ตอนที่ 4162 : จักรพรรดิอริยะเทพไร้สังกัด
ตอนที่ 4162 : จักรพรรดิอริยะเทพไร้สังกัด
ชายหนุ่มไม่ได้ขุ่นเคืองใจ เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมยของต้วนหลิงเทียน เขาแค่ถอนหายใจออกมาและพูดขึ้น “ใครจะไปคิดว่าคนแข็งแกร่งเช่นท่านโม่จะตาย ? จากที่ข้ารู้มา มีจักรพรรดิเทพขั้นสูงไร้สังกัดเพียงสองคนเท่านั้นในตระกูลจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ทัดเทียมกับเขา...”
ชายหนุ่มเงียบไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นต่อ “จากที่ข้าได้ยินมา 1 ใน 2 ยอดฝีมือที่เทียบกับท่านโม่ได้อย่างจงไป่หนานก็ตายไปเช่นกัน ดูเหมือนว่าหากยอดฝีมืออีกคนคิดจะแข่งเพื่อแย่งตำแหน่งผู้นำมณฑลชั่วคราว เขาคงชนะอย่างแน่นอน....”
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจคำพูดของชายหนุ่มคนนี้ แต่ส่วนสุดท้ายของคำพูดชายหนุ่มก็ทำให้เขาสนใจขึ้นมา เขาได้ถามขึ้น “ยอดฝีมืออีกคนแกร่งเพียงใดกัน ? แกร่งกว่าจงไป่หนานหรือไม่ ?”
...
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ข้าไม่คิดเช่นนั้น ในอดีตเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าท่านโม่เลย แต่หลายคนบอกว่าเขาอ่อนแอกว่าท่านโม่ แม้ว่าจะเป็นความจริง แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอกว่ามากนัก”
ต้วนหลิงเทียนกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ยังไงเขาก็คาดหวังกับการแข่งขันนี้อย่างมาก เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ต้องการให้ใครมาขัดขวางชัยชนะที่เขาสามารถคว้ามาได้ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายทัดเทียมหรืออ่อนแอกว่าโม่เหวินเต้า ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้แล้ว เขามั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายก็อาจจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันนี้
เมื่อชายหนุ่มให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเขา ต้วนหลิงเทียนจึงไม่ได้มองข้ามชายหนุ่มคนนี้ บางครั้งเขาก็พยักหน้าหรือตอบกลับตอนที่ชายหนุ่มพูด
หลังจากนั้นสักพักต้วนหลิงเทียนก็ถามขึ้นมา “เจ้ามาชมการต่อสู้หรือ ? เจ้าไม่คิดจะเข้าร่วมการแข่งขันหรือ ?”
ชายหนุ่มอึ้งกับคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลังจากนั้นสักพักเขาก็ยิ้มแห้งๆออกมาและพูดขึ้น “ เจ้าล้อเล่นข้าหรือ ?
การแข่งขันนี้ตัดสินชีวิตและความตายได้เลย หากข้าเข้าร่วมก็กลัวว่าข้าคงยอมแพ้ไม่ทันก่อนที่จะตาย ข้าเป็นแค่จักรพรรดิเทพขั้นต้น หากเจ้าถามข้า ข้าคิดว่าจะมีจักรพรรดิเทพขั้นกลางจำนวนไม่มากที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้ ในความเห็นของข้าแล้ว การแข่งขันนี้มีไว้เพื่อจักรพรรดิเทพขั้นสูง....แต่มีจักรพรรดิเทพขั้นสูงไม่มากนักในตระกูลจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์.... ”
...
ชายหนุ่มยังพล่ามต่อไปจนกระทั่งพวกเขามาถึงสถานที่จัดการแข่งขัน ซึ่งเป็นหุบเขาที่อยู่ห่างจากเมืองทางตะวันตกออกมากว่า 10,000 ลี้
ตอนนั้นมีคนค่อนข้างมากมารวมตัวกันที่นั่น ในเวลาเดียวกันก็มีคนแห่กันเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ มาทั้งเป็นกลุ่มและมาเพียงลำพัง
ไม่นานหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนและชายหนุ่มมาถึงก็มีคนอุทานออกมา “ผู้ส่งสารมาแล้ว !”
ทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนพากันเงยหน้าและเห็นชายวัยกลางคนที่มีชายแก่สองคนขนาบข้างบินเข้ามา
ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมชุดสีเงิน สีหน้าเขาดูจริงจัง สายตาของเขาราวกับมองทะลุได้ เขาคือผู้ส่งสารของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ชอบธรรม เป็นเพราะคำประกาศของเขาเมื่อสองเดือนก่อนที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ออกจากเมืองนี้ไป
ชายวัยกลางคนไม่มัวเสียเวลา ทันทีที่มาถึงเขาก็พูดขึ้น “การแข่งขันคัดเลือกผู้นำมณฑลชั่วคราวจะเริ่มขึ้นในตอนบ่ายรวมถึงวันพรุ่งนี้ด้วย พวกที่อยากจะเข้าร่วมการแข่งขันสามารถเข้าไปในสนามประลองตอนที่การแข่งขันเริ่ม”
หลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นพร้อมผืนดินสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือหุบเขา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “นี่คือสนามประลองสำหรับการแข่งขัน หากก้าวเท้าออกมาจากสนามประลองระหว่างที่สู้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าพ่ายแพ้ ไม่จำเป็นต้องอธิบาย การยอมแพ้และการตายก็ถือว่าพ่ายแพ้เช่นกัน”
“ตอนที่ผู้เข้าแข่งขันสองคนสู้กัน คนที่สามต้องรอจนกว่าการต่อสู้จะได้รับผลสรุปและได้ผู้ชนะ คนสุดท้ายที่ยืนหยัดในสนามประลองได้ในวันพรุ่งนี้จะเป็นผู้นำมณฑลชั่วคราวของเมืองจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน หลายคนก็พากันตัวสั่น
“กฎนี้...คนแรกที่เข้าไปในสนามประลองจะต้องเสียเปรียบไม่ใช่หรือ ?”
“เป็นเช่นนั้นแล้วทำไม ? พวกที่ตัดสินจะเข้าร่วมการแข่งขันต้องรับกฎให้ได้ไม่ว่ากฎจะเป็นเช่นใดก็ตาม...”
“ฮะ ! ไม่จำเป็นต้องคิดอันใดมาก หากมีความแข็งแกร่งมากพอและเด็ดขาด เช่นนั้นก็จะไม่มีใครกล้าท้าทายเขาหรือนางต่อ !”
ในเวลาเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่กับผู้ชมก็มองไปยังสนามประลอง
ตอนนั้นชายหนุ่มที่พูดมากก็ได้บอกต้วนหลิงเทียนว่า เขาชื่อหวังชุน “น้องชาย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสิ่งที่คึกคักเช่นนี้ ! แล้วเจ้าล่ะ ?”
หวังชุนมองไปรอบๆด้วยสายตาทึ่งและพูดขึ้นมา
ต้วนหลิงเทียนตอบกลับแค่เพียงรอยยิ้ม
เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมยของต้วนหลิงเทียน หวังชุนก็มองไปที่ต้วนหลิงเทียนอยู่หลายรอบก่อนจะสรุปได้ว่าภูมิหลังของต้วนหลิงเทียนนั้นต้องไม่ธรรมดา เขาคิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นลูกหลานของยอดฝีมือด้านนอกตระกูลจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มาที่นี่เพื่อชมการต่อสู้
เป็นไปได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะมาจากตระกูลใหญ่เมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ชอบธรรม
ตอนนั้นหวังชุนก็เห็นร่างหนึ่ง เขาอุทานออกมา “หูตงหลาน !”
หลายคนเองก็ทำแบบเดียวกันเมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาใหม่
ต้วนหลิงเทียนมองไปที่ผู้มาใหม่ หูตงหลาน
หูตงหลานนั้นเป็นชายหนุ่มใส่ชุดสีฟ้า เขาหน้าตาหล่อเหลาและเหมือนเผยรอยยิ้มบางๆออกมา ตอนที่เขามาถึงก็ป้องมือคำนับผู้ส่งสารพร้อมโค้งคำนับ “ยินดีที่ได้พบเจอ”
ผู้ส่งสารมองไปที่หูตงหลานก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เจ้าคือหูตงหลานหรือ ? ข้าเคยได้ยินเรื่องเจ้ามา เจ้าคือหนึ่งในจักรพรรดิเทพขั้นสูงไม่กี่คนในตระกูลจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ โชคดี บางทีตำแหน่งเจ้าเมืองชั่วคราวอาจจะเป็นของเจ้า...”
หูตงหลานตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ “ขอบคุณ ข้าจะทำให้เต็มที่”
ผู้ส่งสารพยักหน้าตอบรับ แม้ว่าทั้งสองจะเป็นจักรพรรดิเทพขั้นสูง แต่เขาแกร่งกว่าหูตงหลาน ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะผู้ส่งสารของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ชอบธรรม เขามีฐานะที่สูงส่งกว่าและได้รับการสนับสนุนนจากผู้ปกครองของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ชอบธรรม เป็นเพราะเช่นนั้นเขาจึงรู้สึกว่า เขาเหนือกว่าหูตงหลานอยู่มาก
สำหรับหูตงหลานแล้ว เขาเหมือนไม่ได้ไม่พอใจกับท่าทีเฉยเมยของผู้ส่งสาร ที่จริงเขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีกลุ่มคนไปรวมตัวกันรอบหูตงหลาน บางคนเป็นผู้บ่มเพาะไร้สังกัด บางคนเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในเมืองจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“ท่านหู !”
“ท่านหู มีข่าวลือว่าผู้เฒ่าจงเจอกับความโชคร้ายเข้าไป ! ครั้งนี้ท่านน่าจะชนะการแข่งขันนี้ !”
“ท่านหู เมื่อท่านได้กลายเป็นผู้นำมณฑลรบกวนดูแลเราด้วย ข้าได้ยินมาว่าท่านมีลูกชาย บังเอิญเลย ข้ามีลูกสาวอายุพอๆกัน นางหน้าตาค่อนข้างดี...”
พวกนี้ไม่ปกปิดท่าทีการประจบหูตงหลานและมองว่าเขาได้เป็นผู้นำมณฑลอย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกันหวังชุนที่เห็นแบบนั้นก็ส่ายหน้าและพูดขึ้นมา “นี่ยังเร็วเกินไปที่จะประจบเขาเช่นนี้ หูตงหลานไม่ใช่จักรพรรดิเทพขั้นสูงเพียงคนเดียวที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้ ยิ่งกว่านั้นในหมู่จักรพรรดิเทพขั้นสูงที่โด่งดัง ความแข็งแกร่งของเขาแค่ทั่วไปเท่านั้น หากเขาอยากจะชนะ เขาได้แต่หวังให้จักรพรรดิเทพขั้นสูงคนอื่นๆนั้นไม่เข้าร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่มีโอกาส”
ตอนที่หวังชุนพูดนั้น เสียงอุทานก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งบ่งบอกถึงการมาถึงของจักรพรรดิเทพขั้นสูงอีกคน
ในตระกูลจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ คนส่วนมากรู้จักจักรพรรดิเทพขั้นสูงทุกคน นอกจากพวกที่ตั้งใจจะปกปิดตนเอง
มีคนพูดขึ้นมา “ ในจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มีจักรพรรดิเทพขั้นสูง 3 คนที่ถูกยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุด
นอกจากอดีตผู้นำมณฑลที่ตายไป มีจงไป่หนานและยู่จินชานที่ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะไร้สังกัด แต่มีข่าวว่าจงไป่หนานนั้นตายไป ดังนั้นเขาจึงไม่อาจจะเข้าร่วมการแข่งขันด้วยได้ ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสยู่จินชานจะปรากฏตัวหรือไม่.... ”
เมื่อมีคนพูดถึงชื่อ ‘ยู่จินชาน’ หลายคนรวมถึงหูตงหลานและจักรพรรดิเทพขั้นสูงที่เพิ่งมาถึงก็พากันเงียบ
จักรพรรดิเทพขั้นสูงที่เป็นผู้บ่มเพาะไร้สังกัดได้บอกกับหูตงหลานผ่านจิต “หากเฒ่ายู่ปรากฏตัว เจ้ากับข้าคงไม่มีโอกาสชนะ...”
หูตงหลานตอบกลับ “เฒ่ายู่คงไม่ปรากฏตัว หลายร้อยปีก่อน ข้าได้ยินมาว่าเขาออกจากจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพราะบางเรื่อง ข้ายังไม่ได้รับข่าวเรื่องการกลับมาของเขา...แน่นอนว่าข้ายืนยันข่าวนี้ไม่ได้ แต่ว่ามันคงไม่มีควันหากไม่มีไฟ”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะพูดถูก เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะปรากฏตัวหรือไม่ แต่อย่าคิดว่าข้าจะยั้งมือให้กับเจ้าตอนที่เราสู้กัน”
“ข้าเองก็อยากจะบอกเช่นนั้นเหมือนกัน”
การแข่งขันยังไม่ทันจะเริ่ม ความตึงเครียดระหว่างจักรพรรดิเทพขั้นสูงทั้งสองคนกลับก่อตัวขึ้นมา พวกเขาไม่คิดจะปกปิดมันเลยแม้แต่น้อย
...
เวลาค่อยๆผ่านพ้นไป
มีคนแห่กันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีจักรพรรดิเทพขั้นสูงเข้ามาเพิ่ม
เมื่อถึงตอนบ่าย เสียงของผู้ส่งสารก็ดังขึ้นมา
“การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นแล้ว คนสุดท้ายที่ยืนอยู่บนลานประลองได้ในวันพรุ่งนี้ตอนบ่ายจะเป็นผู้นำมณฑลชั่วคราวของตระกูลจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ !”
จากข้อความที่ผู้ส่งสารประกาศออกมา ไม่มีใครก้าวขึ้นไปบนลานประลองเลย เป็นเพราะเช่นนั้นหลายคนจึงมองไปที่หูตงหลานและจักรพรรดิเทพขั้นสูงอีกคน
“มีจักรพรรดิเทพขั้นสูงเพียง 2 คนที่ปรากฏตัวขึ้นมา ไม่เช่นนั้นคงมีแค่พวกเขาที่ต้องสู้กัน..”
“พวกเขาจะไม่เข้าไปในลานประลองหรือ ?”
“อย่าบอกนะว่าพวกเขาคิดจะเข้าไปในลานประลองพรุ่งนี้ ?”
หลังจากนั้นสักพัก เมื่อเห็นจักรพรรดิเทพขั้นสูงทั้งสองคนไม่คิดจะเคลื่อนไหว จักรพรรดิเทพขั้นกลางหลายคนก็พากันร้อนรนขึ้นมา
หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “ เมื่อจักรพรรดิเทพขั้นสูงไม่คิดจะเข้าไปในลานประลอง เหตุใดข้าไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ ?
แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นผู้นำมณฑลชั่วคราว แต่ข้าก็ไม่อาจจะปล่อยโอกาสที่จะได้แสดงต่อหน้าผู้ส่งสารของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเรา ! หากเขาพอใจกับพรสวรรค์ของข้า เขาอาจจะพาข้ากลับไปที่เมืองหลวงด้วย ! ”