นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 164 - แก่นพันธุกรรม
ชื่อ : เดวิด ซินเทค
อายุ : 17
เพศ : ชาย
คู่มือการฝึก : เพลิงไร้ลักษณ์ (ขั้นตอนที่ 3 [คู่มือการฝึกระดับสีดำขั้นสูง][ขั้นสูงสุด : เทอร์โมไดนามิค])
ทักษะการต่อสู้ : ท่าเท้า 3 ชั้น (ระดับสีแดงขั้นต่ำ [ไม่เปิดเผย]) เพลิงพิโรธ (ระดับสีดำขั้นสูง [ขั้นสมบูรณ์ : เพลิงโลหิตพิโรธ]) ลูกเตะพายุหมุน (ระดับสีดำขั้นต่ำ [ขั้นสมบูรณ์ : พายุคลั่ง])
การหมุนเวียนของเลือด : 199 รอบต่อนาที
ระดับการปนเปื้อน : 10 หน่วยรังสี
ข้อมูลส่วนตัวของเขาแสดงรายละเอียดออกมาให้เห็น เดวิดรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก 199 รอบต่อนาที? มันเป็นอัตราหมุนเวียนเลือดที่สูงมาก เมื่อคิดถึงระยะเวลาที่เขาเข้ามาเรียนในสถาบันแห่งนี้ แม้แต่นักเรียนพรสวรรค์ระดับ 5 ดาว ก็อาจจะไม่สามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักแค่เพียง 2 เดือน นี่เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความอัจฉริยะในการฝึกฝนของเดวิดได้เป็นอย่างดีทีเดียว
แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังจะเจอเข้ากับสภาวะคอขวดอีกครั้ง และมันน่าจะสภาวะเหนี่ยวรั้งที่หนักหนามากกว่าคราวที่แล้วเป็นเท่าตัวเลยด้วยซ้ำ เดวิดรับรู้ได้! เขารับรู้ความรู้สึกแบบนี้ผ่านกล้ามเนื้อหัวใจ และเลือดที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย มันกำลังจะถึงขีดจำกัดอีกครั้ง และต้องใช้การระเบิดพลังอย่างมหาศาลเพื่อทำลายขีดจำกัดนี่ขึ้นไป เดวิดไม่แน่ใจว่าการใช้เซรั่มจะช่วยให้ตัวเองทะลวงคอขวดในครั้งนี้ขึ้นไปได้หรือไม่ บางทีเขาอาจจะต้องยอมลงทุนใช้เซรั่มระดับสูงดู
หลังจากนั้น สีหน้าประหลาดใจของเขาก็กลายเป็นงุนงง เอ่ยถามขึ้นมาทันทีตามสัญชาตญาณ “ระดับการปนเปื้อนคืออะไร?”
“มันคือระดับการดูดซับรังสีหรือสารปนเปื้อนเข้าไปในร่างกายจนถึงปัจจุบัน ตามปกติแล้ว ถ้าระดับการปนเปื้อนสูงถึง 50 หน่วยรังสี ร่างกายของนายจะเริ่มเปลี่ยนแปลง มันจะเริ่มกลายพันธุ์อย่างควบคุมไม่ได้ ถ้านายไม่เสียชีวิต ก็จะกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปในท้ายที่สุด” เฮเซลให้ข้อมูล แต่ไม่วายที่จะกล่าวขู่ออกมาในตอนสุดท้าย
และนั่นมันค่อนข้างจะได้ผล มันทำให้เดวิดถึงกับผงะ “อ-อะไรนะ? กลายพันธุ์เหรอ? แล้วทำใมฉันถึงได้ถูกปนเปื้อนมา 10 หน่วยแล้วล่ะ?” เขารีบถามออกมาเพื่อความแน่ชัดทันที
“อืม? ถ้าจะให้จำแนกอย่างชัดเจน 0.4 หน่วยมาจากอากาศที่นายหายใจเข้าไปตั้งแต่ลงมาที่นี่ การต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ผ่านมาทั้งหมด น่าจะทำให้นายรับสิ่งปนเปื้อนเข้าไปอีก 3.5 หน่วยรังสี การดูดซับลูกแก้วจีโนมเข้าไปทำให้นายปนเปื้อน 1.1 หน่วยรังสี อีก 5 หน่วยที่เหลือนายเพิ่งได้รับมาจากการต่อสู้กับไก่ 4 ปีกตัวนี้ รวมทั้งหมดแล้วก็เท่ากับ 10 หน่วยรังสีพอดี” เฮเซลแจกแจงอย่างอารมณ์ดี
ข้อมูลที่เขาเพิ่งได้รับ ทำให้เดวิดต้องสบถคำหยาบคายออกมา ก่อนจะบ่นพึมพำอยู่คนเดียว “ให้ตายสิ! แค่สู้กับพวกกลายพันธุ์ไม่กี่ตัวก็ปนเปื้อน 3.5 หน่วยแล้ว ส่วนเจ้าไก่หน้าโง่นี้ก็ส่งรังสีอะไรบ้า ๆ มาให้ฉันตั้ง 5 หน่วย แล้วต่อไปต้องทำตัวยังไงล่ะ? ถ้าเจอพวกมันอีกคงต้องหลบอย่างเดียวแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะอยู่ไม่จบการแข่งขันแน่”
เมื่อได้พักจนมีแรงแล้ว เดวิดก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น และขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ ๆ ซากที่ไร้ลมหายใจของไก่ 4 ปีก เงยหน้าขึ้นมองไปบนเพดาน พยายามหาช่องว่างเพื่อจะกลับขึ้นไปทางด้านบน ในเมื่อเจ้าไก่โชคร้ายนี่ขุดลงมาถึงที่นี่ได้ แสดงว่าเขาก็ไม่ต้องดำดินกลับขึ้นไปแล้ว
เดวิดหาช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่ข้างลำคอเจอจนได้ การดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดของมันทำให้รูโหว่นี้ขยายตัวออกรอบทิศทางเลยทีเดียว แต่เมื่อเขาผ่านขึ้นไปได้แล้ว เดวิดก็ต้องยืนตกตะลึงกับขนาดตัวที่ใหญ่โตมโหฬารของเจ้าไก่ 4 ปีกตัวนี้ เขาตั้งใจจะเก็บลูกแก้วจีโนมจากซากของมันไปด้วย และมันน่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาลูกแก้วขนาดเล็กนั่นจากซากที่ใหญ่ขนาดนี้
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก หยิบเอาอาวุธคู่มือของตัวเอง ‘หางของงูบินด้ายทอง’ ออกมา ก่อนจะแทงลงไปที่ช่วงท้องอย่างแรง หมายจะกรีดเปิดช่องท้องของเจ้าไก่ยักษ์ตัวนี้ออก แต่ผลที่ได้กลับทำให้เดวิดต้องแสดงสีหน้าที่ผิดหวังออกมาอย่างแรง
หางที่คมกริบและไม่เคยทำให้เดวิดผิดหวังมาก่อน ไม่สามารถแทงทะลุผ่านผิวหนังของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับสีน้ำตาลเข้าไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว เขาได้แต่ยืนครุ่นคิดอยู่นิ่ง ๆ กำลังตัดสินใจที่จะทิ้งมันไปเลยดีหรือไม่ ถ้าเขาไม่สามารผ่าซากได้ ก็ไม่เหลือวิธีที่จะควาญหาลูกแก้วนั่นแล้ว
ในขณะที่เขากำลังยืนงงอยู่นั้น ในสมองก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของเฮเซลดังขึ้น “เฮ้อ! สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับสีน้ำตาลไม่สร้างชิ้นส่วนจีโนมเป็นลูกแก้วออกมาจากเลือดของมันหรอก มันสร้างออกมาเป็น ‘แก่นพันธุกรรม’ แทน แน่นอนมันยังเป็นชิ้นส่วนจีโนมที่มีข้อมูลทางพันธุกรรมอย่างครบถ้วนเหมือนกับลูกแก้วจีโนม แต่ด้วยสารตั้งต้นที่แตกต่างออกไป ทำให้แก่นพันธุกรรมนี้มีเซลล์พันธุกรรมที่แข็งแรงมาก รวมทั้งยังมีพลังงานสะสมอยู่ในนั้นอย่างมหาศาลอีกด้วย นายไม่ต้องคิดที่จะดูดซับมันเข้าไปในร่างกายอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นนายได้ตัวระเบิดตายแน่ ฉันรับรองเรื่องนั้นได้เลย อย่าคิดว่าความสามารถแปลก ๆ ของนายจะช่วยในเรื่องนี้ได้ ก่อนที่พลังพวกนั้นจะกลายเป็นของนายอย่างสมบูรณ์ นายไม่มีทางควบคุมมันได้เลย และมันจะฆ่านายให้ตายได้ในระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น” เธอเป็นฝ่ายบอกข้อมูลออกมาเองในครั้งนี้ พร้อมกับคำเตือนที่กล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
เดวิดยังไม่ได้สนใจกับข้อมูลส่วนอื่น เขาถามกลับไปด้วยเสียงที่เข้มต่ำ “เธอรู้เรื่องความสามารถของฉันอย่างนั้นหรือ?” ถึงแม้ว่าจะระแวงอยู่แล้ว ว่าความสามารถของตัวเองคงจะไม่ใช่ความลับที่ปิดบังเฮเซลได้ แต่เดวิดก็ไม่เคยคิดที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวถึง เขาไม่นึกเหมือนกันว่าเธอจะกล่าวออกมาก่อนอย่างนี้
“แล้วเธอคิดจะทำอะไรกับข้อมูลนี้? ส่งมันให้สถาบัน?” เดวิดถามต่อออกไปด้วยน้ำเสียงเดิม สีหน้าของเขากลายเป็นเรียบเฉย
ถ้าเฮเซลส่งข้อมูลให้เข้าระบบของทางสถาบัน ก็อาจจะได้รับรางวัลกลับมาไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากที่ AIพัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองขึ้นมาแล้ว ทางสถาบันจะปฏิบัติต่อพวกมันแตกต่างจาก AI ธรรมดาไม่น้อย จะมีการกำหนดรางวัลตอบแทนในการทำประโยชน์เอาไว้ด้วย มันมีตั้งแต่ย้ายหน่วยความทรงจำหลักของ AI ตัวนั้นเข้าไปไว้ในหุ่นยนต์ธรรมดา จนถึงการการย้ายเข้าไปในหุ่นยนต์พิเศษที่สร้างด้วยผิวหนังสังเคราะห์ ซึ่งจะทำให้มันสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ 0.2% ของผิวหนังมนุษย์จริง แม้ว่ามันจะฟังดูไม่มากนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ AI ที่พัฒนาบุคลิกภาพแล้วทุกตัวต้องการ มันจะมีประโยชน์ในการพัฒนาตัวเองต่อไปเป็นอย่างมาก
แม้ว่ามันจะเป็นรางวัลที่มีมูลค่าสูง แต่เดวิดคิดว่าข้อมูลตัวเองน่าจะทำให้เฮเซลได้รับมันมาได้อย่างสบาย ๆ
“นั่นคือหนึ่งในทางเลือกที่เป็นไปได้! แต่ฉันคงจะไม่ทำอย่างนั้น เพราะนายสั่งให้ฉันเก็บเป็นความลับเอาไว้ และขอบอกออกมาตามตรงว่า ถ้านายยอมส่งข้อมูลเรื่องนี้เข้าระบบ และยอมอุทิศตัวเป็นวัตถุดิบในการทดลอง ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติเป็นอย่างมาก จากการคำนวณของฉัน มันน่าจะมีโอกาสมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ที่สไปรเยอร์ทั้งหมดจะเลียนแบบความสามารถนั้นได้ 20 เปอร์เซ็นต์ และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มนุษยชาติแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก การต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์จะกลายเป็นเรื่องง่าย และสามารถจบการต่อสู้อันยาวนานนี้ได้ในระยะเวลาไม่ถึง 100 ปีต่อจากนี้” เสียงของเฮเซลแฝงด้วยความสงสัยอยู่เล็กน้อยเมื่อเธอกล่าวเรื่องพวกนี้ออกมา
“ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่การทดลองทั้งหมดเสร็จสิ้นลง นายจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำการต่อสู้อีก มันจะเป็นชีวิตที่ปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงชีวิต ไม่ต้องฆ่าฟัน สามารถอยู่อย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ?”
เดวิดตอบกลับด้วยเสียงคำรามทันที “เธอรู้มั้ยว่าตัวเองพูดอะไรออกมา? เธอนึกว่าตัวเองคิดแทนมนุษย์ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? ผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ ความโลภและความกระหายอำนาจของมนุษย์เป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันจะเข้าใจได้ง่าย ๆ อย่าทำตัวไร้เดียงสาขนาดนั้นสิ
ลองใช้ ‘สมอง’ อันปราดเปรื่องของเธอลองคำนวณความเป็นไปได้เรื่องนี้ดูด้วยสิ ความเป็นไปได้ที่หลังจากการทดลองเสร็จสิ้นแล้ว บรรดาผู้มีอำนาจอยู่ในมือจะยังปล่อยให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไป มีโอกาสอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ที่พวกเขาจะปล่อยให้คนที่มีศักยภาพในการท้าทายอำนาจของพวกเขาให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้? นี่เป็นคำสั่งเด็ดขาด เก็บเรื่องความสามารถของฉันไว้เป็นความลับ และไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมาให้ได้ยินอีก” น้ำเสียงของเดวิดนั้นเย็นชาเป็นอย่างมาก
และคำพูดของเขาทำให้เฮเซลนั้นเงียบลงไปทันที... เดวิดไม่ได้สนใจเธออีก และกระโดดผ่านรูโหว่บนเพดานกลับลงไปในห้องใต้ดินอีกครั้ง!