ตอนที่ 1285 เรื่องราวของ เถ้าแก่ฟาง
ผู้ชายคนนั้น ถูก หลินฟาน ทำให้สับสนมึนงงไปจริงๆ หรือเป็นไปได้ไหมว่า หลินฟาน ผู้ชายคนนี้ไม่เข้าใจความคับข้องใจของเขาในฐานะผู้ชายหรือ?
หลินฟาน กล่าวว่า : “ในฐานะผู้ชาย ถูกครอบครัวพ่อตาดูถูก.. ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องปกติมาก อันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่ครอบครัวพ่อตาแม่ยายเท่านั้น ในสังคมของเรา มันเป็นเรื่องปกติมากที่ผู้ชายจะถูกดูถูก ผสมปนเปกันอยู่แต่ในเรื่องที่ไม่ดี คนอื่นจะกลอกตาใส่คุณ ดูถูกคุณ คุณเองก็จะรู้สึกว่าเงยหน้าไม่ขึ้น ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน ก็เท่ากับหาคู่ได้ยาก นี่เรียกว่า ‘สังคมของเงิน’ ความสําเร็จของผู้ชายขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเงินมากเท่าไหร่ในกระเป๋าของคุณ หากมีเงินที่ถึงขนาดเรียกได้ว่าอยู่ดีกินดี พอกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ก็จะสามารถเชิดหน้าชูตาได้ แต่หากไม่มีเงิน อยู่กินไม่ดี พอกลับบ้านฉลองปีใหม่ก็แทบจะต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ หรือแม้แต่ไม่มีหน้าให้กลับไปบ้านด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่กลับไป คุณจะถูกนําไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างแน่นอน ยิ่งเรื่องซุบซิบนินทาพวกนั้นมันก็จะยิ่งทําให้คุณเครียด หายใจแทบไม่ออก และทุกๆ คําพูดที่ดูถูก ทุกๆ ครั้งที่มีคนกลอกตาใส่ มันก็เหมือนกับมีดที่กรีดเนื้อควักหัวใจของคุณออกมา”
เมื่อฟังคำพูดของ หลินฟาน น้ำตาของผู้ชายคนนั้นก็ไหลออกมาไม่หยุด เขารู้สึกแค้นใจในเรื่องนี้มาก
มีผู้ชายมากมายอยู่ที่นี่ และดูเหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกัน ต่างพากันนั่งก้มหน้าก้มตาอย่างเงียบๆ
หลินฟาน พูดถูกเกินไป ความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนี้ ผู้ชายทุกคนต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ทั้งในสังคมนี้ก็มีการเปรียบเทียบกันทุกที่ การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ในแต่ละวันก็ต้องเผชิญกับคําถามที่ว่าใครทําได้ดีกว่ากัน บางทีก็รู้สึกแทบหายใจไม่ออกจริงๆ
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต่างผสมปนเปกันไป บางคนทำได้ดี แต่ในหมู่คนยากจน และผู้ทุกข์ยาก ยิ่งทำให้รู้สึกต่อคําพูดของ หลินฟาน มากขึ้น
“เถ้าแก่ฟาง คุณเคยยากจนมาก่อนไหม?” หลินฟาน ได้ถาม เถ้าแก่ฟาง
เถ้าแก่ฟาง ได้ถอนหายใจยาวออกมา แล้วพูดว่า : “ขอไม่ปิดบัง คุณหลิน.. ผมเคยยากจนมาก่อน และกว่าจะลืมตาอ้าปากได้ในเรื่องนี้แทบไม่ต้องพูดถึง อีกอย่างตัวผมเองเกิดในชนบท หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมหางานทำไม่ได้มาเป็นเวลานาน ใช่ คุณฟังไม่ผิด ตัวผมเองหางานทำไม่ได้มาเป็นเวลานานจริงๆ ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบมาใหม่ๆ ตามหลักแล้ว นักศึกษาที่เพิ่งจบมานั้นก็แทบจะหางานทำไม่ได้ ในตอนนั้น ผมไม่อยากต้องทนทุกข์ทรมานจากการที่ไม่มีงานทำ เลยคิดอยากทำบางอย่าง แต่ผมยอมรับว่าในตอนนั้นผมหยิ่งผยองเกินไป และคิดแต่จะก้าวไปข้างหน้า สุดท้าย.. ไม่มีทาง ผมจน และก็กลัวความยากจนจริงๆ ผมไม่คิดอยากใช้ชีวิตที่ยากจนอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นผมจึงออกมาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง สุดท้ายการเริ่มต้นธุรกิจที่ว่า ..ก็ล้มเหลว เงินที่เก็บสะสมมาก็หมดไป ดังนั้นผมที่ไม่มีรายได้มาเป็นเวลานาน ก็ได้แต่ต้องกลับไปบ้าน ไปทําไร่ไถนา ..เท่านั้น”
หลินฟาน ยิ้ม และพูดว่า : “แต่ เถ้าแก่ฟาง ตอนนี้.. คุณก็เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ และคุณก็เป็นคนที่ประสบความสําเร็จแล้ว”
เถ้าแก่ฟาง กล่าวว่า : “ไม่ขนาดนั้นครับ คือพูดได้แค่ว่าไม่ได้แย่ แค่พอผ่านเท่านั้นครับ!”
หลินฟาน กล่าวว่า : “เถ้าแก่ฟาง บอกว่าเขากลับบ้านไปทํานา แล้วต่อมา เถ้าแก่ฟาง คุณได้ผ่านประสบการณ์อะไรบ้าง ก่อนจะกลายมาเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้?”
เถ้าแก่ฟาง กล่าวว่า : “คือ.. ผมไม่ได้มีอะไรดีเลย แต่ผมมีแค่แรงผลักดันที่ไม่ยอมแพ้ แน่นอนว่าผมไม่ได้เต็มใจที่จะยากจนไปตลอดชีวิต ไม่เต็มใจที่จะทําไร่ไถนาไปตลอดชีวิต ดังนั้นผมแม้ว่าจะทำนาอยู่ในชนบท แต่ผมก็ยังคิดที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองในทุกๆ วัน ผมทำไร่ไถนาอยู่ในชนบทมาสามปีได้ อยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์ จนเก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่ง และผมก็ได้เอาเงินก้อนนี้ พาตัวเองเข้ามาในเมืองเพื่อเริ่มต้นธุรกิจอีกครั้ง ในตอนแรกผมมีเงินทุนน้อย แค่ตั้งแผงลอยขายเสื้อผ้า ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน เพื่อต้องรีบวิ่งไปที่ตลาดเสื้อผ้าก่อนฟ้าสาง ไม่มีทาง สินค้าบางอย่างคุณต้องรีบคว้ามันมา ไปช้าก็อด พอรับสินค้ามาก็รีบมาตั้งแผงขายทันที การนั่งเฝ้าแผงมันเป็นอะไรที่เหนื่อยยากที่สุด บางครั้งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ก็ยังขายไม่ได้ ในตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าทรมานสุดๆ แต่ในที่สุดผมก็ผ่านมันมาได้ อย่างว่ามันก็คือธุรกิจที่หารายได้เล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ช่วงเวลานี้เองที่ผมอยากเปลี่ยนแปลง…”
“ในตอนนั้นมีคนมาขายเสื้อผ้ากันมากขึ้น การแข่งขันก็ยิ่งดุเดือด กำไรก็เบาบางลง และผมก็ไม่มั่นใจในธุรกิจนี้แล้ว แค่คิดอยากจะเปลี่ยนอาชีพ ภายหลังจากการที่ผมตรวจสอบดู ก็รู้สึกว่าการทำอาหารขายน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี จึงเริ่มเปลี่ยนอาชีพมาทำอาหารขาย และแน่นอนว่าทุกอาชีพมันก็จะมีเรื่องขมขื่น และคดเคี้ยวอยู่ในนั้นมากมาย พลิกผัน ขึ้นๆ ลงๆ แต่ต่อมาหยิบฉวยโอกาสจากธุรกิจการท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟู ผมจึงได้มาที่เมืองเฟิ่งเซี่ยน ซึ่งก็ทำการเปิดร้านอาหารแห่งนี้ และมันถึงจะถือว่าเรียกได้ว่า ..มั่นคงในที่สุด กล่าวคือ นักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมา พวกเขาเปรียบได้ดั่งพ่อแม่ ..ของผม ที่ได้มอบเสื้อผ้า และอาหารให้กับผม และสิ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณมากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือ ทุกท่านครับ”
หลินฟาน กล่าวว่า : “เรื่องราวของ เถ้าแก่ฟาง สร้างแรงบันดาลใจได้มากจริงๆ”
เถ้าแก่ฟาง กล่าวว่า : “จะให้พูดว่าสร้างแรงบันดาลใจก็ไม่ได้มั้งครับ ผมเองก็ถูกบังคับให้หมดหนทางจริงๆ คุณหมอหลิน คุณรู้อะไรไหม สมัยที่ผมไปทำไร่ไถนาอยู่ในชนบท ผมก็ยังหาคู่ไม่ได้ พ่อแม่ผมเองท่านวิ่งจนขาแทบหัก เพื่อหาคู่นัดบอดให้กับผม ผู้หญิงพอมาที่บ้านที่เก่าทรุดโทรมของผม ประตูบ้านยังไม่ทันได้เข้า ก็เลี้ยวหัวกลับ และก็วิ่งหนีออกไป ฉากนี้นั้นผมยังจํามาจนถึงตอนนี้ และยังมีผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ชี้นิ้วมาที่จมูกผมแล้วดุด่าผมออกมา แล้วยังชี้ไปด่าที่พ่อแม่ผมอีก สิ่งเหล่านี้ผมจําได้หมด และผู้คนในหมู่บ้านที่ต่างพากันนินทาลับหลังผม ในเรื่องนี้ผมขอไม่พูดอะไรให้มาก แค่คิดว่าทุกคนคงเข้าใจกันหมด สิ่งหนึ่งที่ผมฝังใจคือ พวกเขาที่บอกว่าผมเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่กลับมาทําไร่ทำนามันได้ที่ไหน เหยียบว่าผมมันตัวไร้ประโยชน์บ้างล่ะ ไปบอกพ่อผมต่างๆ นาๆ ลูกชายคนเดียวของตระกูลเฒ่าฟาง เฒ่าฟางต้องไปจุดธูปขอขมาบรรพบุรุษของตระกูล เฮ้อ.. มันอีกเยอะ แต่นี่พวกเขาคงไม่คิดว่าผมจะก้าวไปข้างหน้าได้”
หลินฟาน ยิ้ม และพูดว่า : “หลังจากที่ เถ้าแก่ฟาง ร่ำรวยแล้ว สถานการณ์ที่ว่านี้ ..ก็ควรจะไม่มีอีกแล้ว”
เถ้าแก่ฟาง กล่าวว่า : “กระบวนการนี้ใช้เวลานานเกินไป คุณหลิน คือจนกว่าธุรกิจร้านอาหารของผมจะดีขึ้น กล่าวคือตอนนั้นผมเพิ่งเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ก็ทำธุรกิจขายเสื้อผ้า และได้พบกับภรรยา เรามีความรู้สึกที่ดีต่อกัน และภรรยาของผมก็รักผมมาก อย่างไรก็ตาม เป็นดังที่ คุณหมอหลิน เพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ ฝ่ายชายถูกครอบครัวพ่อตาดูถูกเหยียดหยาม ถูกต้อง.. มันเป็นเรื่องปกติเกินไป ผมเองก็ถูกพวกเขาดูถูกเช่นกัน เนื่องจากภรรยาของผมมีฐานะทางบ้านดี พ่อแม่ของเธอจึงไม่เห็นด้วยที่เธอจะมาแต่งงานกับผม ทั้งยังรู้สึกว่าการแต่งงานกับผมถือเป็นเรื่องเสียเปรียบ ทุกครั้งที่ไปบ้านพ่อตา ผมไม่ได้กินอาหารดีๆ เลย แต่กลับได้รับการกลอกตาใส่อย่างว่างเปล่ามากกว่า สิ่งนี้มันดำเนินไปหลายปี เพราะพวกเขาคิดว่า ผมมันไร้ค่า ไม่มีอนาคต”
หลินฟาน กล่าวว่า : “เถ้าแก่ฟาง ในตอนนั้นคุณก็น่าจะต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันที่มากเกินไป เช่นกัน?”
เถ้าแก่ฟาง กล่าวว่า : “หนักหนาเลยล่ะครับ ผมพูดตามตรงว่าผมเครียดทุกวัน ประกอบกับช่วงหลังธุรกิจเสื้อผ้าย้ำแย่ลง คือเรียกได้ว่าเครียดกว่าผมหงอกอีก”
หลินฟาน กล่าวถามว่า : “เถ้าแก่ฟาง คุณนั้นปรับตัวอย่างไรเมื่อเผชิญกับแรงกดดัน?”
เถ้าแก่ฟาง กล่าวว่า : “จะมีวิธีไหนได้อีก ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่แค่ผมยอมรับ และการที่ตัวเองไม่มีอนาคต จะโทษใครได้กันล่ะ ถูกไหม? ผมบอกกับตัวเองว่า สามสิบปีแห่งเหอตง สามสิบปีแห่งเหอซี อย่ารังแกเด็กจน และผมก็ไม่กลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องตลกหรอกนะ คุณหมอหลิน ตอนนั้นผมอายุเกือบจะวิ่งเข้าเลขสามแล้ว ไม่ใช่วัยรุ่น แต่ผมมีแรงผลักดันจากการที่ถูกคนอื่นดูถูกนินทา ผมเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ คนอื่นกลอกตาใส่ผม ดูถูกผม ผมทนทุกข์ทรมาน ใช่.. แต่ผมเองก็เลือกที่จะยอมรับ และพยายามเปลี่ยนมันให้เป็นแรงจูงใจของตัวเอง ต่อสู้เพื่อสักวันผมจะทําให้พวกเขาประทับใจ..”
หลินฟาน หัวเราะแล้วพูดว่า : “ครอบครัวพ่อตาของคุณ ตอนนี้คงไม่กล้ากลอกตาใส่คุณอีกแล้วมั้งครับ?”
พูดมาถึงเรื่องนี้ เถ้าแก่ฟาง ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที : “พวกเขาจะกล้าไหมล่ะ? พวกเขาหากเจอผมในตอนนี้ ต่างพากันก้มหน้าก้มตา เดินเข้ามาทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แทบรอไม่ไหวที่จะคุกเข่าปรนนิบัติให้กับผม งานของพี่เขยก็คือผมที่หาให้เขาจากความสัมพันธ์ของผม พี่เขยที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ก็มาจากเงินที่ผมให้ไป วิลล่าที่ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ ผมก็เป็นคนซื้อให้ ผมจะบอกกับคุณ คุณหมอหลิน ให้ว่า เกี่ยวกับสถานะครอบครัว ผมเองเคยเป็นน้องชายของครอบครัว หรืออาจเรียกได้ว่า หลายชายของหลายชายเลยก็ได้ แต่ตอนนี้ผมได้ขึ้นแท่นนั่งอยู่บนบัลลังก์ของครอบครัวแล้ว และอาจกล่าวได้ว่า ผมเป็นจักรพรรดิแห่งวงศ์ตระกูลก็ยังได้!”
ได้ยินแบบนี้ทุกคนก็อดที่จะหัวเราะกันไม่ได้, แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวของ เถ้าแก่ฟาง แต่พอฟังแล้วมันก็ทำให้ทุกคนพากันรู้สึกสบายใจ และยินดี กับความสำเร็จนี้ของ เถ้าแก่ฟาง
หลินฟาน พยักหน้า และหันไปหาผู้ชายคนนั้น : “ตอนนี้คุณรู้หรือยังว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่งี่เง่า ..แค่ไหน?”
ผู้ชายคนนั้น ถึงกลับพูดไม่ออก.. ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงไปแล้ว