ตอนที่ 503 จักรกลโบราณ
ตอนที่ 503 จักรกลโบราณ
“สรุปแล้วพวกนายเป็นใครกันแน่?” เซี่ยเฟยถามอย่างจริงจัง
“พวกเราก็เป็นหุ่นยนต์น่ะสิถามมาได้!” มอร์โรว์ยังคงแสร้งทำเป็นสงบและตอบกลับไป
“พวกนายไม่มีทางเป็นหุ่นยนต์ธรรมดา เทคโนโลยีที่ใช้สร้างพวกนายขึ้นมาก้าวข้ามขีดจำกัดของอารยธรรมมนุษย์โบราณไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกนายอาจจะหลอกคนอื่นได้แต่คนคนนั้นไม่ใช่ฉัน”
“ในฐานะที่ฉันเป็นหนึ่งในมนุษย์เพียงแค่ไม่กี่คนในพันธมิตรที่ศึกษาเทคโนโลยีจากอารยธรรมโบราณ ฉันย่อมรู้ดีว่ามันยังไม่เคยมีวิทยาการเกี่ยวกับโลหะเหลวถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเลย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เมื่อได้ยินคำอธิบายมอร์โรว์กับวอร์สตาร์ก็หันมามองหน้ากันพร้อมกับบรรยากาศที่เริ่มตกอยู่ในความเงียบงัน
“บนตัวของวอร์สตาร์กับเทพธิดาผู้พิทักษ์มีเครื่องหมายที่เหมือนกับภูเขาหิมะ ซึ่งถ้าหากฉันเดาไม่ผิดบนตัวของมอร์โรว์กับเซียน่าก็น่าจะมีเครื่องหมายแบบเดียวกันนี้ด้วยใช่ไหม?”
“ตอนแรกที่ฉันได้พบกับเทพธิดาผู้พิทักษ์ฉันก็ได้รู้แล้วว่าระบบประมวลผลของเธอแตกต่างจากหุ่นยนต์โดยทั่วไปมาก โดยเฉพาะระบบความคิดเชิงตรรกะที่แตกต่างจากหุ่นยนต์โดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากนั้นฉันก็ได้พบกับพวกนายและได้เห็นอีกครั้งว่าระบบประมวลผลของพวกนายแทบที่จะมีคุณภาพเทียบเท่ากับเทพธิดา ซึ่งมันแตกต่างจากหุ่นยนต์ปกติมากเกินไปฎ
“อธิบายสั้น ๆ คือพวกนายทั้งสี่คนทั้งฉลาดและทรงพลังกว่าหุ่นยนต์ทั่วไปมาก ฉันเลยกล้าคาดเดาขึ้นมาได้ว่าพวกนายไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์” เซี่ยเฟยกล่าวเสริม
“ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของพวกเราได้เร็วขนาดนี้ เราไม่สามารถดูถูกความช่างสังเกตของคุณได้จริง ๆ” มอร์โรว์กล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนักท่ามกลางซากปรักหักพังที่เงียบงัน
“ใช่แล้ว พวกเราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นจากมนุษย์ แต่พวกเรามาจากเผ่าพันธุ์จักรกล ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่สาบสูญหายไปจากจักรวาลเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว” วอร์สตาร์สารภาพความจริงออกมา
“เผ่าพันธุ์จักรกล? เผ่าที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์เพียงอย่างเดียวงั้นเหรอ?”
“ใช่ ครั้งหนึ่งพวกเราเคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังในจักรวาล พวกเราเคยมีเทคโนโลยีและอารยธรรมเป็นของตัวเอง ซึ่งมีน้อยเผ่าพันธุ์นักที่จะสามารถก้าวข้ามผ่านเทคโนโลยีของเราได้”
“น่าเสียดายที่เมื่อพวกเราพัฒนาจนถึงขีดสุด เผ่าพันธุ์ของพวกเราก็เริ่มดึงดูดความสนใจของพวกผู้ใช้กฎและเพื่อที่จะต่อต้านนักสู้ที่ทรงพลังพวกนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องพัฒนาพลังพิเศษเทียมขึ้นมาใช้งาน”
“เทคโนโลยีที่นายใช้ควบคุมอากาศในก่อนหน้านี้ก็เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นใช่ไหม?” เซี่ยเฟยถาม
“ใช่ นอกเหนือจากเราจะพัฒนาพลังที่ใช้ในการควบคุมอากาศแล้ว เรายังพัฒนาพลังที่ใช้ในการควบคุมสิ่งต่าง ๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นไฟ, น้ำ, น้ำแข็งหรือไฟฟ้าต่างก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้เทคโนโลยีของพวกเราทั้งหมด”
“ในสายตาของผู้ใช้กฎเผ่าจักรกลได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างจากเผ่าพันธุ์อื่น ๆ โดยทั่วไป เพราะพวกเราไม่ได้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาแบบธรรมดา แต่พวกเรามีทั้งเทคโนโลยีและมีแม้แต่พลังพิเศษที่เราสามารถจำลองขึ้นมาได้” วอสตาร์กล่าว
“ถ้าเผ่าพันธุ์ของพวกนายมีเทคโนโลยีสูงขนาดนั้น แล้วพวกนายเคยลองสร้างยานไททันขึ้นมาก่อนไหม?” เซี่ยเฟยถาม เพราะท้ายที่สุดการสร้างยานไททันก็เป็นจุดหมายปลายทางของเขาในตอนนี้ และถึงแม้ว่าเขาจะมีพิมพ์เขียวของยานอยู่ในมือ แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจพิมพ์เขียวนั้นได้อย่างถ่องแท้
“ไม่ พวกเรากับเผ่ายู่หลานพัฒนาขึ้นมาเกือบจะพร้อม ๆ กัน แต่ยานไททันถูกคิดค้นขึ้นมาหลังจากที่เผ่าพันธุ์ของพวกเราถูกทำลายลงไปแล้ว” มอร์โรว์อธิบาย
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่มียานไททัน แต่พวกผู้ใช้กฎก็ยังคงเกรงกลัวเผ่าพันธุ์ของพวกเรามาก นั่นก็เพราะว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเรามีผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ”
“ท่านลินนิจคือราชาเผ่าพันธุ์จักรกลของพวกเรา เขาคือผู้สร้างเผ่าพันธุ์จักรกลขึ้นมาตั้งแต่ศูนย์จนทำให้พวกเรามีอารยธรรมโด่งดังไปทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งถ้าหากว่าไม่มีท่านลินนิจมันก็คงจะไม่มีเผ่าพันธุ์จักรกลถือกำเนิดขึ้นมาเช่นเดียวกัน”
“น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดี ๆ นั้นอยู่ได้เพียงแค่ไม่นาน เหล่าบรรดาผู้ใช้กฎพยายามจะเชิญชวนท่านลินนิจเข้าไปท่องเที่ยวในดินแดนของพวกเขาทั้ง ๆ ที่พวกผู้ใช้กฎรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านลินนิจเป็นผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย และทันทีที่ท่านลินนิจออกเดินทางจากเผ่าพันธุ์ไปยังดินแดนของผู้ใช้กฎ พวกเราก็ถูกปิดล้อมโดยพวกมันทันที”
“การต่อสู้ครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก แต่ไม่ว่าพวกเราจะพยายามต่อต้านมากแค่ไหน แต่เราก็ไม่สามารถที่จะต่อต้านการโจมตีของนักสู้ผู้ใช้กฎได้”
“พลังการต่อสู้ของนักรบผู้ใช้กฎเป็นพลังที่น่าทึ่งมาก แม้แต่การปล่อยคลื่นพลังของพวกเขาออกมาเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถที่จะทำลายกองกำลังของพวกเราทั้งกองทัพได้เลยทันที”
วอร์สตาร์เล่าขึ้นมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด และมันก็คงจะไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมว่านักรบผู้ใช้กฎเป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัวมากเพียงใด
“นอกจากนี้เผ่าพันธุ์ของพวกเราก็ยังมีขีดจำกัดในเรื่องของพลังงาน อย่างเช่น การต่อสู้ระหว่างคุณกับวอร์สตาร์ในวันนี้ แต่ในวันนั้นผลลัพธ์ออกมาเลวร้ายกว่านี้มาก มันจึงกลายเป็นวันที่เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมของพวกเรา” มอร์โรว์กล่าวอย่างไม่รู้ลืมคล้ายกับว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
“เมื่อเห็นว่าเผ่าพันธุ์กำลังจะสูญสลายฉัน, เซียน่าและมอร์โรว์ก็รีบนำเทพธิดาหลบหนีออกมาพร้อมกับหมู่ชนชั้นสูง ท้ายที่สุดเทพธิดาก็คือลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านราชา ดังนั้นถึงแม้เผ่าพันธุ์จะสูญสลายแต่เราก็ยอมเสียเธอไปไม่ได้”
“แน่นอนว่านักรบผู้ใช้กฎย่อมไม่ปล่อยพวกเราไป การไล่ล่าที่น่าสลดใจจึงได้เริ่มต้นขึ้น เหล่าบรรดาผู้เหลือรอดต่างก็พยายามต่อสู้กับผู้ใช้กฎที่ไล่ล่าพวกเราอย่างสุดชีวิต แต่ท้ายที่สุดมันก็เหลือเพียงแค่พวกเรา 4 คนที่รอดชีวิตกลับมาได้เท่านั้น” วอร์สตาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสลดใจ
คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะในตอนแรกเขาสามารถแยกความแตกต่างจากพวกเทพธิดาจากหุ่นยนต์ธรรมดาได้เท่านั้น แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องเผ่าพันธุ์จักรกลตั้งแต่สมัยโบราณ แล้วมันก็ยังเป็นเรื่องที่ผู้ใช้กฎเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอีกด้วย
“หลังจากพวกเราเร่ร่อนมานานพวกเราก็มาถึงพันธมิตรมนุษย์ในที่สุด ย้อนกลับไปในตอนนั้นพวกมนุษย์ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา แต่พวกเขาก็ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี พวกเราจึงช่วยแบ่งปันเทคโนโลยีการสร้างหุ่นยนต์ให้กับมนุษย์เช่นเดียวกัน” วอร์สตาร์กล่าวต่อ
“ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพธิดาถึงรู้สึกกังวลมากขนาดนั้น ที่แท้เธอก็เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับผู้ใช้กฎมาก่อนแล้วนี่เอง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยายามทำความเข้าใจตรรกะของเทพธิดา
“พวกเราทั้งสี่คนต่างก็มีแผลภายในใจด้วยกันทั้งนั้นแหละ พวกนักรบผู้ใช้กฎทรงพลังมากและพลังที่พวกเขาครอบครองก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถจินตนาการได้ง่าย ๆ” มอร์โรว์กล่าว
“แล้วทำไมพวกนายถึงไม่ลองสร้างหุ่นยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงเหมือนกับพวกนาย หลังจากเข้าร่วมกับมนุษย์ดูล่ะ?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ใช่ว่าเราไม่อยาก แต่พวกเราไม่มีเทคโนโลยีที่จะสร้างจักรกลแบบพวกเราได้ ฐานข้อมูลของเทพธิดายังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะเป็นลูกสาวของท่านลินนิจ แต่เธอก็ไม่รู้เทคโนโลยีหลักอย่างเทคโนโลยีโลหะเหลวหรือเทคโนโลยีการจำลองพลังพิเศษ”
“ท่านลินนิจต้องการที่จะให้ลูกสาวของเขามีความใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญามากที่สุด เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปรับปรุงระบบตรรกะความคิดของเธอ ดังนั้นเทพธิดาจึงมีความเป็นธรรมชาติใกล้เคียงมนุษย์มากกว่าพวกเรา”
“น่าเสียดายที่เรื่องอารมณ์เป็นโปรแกรมที่ยากที่สุดในการจัดการเข้าสู่ระบบ ความคิดส่วนใหญ่ของพวกเราจึงทำตามตรรกะมากกว่าและไม่สามารถใช้อารมณ์เข้ามาร่วมในการตัดสินใจได้” มอร์โรว์กล่าว
“พวกนายก็เป็นชนชั้นสูงในเผ่าจักรกลไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมพวกนายถึงไม่ได้เรียนรู้เทคโนโลยีระดับสูงมาจากราชาของพวกนายบ้าง?” เซี่ยเฟยกล่าว
“ที่พวกเรารอดชีวิตมาได้นั่นก็เพราะว่าพวกเราอ่อนแอต่างหาก” มอร์โรว์กล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ทำไมนายถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“ย้อนกลับไปในตอนที่พวกเราถูกไล่ล่าโดยพวกนักสู้ผู้ใช้กฎ เหล่าบรรดาจักรกลที่มีความสามารถที่แท้จริงต่างก็พยายามออกไปถ่วงเวลาผู้ใช้กฎเอาไว้ ส่วนสาเหตุที่ฉัน, วอร์สตาร์กับเซียน่าได้รับมอบหมายให้ปกป้องเทพธิดา นั่นก็เพราะว่าพวกเราคือจักรกลที่อ่อนแอที่สุด”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับแต่คำอธิบายนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกตกใจมากอยู่ดี เพราะถ้าหากว่าพวกวอร์สตาร์คือจักรกลที่อ่อนแอที่สุด เขาก็ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าจักรกลชั้นสูงที่แท้จริงจะมีพลังมากขนาดไหน
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมข้อมูลเกี่ยวกับหุ่นยนต์ที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยโบราณถึงไม่ได้มีการบันทึกถึงตัวตนของพวกเขา ที่แท้มันก็เป็นเพราะว่าพวกเขามาจากเผ่าพันธุ์จักรกลนี่เอง” เซี่ยเฟยกล่าวพึมพำขึ้นมาเบา ๆ
“นั่นคือสิ่งที่เทพธิดาขอพวกมนุษย์เอาไว้ เพราะพวกเราต้องการที่จะหลบภัยอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกผู้ใช้กฎได้รู้ว่าพวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกมันก็อาจจะตามมาไล่ล่าสังหารพวกเราอีกครั้ง”
“ต่อมาเผ่าพันธุ์ยู่หลานก็ได้พัฒนายานไททันขึ้นมาได้สำเร็จ และทำการมอบพิมพ์เขียวของไททันเอาไว้ให้กับมนุษย์ เพราะพวกเขาหวังว่ามนุษย์จะพยายามต่อต้านผู้ใช้กฎเช่นเดียวกันกับพวกเขา แต่ในเวลานั้นเทคโนโลยีของมนุษย์ยังล้าหลังมาก ฉันจึงปิดผนึกพิมพ์เขียวของไททันและซ่อนมันเอาไว้”
“หลายปีต่อมามนุษย์เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาก็ต้องการที่จะขุดค้นหาพิมพ์เขียวของไททัน แน่นอนว่าแม้เทพธิดาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะโน้มน้าวผู้นำของมนุษย์ในช่วงเวลานั้นได้”
“เทพธิดารู้ดีว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์ต่อไป ซึ่งหลังจากที่เธอใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานในที่สุดเธอก็ตัดสินใจทำลายอารยธรรมมนุษย์ลงด้วยน้ำมือของตัวเอง โดยหวังว่าวันหนึ่งมนุษย์จะฟื้นฟูอารยธรรมขึ้นมาและไม่ต้องลงเอยด้วยการถูกกวาดล้างเผ่าพันธ์ุเหมือนกับที่เผ่าพันธ์ุจักรกลต้องพบเจอ”
“จากนั้นเทพธิดาก็อพยพหุ่นยนต์ทั้งหมดมายังดินแดนแห่งความลับแห่งนี้ด้วยความรู้สึกผิด และเธอก็ได้กักขังตัวเองเอาไว้อย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงวันนี้ที่เธอได้พบกับคุณ” มอร์โรว์กล่าว
“ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์, จักรกลและหุ่นยนต์ซับซ้อนมากเกินไปจริง ๆ นี่มันต่างจากเรื่องในตำนานที่เราเคยได้ยินมาคนละเรื่องเลย” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
ทันใดนั้นเองฮามิก็เดินกลับมาพร้อมกับขนอุย ซึ่งทั่วทั้งร่างของเจ้าตัวเล็กก็เต็มไปด้วยทรายสีดำแล้วมันก็กำลังมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่ไม่พอใจ
แน่นอนว่าฮามิย่อมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์จักรกลเช่นเดียวกัน ซึ่งในสายตาของเขาไม่ว่าจะเป็นวอร์สตาร์หรือเทพธิดาต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นหุ่นยนต์ไม่ต่างไปจากตัวเอง
“เอาล่ะตอนนี้เซียน่าพยายามจะทำสงครามระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์อีกครั้ง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พวกนายไม่ต้องการจะเห็นอีกครั้งใช่ไหม? พวกเรามาปิดการทำงานของเซียน่ากันก่อนดีกว่า หลังจากนั้นพวกเราค่อยมาคุยกันว่าเราจะทำยังไงต่อไปในอนาคต” เซี่ยเฟยกล่าว
ทั้งวอร์สตาร์และมอร์โรว์ต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ฉันมีวิธีค้นหาร่างของเซียน่า แต่ก่อนอื่นเราต้องหายานลำนั้นให้เจอเสียก่อน” มอร์โรว์กล่าว
“ยานอะไร?” ฮามิถามด้วยความสับสน
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แน่นอนว่ายานอวกาศที่พวกมอร์โรว์ต้องการจะหาก็คงจะเป็นยานอวกาศที่นำพาพวกเขาให้หนีรอดมาจากการทำลายเผ่าพันธุ์จักรกล
“โอเค พวกเราไปที่ยานลำนั้นกันเถอะ” วอร์สตาร์กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
***************
เรื่องผู้ใช้กฎชักเยอะเข้ามาทุกที เห็นแก่ตัวสุดๆเลยเน๊าะ!