บทที่ 146: กวาดล้าง!
“ท่านเจ้าเมือง ๆ เราไล่ตามพวกมันไปดีมั้ย!”
ไอ้หนูจิมมี่ตอนนี้ตาแดงก่ำอยากออกล่าเต็มแก่ มันโงหัวขึ้นมาถามถังเจิ้นอย่างคาดหวัง
ดูจากตาแดง ๆ ของไอ้หนูนี่แล้วเห็นได้ชัดเลยว่าขอแค่ถังเจิ้นออกคำสั่งมาคำเดียวมันจะเป็นคนแรกที่กระโดดกำแพงลงไปวิ่งไล่ฆ่าไอ้พวกโคโบลด์ที่แตกกระเจิงพวกนั้นอย่างแน่นอน
“ไอ้เปี๊ยกนี่เลิกบ้าได้แล้ว!”
ไทสันเบิ๊ดกะโหลกจิมมี่แล้วหันไปมองถังเจิ้นรอคำสั่ง
ถังเจิ้นรู้ความจริงที่ว่าอย่าได้ไปแหยมกับพวกหมาจนตรอก จำนวนทหารเชิ่งหลงนั้นมีจำกัด เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้มที่จะเอาไปไล่ล่าพวกโคโบลด์ที่แตกกระเจิงในที่กว้างโคตร ๆ อย่างที่ราบลูกรัง ดังนั้นตอนแรกเขาที่เห็นสถานการณ์ไม่เหมือนที่คิดก็กะว่าจะปล่อยพวกมันไปอยู่หรอก
แต่พอได้เห็นท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากฆ่าตัวอะไรซักอย่างของพวกไทสันแล้ว... จิตวิญญาณนักสู้ของตนก็ระงับความมีเหตุผลได้สำเร็จ เขาโบกมือแล้วสั่งว่า “ออกรถ จำไว้ด้วยว่าอย่าตามพวกมันไปไกลเกินไป ถ้าสถานการณ์ผิดปกติให้รีบถอยทันที!”
“ทราบ!”
ไทสันคำรามและก็มีคนไปเคลื่อนย้ายกระสอบทรายที่กั้นประตูเมืองข้างล่างไว้ทันที ส่วนไอ้พวกที่อยากเป็นฆาตกรเต็มแก่ก็ไปขึ้นรถออฟโรดที่อยู่ใต้กำแพงเมืองอย่างตื่นเต้น
รถคันนี้ติดตั้งปืนกลหนักและกระสุนเพียงพอ แต่บรรทุกคนได้น้อยเกินไป!
ดังนั้นพวกคนอื่น ๆ จึงไปเอายานพาหนะทุกชนิดที่สามารถวิ่งได้มาจนจอดระเกะระกะอยู่ใต้กำแพงเมือง ทั้งหมดนี้ได้บรรทุกนักรบเชิ่งหลงที่กระตือรือร้นอยากลงไม้ลงมือให้สาแก่ใจ
เมื่อเห็นว่าความเร็วในการขนย้ายกระสอบทรายช้าเกินไปไทสันก็กระโดดรีบขึ้นอย่างกระวนกระวายไปมองถังเจิ้นด้วยสายตาอ้อนวอนประจบประแจง ความหมายที่แสดงผ่านสายตานั้นก็สุดแสนจะชัดเจนเลยคือขอให้ท่านเจ้าเมืองช่วยทำให้ไอ้กระสอบทรายพวกนี้มันหาย ๆ ไปซักทีเถอะ!
ถังเจิ้นเห็นแบบนี้ก็ส่ายหน้า เดิมเขาอยากให้ไอ้พวกโคโบลด์มันมีโอกาสได้วิ่งหนีไปไกลอีกซักหน่อย ให้พวกไทสันไล่ฆ่าได้แค่พอหอมปากหอมคอ แต่ก็ไม่นึกเลยว่าพวกนี้จะเป็นวัยรุ่นใจร้อน!
‘ช่างแม่งละกัน อยากทำไรทำไป ยังไงการปล่อยไอ้พวกโคโบลด์ก็ไม่ต่างจากทิ้งตัวหายนะเอาไว้ เราเองก็ฆ่าพวกแม่งให้หมดแต่เนิ่น ๆ อยู่และ!’
คิดได้แบบนี้ถังเจิ้นก็กระโดดลงจากกำแพงเมืองก่อนจะโบกมือใส่ประตุและกระสอบทรายที่วางกองขวางประตูไว้เหมือนกับภูเขาลูกหนึ่งก็ได้หายวับไป จากนั้นถังเจิ้นก็ปล่อยกลับมาไว้ด้านข้าง
“สวดยวดเลยค้าบท่านเจ้าเมืองงงงงงง!”
ไทสันชื่นชมแบบขอไปทีแล้วกระโดดขึ้นรถพร้อมตะโกนว่า “ฆ่ามานนนนนนนน!”
ทันทีที่พูดจบนักรบที่ขับรถออฟโรดคันนั้นก็เหยียบคันเร่งจมมิดพุ่งออกไปเลย
ส่วนเฉียนหลงนั้นไม่ได้ใจร้อนอย่างไทสัน เขานั่งเงียบๆ ในรถกับสมาชิกทีมนักรบ แต่ใครจะเชื่อล่ะว่าทันทีที่ประตูเมืองเคลียร์แล้วไอ้หมอนี่แหละที่เป็นคนแรกที่พุ่งออกจากเมืองจนฝุ่นตลบ!
ตามมาด้วยรถออฟโรด รถแทรกเตอร์ มอเตอร์ไซค์ และแม้แต่รถสามล้อไฟฟ้า 2 – 3 คันซึ่งบรรทุกทหารเชิ่งหลงจนแทบล้น ถังเจิ้นเห็นภาพแบบนี้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีเหมือนกัน
หลังจากมองดูกลุ่มนักรบเชิ่งหลงที่เต็มไปด้วยไอสังหารวิ่งออกไปแล้วถังเจิ้นก็โบกมือเรียกพวกผู้บริหารทั้งหลายมาหา
ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก จะใช้ให้พาคนมาเคลียร์ซากโคโบลด์ที่อยู่ใต้กำแพงเมืองนั่นแหละ ถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคที่ก่อโรคระบาดซะเปล่า ๆ รวมถึงดึงดูดพวกมอนสเตอร์อื่น ๆ ที่หิวโหยให้เข้ามาก่อหวอดด้วย
เมื่อกองทัพโคโบลด์ได้แตกกระเจิงไปหมดแล้ว และประตูเมืองก็เปิดแล้ว ดังนั้นบรรดาชาวเมืองเชิ่งหลงจึงสามารถระดมสรรพกำลังมาเคลื่อนย้ายศพของพวกมันไปกองไว้ใต้ต้นมารดรได้อย่างสะดวก
หลังจากสั่งการอะไรต่อมิอะไรแก่ทหารเชิ่งหลงที่ตีหน้าเศร้าเพราะต้องอยู่เฝ้าเมืองแล้วถังเจิ้นก็ได้รีบตรงไปยังจุดที่พวกไทสันมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูงปานสายฟ้าแลบ
บนที่ราบลูกรัง พวกทหารโคโบลด์ไม่รู้จำนวนต่างทิ้งหมวกทิ้งเกราะวิ่งหอบลิ้นห้อยกันหน้าตั้ง
สารรูปของพวกมันตอนนี้น่าสมเพชเกินจะบรรยาย ห่างไกลจากความผยองคึกคะนองตอนขามาลิบลับ การนองเลือดหน้ากำแพงเมืองนั่นได้ระเบิดพวกมันกระเด็นตกจากเมฆบนฟ้าลงสู่ก้นบึ้งของขุมนรก พวกมันประสบพบเจอกับความสูญเสียครั้งใหญ่!
แต่เดิมกองทัพที่มานี้มีทหารอยู่ 5,000 นาย แต่ตอนนี้เหลืออยู่ประมาณ 3,000 นายเท่านั้น แต่ละตัวต่างบาดเจ็บและเหนื่อยล้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และมีบางตัวล้มลงกับพื้นไปโดยไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย
ผู้บัญชาการโคโบลด์ที่กำลังขี่หมายักษ์หน้าตาดุร้ายตอนนี้ชุดเกราะของมันพังยับเยิน องครักษ์ส่วนตัวของมันก็ไม่พูดอะไรซักคำ
กลับบ้านพร้อมกับความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในครั้งนี้นอกจากถูกลงโทษแล้วยังต้องถูกเยาะเย้ยอีก ใครมันจะไปมีความสุขไหวเมื่อรู้ว่าตนเองนอกจากต้องเสียเลือดแล้วยังต้องมาขายขี้หน้าอีก
“รวมตัวกันไว้! ใครที่บาดเจ็บสาหัสก็ทิ้งไว้นี่แหละ!”
ความผันผวนของชีวิตทำให้ใบหน้าของผู้บัญชาการโคโบลด์ดูแก่ลงไปมาก
ทันทีที่มันพูดจบมันก็เห็นนักรบโคโบลด์ไม่น้อยแสดงอาการตื่นตระหนก และในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงคำรามแผ่วเบาในหูของมัน
ผู้บัญชาการโคโบลด์ที่กำลังเหนื่อยล้าหันมองไปทางต้นเสียงแล้วแหกปากทันที “อย่าวุ่นวายไม่งั้นฆ่าทิ้งไม่สอบสวน!”
แต่เมื่อเห็นที่มาของเสียงอย่างชัดเจนมันก็แทบจะตาถลน และในขณะเดียวกันเรี่ยวแรงในร่างกายก็ดูเหมือนจะหมดสิ้นลง และแขนที่ถือดาบตกลงอย่างอ่อนแรง ปากก็พึมพำกับตัวเอง “ไอ้พวกมนุษย์โรคจิตนี่มันคิดจะฆ่าพวกเราไม่ให้เหลืองั้นเรอะ!”
เสียงคำรามดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ตามด้วยฝุ่นที่ตลบเต็มท้องฟ้า เหล่าทหารโคโบลด์สามารถเห็นถึงเจตนาอยากเป็นฆาตกรของไอ้พวกมนุษย์ที่ขี่อะไรก็ไม่รู้เข้ามาพวกนั้นได้อย่างชัดเจนจนไม่รู้ว่าจะชัดยังไงอีกแล้ว
สีหน้าแบบนั้นมันควรอยู่บนหน้าพวกกูโคโบลด์ไม่ใช่เหรอวะ! แล้วตอนนี้มันไปอยู่บนหน้าของไอ้พวกมนุษย์สวะโคตรกระจอกได้ยังไงกัน! โลกนี้มันพลิกกลับหัวกลับหางไปแล้วเอ่อ!
ความกลัวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจากอานุภาพของปืนกลายเป็นเงาตามตัวที่ไม่มีวันลบออกจากใจพวกมันไปแล้ว ยามที่ฉากพรรคพวกถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ โดยไม่ทันได้ออกมือออกเท้าอะไรเลยทำให้มีหลายตัวร้องเอ๋ง ๆ คร่ำครวญออกมา แข้งขาอ่อนแรงลงไปนั่งกองร้องไห้อยู่ที่พื้น
ส่วนตัวผู้บัญชาการเหมือนจะคืนสติกลับมาได้ก็แหกปากตะคอกใส่พวกที่ยอมแพ้ไปแล้วว่า “โคโบลด์อย่างพวกเรายอมตายไม่ยอมจำนน! พวกเราไม่เคยตายในท่าคุกเข่า! แล้ววันนี้ก็ดูท่าพวกเราจะกลับไปไม่ได้แล้วด้วย! เพราะงั้นก็สู้กับพวกมันจนตายนั่นแหละ! แสดงให้ไอ้พวกมนุษย์ชาติชั่วมันได้เห็นถึงความกล้าหาญกระดูกแข็งของเผ่าโคโบลด์เรา!”
มันควงดาบพุ่งเข้าใส่ขบวนรถของเมืองเชิ่งหลงตั้งแต่ก่อนที่มันจะพูดจบซะอีก
เหล่าโคโบลด์ที่แต่เดิมหดหู่ใจฟื้นคืนขวัญกำลังใจทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกมันแยกเขี้ยวยิงฟันตาแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอยในตาที่แตกยับ บางตัวหยิบก้อนหินที่พื้นขึ้นมาปา บางตัวไปฉีกศพของพวกที่ตายแล้วออกแล้วเอาแขนของศพขึ้นมาเป็นอาวุธด้วยใบหน้าที่มุ่งมั่น!
ประกอบกับเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกระสุนห่าใหญ่ที่พุ่งเข้ามาใส่อย่างต่อเนื่องราวกับเปิดน้ำฝักบัว และเมื่อได้ปะทะเข้ากับตัวของพวกมันก็ทำให้เลือดโชกกันในทันที ทว่าถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังหยุดการบุกของพวกมันไม่ได้ พวกมันยังคงมุ่งหน้าเข้าใส่จนกว่าร่างกายจะล้ม จนกว่าตาจะปิด
เส้นทางที่พวกมันพุ่งผ่านนั้นเกลื่อนไปด้วยซากศพ ชโลมไปด้วยเลือด แม้ช่วงล่างจะโดนยิงแตกไปแล้ว แต่หากยังไม่ตายก็ยังคงพยายามลากร่างให้เคลื่อนไปข้างหน้าต่อ พวกตัวที่ยังวิ่งได้ก็เหยียบย่ำศพของพวกพ้องมุ่งหน้าต่อไปแล้วก็ล้มลงบนร่างของเพื่อนมันนั่นแหละ
ไอ้เจ้าตัวผู้บัญชาการที่วิ่งนำหน้ามาโดนกระสุนปืนกลยิงถล่มจนเป็นรังผึ้ง แต่จนวินาทีสุดท้ายมันก็ยังสู้ไม่มีถอย!
เมื่อเสียงปืนหยุดลงก็ไม่เหลือเสียงหรือสำเนียงใด ๆ เหลืออยู่ในสนามรบแล้วนอกจากเสียงของพวกโคโบลด์ที่ค่อย ๆ หมดลมหายใจกันไปเป็นระยะ ๆ และไม่มีเสียงใด ๆ ในสนามรบ มีเพียงเสียงของโคโบลด์ที่ตายเป็นระยะ ๆ ไม่มีทหารเชิ่งหลงคนใดพูดอะไรออกมา ทุกคนต่างมองยังที่ราบลูกรังที่เต็มไปด้วยซากศพเกลื่อนกลาดเงียบ ๆ ราวกับว่ากำลังไว้ทุกข์ให้พวกโคโบลด์เหล่านี้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นโคโบลด์ก็ตาม แม้เผ่าพันธุ์มนุษย์กับต่างเผ่าจะเข้ากันไม่ได้ก็จริง แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเคารพคู่ต่อสู้เหล่านี้ที่ถือว่าความตายเป็นบ้าน!
ถังเจิ้นเองก็ยืนดูฉากตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ แต่แอบถอนหายใจในใจ
ถึงโคโบลด์ที่มารุกรานในครั้งนี้จะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นแล้วก็เถอะ แต่ความตั้งใจอันแน่วแน่ของพวกต่างเผ่ามันได้ทำให้เขาตระหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าหากเมืองเชิ่งหลงต้องการผงาดขึ้นมาล่ะก็เส้นทางก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะต้องปูด้วยเลือดและซากศพจำนวนมาก!
ถึงกระนั้นถังเจิ้นก็ไม่เคยคิดที่จะถอย!