ตอนที่ 502 พลังของไดมอนด์ชิฟท์
ตอนที่ 502 พลังของไดมอนด์ชิฟท์
“ไดมอนด์ชิฟท์!”
“หยุด!”
จู่ ๆ สภาพแวดล้อมก็ตกอยู่ภายใต้ความมืดครึ้ม พร้อมกับดาบดราก้อนสเกลเริ่มเรียงตัวกันเป็นรูปทรงต่าง ๆ ในอากาศ
รูปทรงแต่ละรูปที่ปรากฎขึ้นมาต่างก็ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รูปทรงบางรูปเป็นรูปทรงกลม, รูปทรงบางรูปเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส, รูปทรงบางรูปเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน และรูปทรงที่ดูอันตรายที่สุดก็คือรูปทรงที่ดูเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
อย่างไรก็ตามการจู่โจมของเซี่ยเฟยกลับเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ราวกับว่ามันถูกแช่แข็งอยู่ในอากาศ ซึ่งใบหน้าของชายหนุ่มก็เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเซียวเหมือนกับเขาจำเป็นจะต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทำให้ดาบดราก้อนสเกลเคลื่อนไหวไปข้างหน้า
เซี่ยเฟยก็ไม่รู้ว่าวอร์สตาร์ทำอะไรลงไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนกับอากาศถูกแช่แข็งจนทำให้เขาแทบจะไม่สามารถทำการเคลื่อนไหวใด ๆ ได้
องค์ประกอบพื้นฐานของสสารคือโมเลกุล และความสามารถของวอร์สตาร์ก็คือการจัดการกับโมเลกุลในอากาศรอบ ๆ ตัวของมันได้
เมื่อโมเลกุลพวกนี้ถูกสั่งให้หยุดการเคลื่อนไหว ไม่เพียงแต่ไดมอนด์ชิพท์จะไม่สามารถเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้เท่านั้น แต่แม้แต่ตัวของเซี่ยเฟยเองก็ตกอยู่ในสภาวะหายใจไม่ออกด้วยเช่นกัน
ในไม่ช้าใบหน้าของเซี่ยเฟยก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว โดยสภาวะการขาดออกซิเจนก็เริ่มส่งผลกระทบต่อสมองและระบบไหลเวียนโลหิตภายในร่างกายของเขาทีละน้อย
เซี่ยเฟยสามารถตระหนักได้ในทันทีว่าวอร์สตาร์ได้ใช้การควบคุมที่แม่นยำในการจัดการกับอากาศบริเวณรอบ ๆ ตัวของเขา ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ทำให้เขาค่อย ๆ ตายลงอย่างช้า ๆ และถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่การโจมตีที่อลังการแต่มันก็เป็นวิธีที่ทารุณมาก
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ วอร์สตาร์ก็ถอนหายใจพร้อมกับเดินเข้าหาชายหนุ่มอย่างช้า ๆ จากนั้นแขนของเขาก็ถูกแปรสภาพกลายเป็นเหล็กแหลม 2 อัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือได้ว่าเป็นความสำคัญของโลหะเหลวที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้ตามแต่ใจที่ผู้ควบคุมต้องการ
สถานการณ์ดำเนินไปจนถึงจุดวิกฤตที่สุดแล้ว แต่ถึงกระนั้นเซี่ยเฟยก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ยกรอยยิ้มขึ้นอย่างฉับพลันราวกับว่าเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ซึ่งในทันใดนั้นร่างกายของเขาก็หลุดออกมาจากพันธนาการ พร้อมกับไดมอนด์ชิพท์ในอากาศที่เริ่มหมุนควงด้วยความรวดเร็ว
วอร์สตาร์ผงะออกไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะกางแขนออกเพื่อเริ่มควบคุมความหนาแน่นในอากาศอีกครั้ง ซึ่งในเวลาเพียงแค่พริบตาแรงดันในอากาศก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างกายถูกกดทับอย่างรุนแรง
แม้ว่าการเคลื่อนไหวของวอร์สตาร์ในครั้งนี้จะทำให้เซี่ยเฟยเคลื่อนที่ช้าลงได้ แต่มันก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดความมุ่งมั่นของชายหนุ่มคนนี้เอาไว้ได้
พลังจิตถูกป้อนเข้าสู่ไดมอนด์ชิพท์ในอากาศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดาบดราก้อนสเกลหมุนตัวรวดเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับแสงสว่างที่เริ่มเปล่งประกายออกมาเช่นเดียวกัน จนมันเริ่มกลายเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ ที่ส่องแสงสว่างออกมาอย่างแพรวพราว
ในที่สุดหลังจากพวกมันสะสมพลังได้มากพอ การโจมตีด้วยรูปทรงต่าง ๆ ก็เริ่มพุ่งเข้าหาวอร์สตาร์อย่างต่อเนื่อง
ปัง ปัง ปัง!
นี่คือพลังที่แท้จริงของวิชาลับพลังจิตขั้นที่ 6 ไดมอนด์ชิฟท์ ซึ่งมันเป็นการระดมจู่โจมออกไปเป็นชุด ๆ ราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ
การจู่โจมรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการจู่โจมวงกว้างเท่านั้น แต่มันยังสามารถใช้ในการระดมจู่โจมเข้าใส่เป้าหมายเดี่ยวได้อีกด้วย
ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านร่างของวอร์สตาร์ไป ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปแค่ไม่นาน ร่างของสุดยอดหุ่นยนต์นักรบก็ถูกกลืนเข้าไปในแสงสว่างอย่างสมบูรณ์
ไดมอนด์ชิฟท์เคลื่อนที่ตามข้อมือของเซี่ยเฟย ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ทำการขยับมันไปทุกที่และทุกครั้งที่มันเคลื่อนที่ผ่านอะไรไป มันก็จะหลงเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ซากปรักหักพังที่ถูกทำลาย
เศษฝุ่นสีดำปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า ขณะที่เซี่ยเฟยนั่งหอบอยู่บนพื้นอย่างหนัก ท้ายที่สุดการพยายามฝืนใช้ไดมอนด์ชิฟท์อย่างต่อเนื่องก็กินพลังงานพลังจิตภายในร่างของเขามากเกินไป ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจจนเหมือนจะหมดแรง
โลหะบนพื้นค่อย ๆ รวมตัวกันกลายเป็นร่างของวอร์สตาร์อีกครั้ง ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแต่ถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
แม้ว่าการจู่โจมอันทรงพลังของไดมอนด์ชิพท์จะสามารถทำลายร่างของวอร์สตาร์ให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำลายโลหะเหลวเหล่านี้ได้ เพราะท้ายที่สุดมันก็คือวิทยาการที่อยู่เหนือเกินกว่าความเข้าใจของเขามากเกินไป
“ฉันแพ้แล้ว” วอร์สตาร์กล่าวพร้อมกับชี้ไปที่แถบพลังงานของตัวเอง ซึ่งแต่เดิมมันมีแถบพลังงานอยู่ทั้งหมด 10 แถบ แต่ในตอนนี้มันเหลือแถบพลังงานอยู่เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งแถบ
“ฉันได้ใช้พลังทั้งหมดเพื่อยับยั้งการโจมตีของคุณแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่สามารถระงับการจู่โจมในครั้งนั้นได้ ถ้าหากว่าฉันยังคงต่อสู้ต่อไปฉันจะไม่สามารถเปลี่ยนร่างกลายเป็นของเหลวได้อีกต่อไป ซึ่งในตอนนั้นฉันก็คงจะถูกทำลายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเบา ๆ เพราะท้ายที่สุดเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากจนเกินไป
กลอริฟายเป็นการจู่โจมขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน แต่มันก็ยังไม่ได้มีความแม่นยำและต่อเนื่องเหมือนกับไดมอนด์ชิฟท์ ซึ่งมันอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าไดมอนด์ชิพท์คือพลังที่พัฒนาขึ้นมาจากกลอริฟาย และถึงแม้ว่ามันจะมียานรบมาขวางอยู่ตรงหน้า แต่เซี่ยเฟยก็สามารถที่จะใช้ไดมอนด์ชิฟท์ทำลายยานรบลำนั้นหลงได้ง่าย ๆ
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าฉันสามารถหยุดการโจมตีของคุณเอาไว้ได้ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะพยายามอย่างเต็มที่แต่ฉันก็ไม่สามารถที่จะหยุดพลังนั้นเอาไว้ได้จริง ๆ ดูเหมือนว่าเมื่อการโจมตีของคุณเริ่มหมุนพลังงานกลภายในการจู่โจมของคุณก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเมื่อมันมีความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นมันก็กลายเป็นการโจมตีที่ไม่สามารถที่จะหยุดได้อีกต่อไป” วอร์สตาร์กล่าว
“อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันใช้วิชาการโจมตีนี้ออกมา และฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเขินอายขณะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น
วอร์สตาร์ถึงกับรู้สึกปวดหัวไปชั่วขณะ เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้พ่ายแพ้ให้กับการโจมตีที่เซี่ยเฟยไม่เคยใช้ออกมาก่อนแบบนี้
ถ้าหากเซี่ยเฟยคุ้นเคยกับการโจมตีเมื่อสักครู่เป็นอย่างดี เขาย่อมสามารถแสดงพลังทำลายออกมาได้มากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
หลังจากเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเซ็ง ๆ วอร์สตาร์ก็เดินกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่เขาเคยนั่งชาร์จพลังงาน เพราะในขณะนี้พลังงานภายในร่างของเขากำลังจะหมดลงแล้ว เขาจึงจำเป็นจะต้องเติมพลังงานกลับเข้าไปในทันที ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือได้ว่าเป็นข้อบกพร่องสำคัญสำหรับหุ่นยนต์ทุกตัว
“พลังพิเศษของนายคืออะไรกันแน่? ฉันพอจะเดาว่ามันเป็นเทคโนโลยีแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำให้นายควบคุมอากาศได้ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างสงสัย
“แน่นอนว่าหุ่นยนต์ย่อมใช้พลังพิเศษออกมาเหมือนมนุษย์ไม่ได้ แต่พวกเราก็มีเทคโนโลยีที่พอจะเลียนแบบพลังที่เหมือนกับพลังพิเศษขึ้นมาได้บ้าง สิ่งที่ฉันทำคือการควบคุมโมเลกุลในอากาศโดยการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปจากร่างกาย”
“แต่น่าเสียดายที่มันเป็นพลังงานที่กินพลังงานมากเกินไป ดังนั้นหลังจากที่ฉันใช้มันในการต่อสู้เพียงแค่ไม่กี่นาที มันก็ทำให้พลังงานภายในร่างของฉันถูกสูบออกไปจนเกือบจะหมดแล้ว” วอร์สตาร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ท้ายที่สุดเขาก็ได้ตกลงกับเซี่ยเฟยไว้แล้วในก่อนหน้านี้ว่า ถ้าหากเขาพ่ายแพ้เขาจะต้องเชื่อฟังคำขอของชายหนุ่มทุกอย่าง วอร์สตาร์จึงเปิดเผยความลับเบื้องหลังพลังพิเศษของเขาออกไปโดยไม่คิดที่จะปิดบังความลับนั้นเอาไว้แม้แต่นิดเดียว
จู่ ๆ วอร์สตาร์ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะท้ายที่สุดความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับหุ่นยนต์นั้นก็คือความขัดแย้งทางตรรกะ ด้วยเหตุนี้เองเมื่อหุ่นยนต์มีความคิดเหมือนมนุษย์มากเท่าไหร่ หุ่นยนต์พวกนั้นก็จะเริ่มตัดสินใจอย่างขัดแย้งกับความคิดของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
แต่ในตอนนี้วอร์สตาร์จำเป็นจะต้องทำตามคำสั่งของเซี่ยเฟยเท่านั้น ระบบประมวลผลภายในร่างของเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องทำงานอีกต่อไป ซึ่งเรื่องนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ที่แท้มันก็คือเทคโนโลยีที่เอาไว้จำลองพลังพิเศษนี่เอง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
ในเวลาเดียวกันมอร์โรว์, ฮามิและขนอุยที่หลบออกไปนอกระยะการต่อสู้ก็ได้กลับเข้ามาหาพวกเขาทั้งสองคน ขนอุยจึงรีบกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเซี่ยเฟยพร้อมกับกรอกตาไปที่วอร์สตาร์ราวกับว่ามันต้องการจะสื่อว่า
“เป็นไงล่ะ! เจ้านายของฉันแข็งแกร่งใช่ไหมล่ะ”
“มันเป็นการทดลองที่วิเศษมาก ฉันไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” มอร์โรว์กล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
ฮามิก็รู้สึกตื่นเต้นกับการต่อสู้เช่นเดียวกัน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากนักและยังคงนั่งฟังทุกคนพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ
“ฉันยินดียอมรับความพ่ายแพ้ คุณสั่งการมาได้เลยว่าจะให้ฉันทำอะไรต่อไป?”
“ฉันต้องการปิดการทำงานของเซียน่าลง และให้เทพธิดาผู้พิทักษ์กลับมาควบคุมหุ่นยนต์ทั้งหมดอีกครั้ง” เซี่ยเฟยกล่าว
“ฉันจะช่วยคุณตามหาเธอเอง ท้ายที่สุดเธอกับฉันก็เป็นหุ่นยนต์สำหรับการต่อสู้เหมือนกัน แม้ว่ามันจะมีรายละเอียดแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตาม” วอร์สตาร์กล่าวก่อนที่เขาจะถามขึ้นมาว่า
“ฉันไม่ได้เจอกับเทพธิดามานานแล้ว ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”
เซี่ยเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะฉายภาพวิดีโอที่เขาพูดคุยกับเทพธิดาผู้พิทักษ์ให้ทุกคนได้ดู
“คุณพูดกับเทพธิดาแบบนี้ได้ยังไง... มันไม่ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยงั้นเหรอ?” มอร์โรว์อุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจหลังจากที่เขาได้ดูวิดีโอจนจบ
วอร์สตาร์กับฮามิก็จ้องไปที่เซี่ยเฟยเช่นเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดในโลกของหุ่นยนต์พวกเขาก็ให้ความนับถือเทพธิดาผู้พิทักษ์อยู่ในระดับสูงสุด อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยกลับกล้าที่จะต่อว่าเทพธิดาของพวกเขาอย่างเลือดเย็น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่หุ่นยนต์พวกนี้จะยอมรับการกระทำของเซี่ยเฟยไม่ได้
ชั่วขณะหนึ่งนั้นเซี่ยเฟยก็ตกเป็นเป้าหมายสายตาของทุกคน แน่นอนว่าทุกสายตาที่กำลังจ้องมองมาที่เขาในเวลานี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“ปกติแล้วมันมีวิธีการดึงสติคนกลับมาอยู่ 3 วิธี วิธีการแรกคือการพูดเหตุผลให้คนคนนั้นฟัง วิธีการที่ 2 คือหาวิธีช่วยให้คนคนนั้นแก้ไขความสับสน ส่วนวิธีการสุดท้ายก็คือการด่าคนคนนั้นซะ ให้เขาสำนึกผิดจนได้สติกลับคืนมา” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่ จากนั้นเขาก็อธิบายต่อไปว่า
“วิธีการแรกฉันไม่สามารถทำกับเทพธิดาผู้พิทักษ์ได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่สับสนมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนวิธีการที่ 2 ฉันก็ทำไม่ได้ด้วยเหมือนกัน เพราะเทพธิดาดื้อรั้นมากและคงจะไม่มีทางรับฟังวิธีการจากฉันอย่างแน่นอน ฉันเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องใช้ทางเลือกที่ 3 เพื่อทำให้เธอได้สติกลับคืนมา”
“เรื่องนี้มันจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!” วอร์สตาร์กล่าวขึ้นมาอย่างโกรธเคือง
“ความคิดเชิงตรรกะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไปหรอกนะ นายเคยนับไหมว่านายเคยมีความคิดขัดแย้งกับระบบตรรกะมาแล้วกี่ครั้ง?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
วอร์สตาร์ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาสำหรับหุ่นยนต์อัจฉริยะอย่างพวกเขามาเป็นเวลานาน
“มนุษย์คนนี้เป็นพวกไม่ทำอะไรตามสามัญสำนึกสินะ” มอร์โรว์พึมพำขึ้นมาเบา ๆ
“พอดีว่าสัตว์เลี้ยงของฉันชอบที่จะออกไปเดินเล่น นายช่วยพามันออกไปเดินเล่นหน่อยจะได้ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวพลางเหลือบสายตามองไปทางฮามิ
ฮามิลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบขนอุยออกไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นมันก็เดินนำขนอุยออกไปเดินเล่นตามคำสั่งของเซี่ยเฟย แน่นอนว่าใบหน้าของขนอุยย่อมเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เพราะมันชอบอยู่เฉย ๆ ไม่เคยชอบออกไปเดินเล่นเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะตอนนี้พวกเรามาพูดเรื่องของพวกนายกันดีกว่า” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจังหลังจากที่ฮามิเดินออกไปในระยะไกล
“พูดเรื่องอะไร?”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด พวกนายทั้งสองคนไม่ใช่หุ่นยนต์ธรรมดาใช่ไหม?”
ช็อก!
โคตรช็อก!
วอร์สตาร์กับมอร์โรว์เบิกตากว้างอ้าปากค้างขึ้นมาด้วยความตกใจ จากนั้นพวกเขาต่างก็มองไปยังเซี่ยเฟยด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
***************
อะไรอีก?! ไม่ใช่หุ่นยนต์ธรรมดาหมายความว่าไงงงงงงงง