MDB ตอนที่ 338 เจ้าชายแห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์
นั่นเป็นเรื่องจริง
ทุกคนที่นี่รวมถึงผีเด็ก, เฒ่าเทียนและแม้แต่เย่หยู่โจวก็เคยเป็นอย่างชายหญิงผู้มาใหม่สองคนนี้ในตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ครั้งแรก แต่ไม่ว่าอย่างไร ในตอนสุดท้าย พวกเขาก็ต้องแสดงความยำเกรงทันทีที่ภัณฑารักษ์มาถึง
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครหรือมีภูมิหลังเป็นเช่นไร ชะตากรรมของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงไม่จำเป็นเสียเวลาเกลี้ยกล่อมพวกเขาให้เหนื่อยแรง ปล่อยให้พวกเขาเจอกับตัวเองจะดีกว่า
“นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน” ชายผู้นั้นยิ้มเยาะ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถรับมือกับอันตรายที่ใกล้เข้ามาได้ดีเพียงใด “พี่สอง น้องสี่ หากนี่คือแผนการที่พวกเจ้าวางไว้ ข้าถือว่ามันทำสำเร็จแล้ว แต่ข้าขอให้พวกเจ้าคิดดูดี ๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับข้า เสด็จพ่อต้องไม่อยู่เฉยแน่นอน!”
เขาตะโกนด้วยเสียงก้องกังวาน มันดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถงเยี่ยมชม
ไม่ไกลนัก ผู้เยี่ยมชมหญิงหมายเลขสิบสองมองดูชายผู้นั้นด้วยอารมณ์แปลก ๆ ในดวงตาของเธอ
“สมาชิกราชวงศ์อีกคนหนึ่ง น่าสนใจ น่าสนใจ” อีกาทมิฬหัวเราะเบา ๆ กับสิ่งนี้
นั่นเป็นเรื่องง่ายที่จะคาดเดา การกล่าวถึง 'เสด็จพ่อ' มันช่วยยืนยันตัวตนว่าชายคนนั้นมีตัวตนเช่นเดียวกับเหอฉิง เขาเองก็เป็นสมาชิกของราชวงศ์จากประเทศอื่น
ด้วยท่าทางที่อยากรู้อยากเห็น เหอฉิงจึงถามเขาว่า “เฮ้ เจ้ามาจากประเทศไหน? แล้วมีชื่อว่าอะไร?”
ชายคนนั้นเย้ยหยันและมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ตะโกนเสียงดัง
“นักแสดงพวกนี้พวกเจ้าไปหามาจากไหน? ช่างแสดงได้สมบทบาทเสียจริง เอาล่ะ หยุดล้อเล่นกับข้าได้แล้ว และแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
หลังจากตะโกน เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังราวกับว่าเขากำลังเฝ้ารอคำตอบ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครตอบโต้เขา
"เยี่ยม! งั้นขอข้าดูหน่อยว่าพวกเจ้าจะแสดงฉากอันแสนน่าเบื่อนี้ได้อีกนานแค่ไหน!” ชายคนนั้นพูด
เมื่อเห็นการตอบสนองของเขา เหอฉิงส่ายหัวของเธออย่างช่วยไม่ได้
“ข้าไม่คิดว่าคำพูดของเราจะผ่านเข้าไปในหัวของเขา ดังนั้น เราอย่าเพิ่งไปสนใจเขาในตอนนี้จะดีกว่า”
“เจ้าน่าจะทำแบบนั้นมานานแล้ว ผู้ชายคนนั้นบังอาจมาตะโกนใส่ข้าก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะภัณฑารักษ์ ข้าคงสอนบทเรียนให้เจ้าเด็กเหลือขอไปตั้งนานแล้ว” เฒ่าเทียนเดือดดาล
“จริงสิ เฒ่าเทียน ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าได้สะสางปัญหากับพี่น้องของเจ้าแล้วหรือยัง?” เย่หยู่โจวถาม
เขาอยากรู้ความคืบหน้าของความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นระหว่างเฒ่าเทียนกับพี่น้องร่วมสาบานของเขา
เฒ่าเทียนยิ้ม
“มันได้รับการแก้ไขแล้ว ตอนนี้ข้ามีสัตว์วิเศษระดับสี่แล้ว มันจึงแก้ไขได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากเราเคยเป็นพี่น้องกัน ข้าจึงไม่ฆ่าพวกเขา ใครก็ตามที่เต็มใจติดตามข้าก็อยู่ต่อไปได้ ส่วนใครที่ไม่ต้องการ ข้าก็ปล่อยพวกเขาไปตามทางของพวกเขา”
“ดีแล้ว ผู้ที่จิตใจดีมักจะอยู่ยั้งยืนยงเสมอ” เย่หยู่โจวกล่าวชื่นชม
ทางด้านอีกาทมิฬและผีเด็กแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินเขา
เมื่อไม่มีใครสนใจผู้มาเยือนทั้งสิบเอ็ดคนอีกต่อไป ฝ่ายหลังก็เริ่มทนไม่ไหว และได้โวยวายออกมา
“พวกเจ้าพาข้ามาที่นี่แต่ไม่ยอมออกมาพบข้า จุดประสงค์ของพวกเจ้าคืออะไรกันแน่!?”
“ถ้าคนในคฤหาสน์ของข้ารู้ว่าข้าหายตัวไป พวกเขาจะออกค้นหาข้าอย่างแน่นอน และเสด็จพ่อก็จะรับทราบด้วย ถ้าเป็นข้า ข้าจะหยุดทันที มันยังไม่สายเกินไปที่จะถอยตอนนี้!”
"เจ้า…"
ชายคนนั้นกำลังจะพูดต่อ แต่ทว่าผู้เยี่ยมชมหมายเลขสิบสองคนถามขึ้นทันที
“เจ้า… เจ้าคือองค์ชายสามของอาณาจักรเกลียวสวรรค์ เฟิงจือเฉียนใช่หรือไม่?”
ผู้เยี่ยมชมหมายเลขสิบเอ็ดหันไปหาหญิงสาวที่แต่งตัวเรียบ ๆ ทันทีและยิ้มเยาะ
“ทำไมเจ้าถึงถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว? ข้าจะไม่มีทางยอมจำนนง่าย ๆ ด้วยการจัดฉากงี่เง่าพรรค์นี้หรอก!”
หญิงสาวตอบอย่างหมดหนทาง
“เฟิงจือเฉียน เจ้าช่วยเบิกตาให้กว้างแล้วมองดูสถานการณ์ให้ดี ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าและข้าต่างก็ถูกประตูลึกลับดูดเข้ามาที่นี่ เจ้าคิดว่าใครกันที่สามารถสร้างปรากฎการณ์เช่นนี้ได้?
ข้าเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับการแข่งขันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ในอาณาจักรของเจ้ามาเหมือนกัน แต่ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าจะทำตัวน่าเกลียดถึงขนาดนี้ ข้าก็อดสงสัยไม่ได้ว่า คนอย่างเจ้าจะปกครองบ้านเมืองอย่างไร? เมื่อพิจารณาจากวิสัยทัศน์อันคับแคบของเจ้าในตอนนี้”
"บังอาจ!" เฟิงจือเฉียนพลุ่งพล่านด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังกล่าวหาว่าข้าไม่เหมาะที่จะต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์งั้นหรือ!?”
ขณะที่เขาพูด เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าวด้วยท่าทางอาฆาต เงาของสัตว์เลี้ยงของเขาพร้อมที่จะแผลงฤทธิ์
ผู้เยี่ยมชมหญิงไม่เกรงกลัวอย่างน่าประหลาดใจ เธอชี้ไปที่ประตูข้างหลังอีกฝ่ายแล้วพูดว่า
“ประตูอยู่ตรงนั้น เชิญเจ้าเข้าไปได้เลย หากเจ้าชิงชังสถานที่แห่งนี้มากนัก แน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะหยุดเจ้าด้วย แล้วอีกอย่าง หากเจ้าต้องการต่อสู้ ก็ให้คำนึงถึงผลที่ตามมาด้วย”
เฟิงจือเฉียนยังยืนอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเธอ
แน่นอนว่าที่หญิงสาวพูด เขาได้ลองทำมาแล้ว แต่ประตูก็ไม่ขยับไม่ว่าเขาจะดึงแรงแค่ไหน ซึ่งทำให้เขาสับสนมาก สำหรับเรื่องการต่อสู้ เขายิ่งไม่ควรทำเด็ดขาด เนื่องจากเขายังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน และมาทำอะไรกันแน่
ในฐานะเจ้าชาย เขาจะโง่เขลาขนาดนั้นเลยหรือ? พูดตามตรง สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้ เขารู้ว่ามันเกินกว่าความรู้ของเขาไปไกลโข
คำพูดของเขาก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีศัตรูเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถลักพาตัวเขาในอาณาจักรเกลียวสวรรค์ได้ ผู้ต้องสงสัยที่เป็นไปได้มากที่สุดคือพี่น้องสองคนที่หมายตาบัลลังก์เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากผลการพิสูจน์ของเขาแล้ว มันอาจไม่เป็นเช่นนั้น
แม้ว่ามันจะทำให้เขาวิตกกังวลมากขึ้น แต่ตอนนี้เขาหวังว่านี่จะเป็นการจัดฉากโง่ ๆ ที่พี่น้องคนใดคนหนึ่งสร้างคนมา อย่างน้อย ๆ เขาก็สามารถควบคุมสถานการณ์ด้วยตัวเองได้
แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่เหนือการควบคุมของเขา และนั่นทำให้เขารู้สึกแย่ ในฐานะเจ้าชายและผู้ชิงบัลลังก์ กลับมีสิ่งที่แม้แต่เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้ด้วยอีกหรือ?
ถึงก่อนหน้านี้เขาจะทำตัวกร่าง โวยวายเยี่ยงอันธพาล แต่จริง ๆ แล้วเขามีเจตนาแอบแฝง ซึ่งก็คือการประกาศตัวตนของเขา เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของพวกเขา เฟิงจือเฉียนก็ตระหนักว่าผู้คนที่นี่ดูเหมือนจะไม่สนใจตัวตนของเขามากนัก นอกเหนือจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของคนบางคนแล้ว คนส่วนใหญ่พยายามเพิกเฉยต่อเขา
‘มันน่าสนใจจริง ๆ’
‘และผู้หญิงคนนั้น’
‘เธอเป็นพวกเดียวกับคนเหล่านี้หรือไม่?’
‘ถ้าเธอเป็น แล้วพวกเขาจับเขาเป็นตัวประกันไว้ที่นี่เพื่ออะไร?’
เฟิงจือเฉียนครุ่นคิด เขาไม่มีทางลงมือเด็ดขาด เพราะเขาอยู่ตัวคนเดียว ดังคำกล่าวที่ว่า 'น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ' ถึงแม้ว่าสัตว์เลี้ยงของเขาจะอยู่ในระดับสี่ แต่มันคงจะดีกว่า ถ้าเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ เขายังสังเกตเห็นว่าสัตว์เลี้ยงของคนอื่น ๆ อย่างน้อย ๆ สี่คนมีออร่าคล้ายกับคู่หูของเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากการต่อสู้เกิดขึ้น เขาจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษระดับสี่อย่างน้อยสี่ตัว แม้แต่คนบ้าก็ได้สติขึ้นมาทันที ถ้าพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้
'หลังจากศึกษาศิลปะแห่งจักรวรรดิแล้ว ข้ารู้ว่าข้าต้องไม่ตีตนไปก่อนไข้ วิกฤตครั้งนี้เป็นบททดสอบชั้นดีเลยไม่ใช่หรือ? บางทีมันอาจจะเป็นการทดสอบที่จัดโดยท่านพ่อก็เป็นได้’
เฟิงจือเฉียนพิจารณาความเป็นไปได้ต่าง ๆ ไม่ว่าในกรณีใด เขาก็รู้ว่าการรักษาความสงบเป็นกุญแจสำคัญ
บางทีเขาอาจตื่นตระหนกในตอนแรก แต่หลังจากใจเย็นลง เขาตระหนักได้ว่าความสามารถในการปรับตัวคือการตอบสนองที่ดีที่สุดที่เขาควรแสดงออกมา
ด้วยเหตุนี้เอง เฟิงจือเฉียนจึงหยุดพูด
ตรงกันข้ามกับเขา ผู้หญิงอีกคนดูสงบตั้งแต่แรกเริ่ม เธอเปิดตาและปิดปากซึ่งทำให้เธอวางตัวอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า
เมื่อมองไปที่ผู้มาเยือนใหม่ เฒ่าเทียนก็นึกถึง 'ความตลกขบขัน' ของเขาในครั้งแรกที่เขามาที่นี่ และแสดงความคิดเห็นด้วยความอิจฉา
"ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะต้องประสบความสำเร็จบางอย่าง โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น"
“อีกไม่นาน พวกเขาจะรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน” อีกาทมิฬพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย
ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
การได้รับเลือกให้เป็นผู้เยี่ยมชมถือเป็นเรื่องโชคดีอย่างแน่นอน
ในขณะนั้นเอง ประตูเหล็กด้านบนก็เปิดออก