหลังจากนั้น คิงพินดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ เขาจึงหันไปทางบูลส์อายและถามออกมา
“ไม่ครับ เขาซ่อนตัวอยู่อย่างระมัดระวัง แม้ว่าเราจะรู้จากตำรวจนิวยอร์กว่าเขาได้พบกับโทนี่ สตาร์ค แต่ก็ไม่มีทางที่จะรู้รายละเอียดมากไปกว่านั้น เพราะข้อจำกัดด้านสถานะบุคลากร”
"โทนี่ สตาร์กงั้นเหรอ? ไอ้เด็กเหลือขอที่มีชื่อเสียงนั่นน่ะเหรอ?”
คิงพินไม่ใช่จะไม่รู้จักโทนี่ เขาเองก็ได้ซื้ออาวุธจำนวนหนึ่งจากสตาร์คอินดัสตรีส์
เมื่อได้ยินว่าจอมโจรคิดที่เขาตามหามีความเกี่ยวข้องกับเพลย์บอยชื่อดังของนิวยอร์ก คิงพินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขากลัวโทนี่ มันเป็นเพราะสตาร์คอินดัสตรีส์และกองทัพที่มีความใกล้ชิดกันต่างหาก ถ้าจอมโจรคิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับโทนี่จริงๆ มันจะทำให้สิ่งต่างๆ ค่อนข้างยากเลยสำหรับเขา
"ตามล่าจอมโจรคิดต่อไปและหารายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับโทนี่ สตาร์ค"
ทว่าถึงเรื่องมันจะยุ่งยากขึ้น ก็ใช่ว่าคิงพินจะถอยเสียหน่อย
...