CD บทที่ 392 มีสิ่งหนึ่งที่ไม่หวนกลับมา
จ้าวหยู่รีบบึ่งไปยังสำนักโบราณวัตถุ เขาจอดรถตรงหน้าประตูทางเข้า มันเกือบจะชนรถคันอื่น
ในขณะที่ จ้าวหยู่ลงจากรถและวิ่งขึ้นบันได ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีฝูงชนมารวมตัวกันในห้องโถงของสำนักโบราณวัตถุ จ้าวหยู่ผลักทุกคนออกไป และก่อนที่เขาจะเห็นสถานการณ์ตรงกลาง เขาเห็นหลันโบซึ่งกำลังปิดหน้าของเขา
"ฮะ!? หลันโบ นี่นายถูกชกเหรอ? หนอย!” เขาเห็นรอยช้ำรอบดวงตาของหลันโบ จ้าวหยู่ก็ยิ่งอารมณ์ร้อนมากขึ้น
“พี่หยู่ ใจเย็น ๆ ผมไม่เป็นไร…” จู่ ๆ หลันโบตระหนักอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบเข้ามาหยุดจ้าวหยู่เพื่อไม่ให้ไปตรงกลาง “พี่หยู่ ก่อนหน้านี้ สถานีโม่หยางและทีมสอบสวนจากสำนักงานเทศบาลได้แต่นำข้อมูลที่เกิดขึ้นกลับไปที่สถานีตำรวจเพื่อตรวจสอบ แต่ทว่าพวกเขากลับไม่ยอมให้เราดูข้อมูล
นอกจากนี้ พวกเขายังพูดจาเสีย ๆ หาย ๆ และประชดประชันใส่พวกเราด้วย จากนั้น พวกเขา… อืม… เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนพี่หยู่! อย่าเข้าไป!"
จ้าวหยู่นึกถึงเหมี่ยวอิงเป็นอันดับแรก ดังนั้นเขาจึงฟังสิ่งที่หลันโบพูดอย่างเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เขาได้พุ่งไปข้างหน้าเหมือนกระทิง เขาพุ่งผ่านฝูงชน และทำให้คนสองสามคนโดนลูกหลงกระเด็นไปตามทาง
ในที่สุด เมื่อจ้าวหยู่ไปถึงด้านหน้า เขาก็ตกใจเมื่อเห็นว่ามีคนสี่หรือห้าคนอยู่บนพื้น!
จากนั้น เขามองไปที่เหมี่ยวอิงอีกครั้ง โดยเห็นว่าเธอกำลังจับชายที่ชกหน้าเธอ และเธอก็ตะโกนใส่เขาว่า
“ใช่! มันเป็นคำสั่ง! แล้วฉันบอกตอนไหนว่าจะไม่ทำตามคำสั่ง!” เหมี่ยวอิงดูเย็นชาขณะที่เธอพ่นคำพูดออกมา “แต่คุณไม่ควรพูดประชดประชันหรือทุบตีพวกเรา! พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกันทำไมต้องพูดจารุนแรงขนาดนี้ด้วย!?
พวกคุณแค่พบโบราณวัตถุ แต่พวกคุณยังไขคดีฆาตกรรมไม่ได้ ดังนั้นการแข่งขันยังไม่สิ้นสุด! แต่ยังไม่ทันไร พวกคุณก็ยกหางขึ้นมาแล้ว ไม่รู้ตัวเหรอว่าที่ทำมันน่าอายแค่ไหน!”
“ถ้าฉันพูดแบบนั้นแล้วจะทำไม!?” นักสืบคนนั้นถูกทุบตีเหมือนหัวหมู แต่ปากของเขาไม่ยอมจำนนและเขายังคงหยาบคายและไม่มีเหตุผลต่อไป “ฉันบอกคุณแล้ว คุณทุบตีเราจนเละแบบนี้ ฉันไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่นอน! ฉัน… ฉันจะฟ้องคุณ! ฉันจะฟ้องคุณจนกว่าคุณจะโดนปลดออกจากราชการ… โอ๊ย!”
ชายคนนั้นยังพูดไม่จบ ก่อนที่เขาจะถูกจ้าวหยู่ผลักออกไป!
“แย่แล้ว ผู้กองของฉัน คุณทำอย่างนั้นได้ยังไง!? หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้! อย่าทำร้ายเขาอีก!”
หลังจากที่เขาผลักชายคนนั้นออกไป จ้าวหยู่ก็เริ่มทำการแสดงด้วยความไร้ยางอาย เขาแต๊ะอั๋งเหมี่ยวอิง ในขณะที่เขาจงใจเหยียบร่างของตำรวจที่อยู่บนพื้นในเวลาเดียวกัน
จ้าวหยู่กระทืบเท้าอย่างแรง ทำให้คน ๆ ดีดดิ้นและกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือด
“ไอ้หยา!” จ้าวหยู่ปิดปากของเขาและขอโทษอย่างรวดเร็ว “โทษที ๆ พอดี ฉันไม่เห็นคุณ!”
จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปบนมือของเขาอีกครั้งอย่างตั้งใจ
“โอ๊ย!!!”
“จ้าวหยู่ นี่คุณ...”
เหมี่ยวอิงเข้าใจในทันทีว่าจ้าวหยู่พยายามทำอะไร แต่เธอไม่ต้องการปล่อยให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้ ดังนั้นจึงผลักจ้าวหยู่ไปเบา ๆ แต่จ้าวหยู่ดันถอยไปไกลกว่าความเป็นจริง เขาพุ่งไปกระแทกตำรวจที่พยายามลุกขึ้นด้วยศอกแหลม ๆ ของเขา
“โอ๊ย!!!”
มีเสียงร้องดังขึ้นอีกครั้งและตำรวจก็ล้มลงบนพื้นอีกครั้ง
"หยุดเดี๋ยวนี้!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่น พร้อมเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาอย่างว่องไว เจ้าของเสียงนั้นคือผู้กองของแผนกสอบสวนจากสำนักงานเทศบาล เฟิงเสี่ยว เมื่อเขามาถึง เขาก็ออกคำสั่งว่า
“ถ้ายังไม่หยุด พวกคุณทุกคนจะถูกถอดออกจากคดีนี้!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้กอง ในที่สุดเหตุการณ์ก็เงียบลง จ้าวหยู่เห็นว่าเบื้องหลังของเฟิงเสี่ยวคือฝูเจียนซิง เชอร์ล็อคโฮล์มส์แห่งสถานีโม่หยาง
“ผู้กอง คุณต้องจัดการเรื่องให้พวกเรา!” ในบรรดาผู้ถูกทำร้ายมีไม่กี่คนจากชุดสืบสวนของสำนักเทศบาล เมื่อพวกเขาเห็นผู้กองของพวกเขาในที่เกิดเหตุ พวกเขารีบฟ้องว่า “ผู้หญิงจากสถานีหรงหยางนั่น เธอทุบตีพวกเราอย่างหมูอย่างหมา!”
"ฉันเห็นแล้ว!" เฟิงเสี่ยวจ้องไปที่พวกเขาและดุว่า “พวกแก มันไม่ต่างจากขยะ ถูกผู้หญิงทุบตีจนน่วม แล้วยังกล้าปริปากบ่นอีก กลับไปที่สำนักงานใหญ่เมื่อไหร่ พวกแกเตรียมตัวรับโทษได้เลย!”
"ฮะ!?" นักสืบที่บาดเจ็บสองคนตะลึงเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผู้กองเฟิง” เหมี่ยวอิงกล่าวกับเฟิงเสี่ยวว่า “ฉันอยากให้คุณตรวจสอบกล้องวงจรปิดก่อน คุณจะเป็นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ฉันแค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น!”
“ใช่ ๆ!” หลันโบรีบวิ่งไปหาเฟิงเสี่ยว “ลุงเฟิง คนเหล่านั้นคว้าหลักฐานตัดหน้าไป และพูดจาเหน็บแนมพวกเรา ผมได้ยินและผมก็โต้แย้งพวกเขาด้วยวาจา จากนั้นพวกเขาก็ชกมาที่หน้าผม ดูตาของผมสิ…”
พ่อเลี้ยงของหลันโบเป็นผู้รับผิดชอบแผนกการเงินในสำนักงานเทศบาล และเขาอยู่ในระดับเดียวกับเฟิงเสี่ยว อีกทั้งพวกเขาสองคนยังเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย
"ฮะ? เสี่ยวหลัน นี่เธอ…“เฟิงเสี่ยวมองไปที่หลันโบ แล้วมองไปที่เหมี่ยวอิง จากนั้นเขาก็บอกทุกคนที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ว่า”เอาล่ะ ที่นี่ไม่ใช่สถานีตำรวจ เราสร้างความอับอายมามากพอแล้ว! พวกคุณทุกคนกลับไปที่สำนักเทศบาลและเตรียมรับการลงโทษ!”
จากนั้น เฟิงเสี่ยวหันกลับมาและบอกฝูเจียนซิงว่า
"เฒ่าฝูดูสิ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณต้องการดูข้อมูล ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันจะใส่ข้อมูลในสำนักเทศบาล และพวกคุณทุกคนสามารถแบ่งปันกัน และตรวจสอบร่วมกันได้”
“ตกลงตามนั้น ผู้กอง” ฝูเจียนซิงรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นโดยกล่าวว่า "เกี่ยวกับการทะเลาะวิวาท เราไม่ต้องการให้สอบสวนอะไรเพิ่มเติม ส่วนข้อมูลนั้นก็ส่งไปให้สถานีหรงหยางด้วย และก็... เธอคือผู้กองเหมี่ยวใช่ไหม?”
จากนั้น ฝูเจียนซิงก็หันกลับมาและพูดกับเหมี่ยวอิงว่า
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คนของฉันไม่ควรทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานผู้หญิง ดังนั้น ในนามของพวกเขา ฉันต้องขอโทษพวกคุณในสิ่งที่เกิดขึ้น!”
“ผู้กองฝู….”
เหล่านักสืบจากสถานีโม่หยางตกตะลึง เนื่องจากพวกเขาถูกทุบตีจนเละ พวกเขาจึงคิดว่าฝูเจียนซิงจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพวกเขา แต่พวกเขาไม่คาดหวังเลยว่าฝูเจียนซิงจะขอโทษอีกฝ่ายอย่างนี้
“นี่…” เหมี่ยวอิงก็ประหลาดใจเช่นกัน
“เฒ่าฝู นี่คุณ…” เฟิงเสี่ยวก็สับสนไม่แพ้กัน
“ผู้กองเฟิง ได้โปรดช่วยไปบอกทางสำนักเทศบาลด้วยว่า การขอให้ช่วยสืบสวนคดีจากสถานีอื่นหลังจากนี้ไป ให้ดำเนินการเพียงทีมเดียวก็เพียงพอแล้ว ช่วยจดจำบทเรียนในครั้งนี้ด้วย และอย่าให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต!”
จากนั้น ฝูเจียนซิงดีดนิ้วเรียกใส่คนที่ถูกทุบตีแล้วจากไป
ผู้ที่ถูกทุบตีไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเขา แต่กลับรีบลุกขึ้นและเดินโซเซตามหลังฝูเจียนซิงเพื่อออกจากสำนักโบราณวัตถุ
“นี่มัน…” ใบหน้าของเฝิงเสี่ยวดูกระอักกระอ่วนอย่างผิดปกติ การที่ฝูเจียนซิงได้พูดอย่างไม่สุภาพก่อนหน้านี้ มันฟังดูเหมือนว่าเขากำลังตำหนิทางสำนักเทศบาลอยู่
แต่ทางสำนักงานเทศบาลฉินชานก็รู้ว่าฝูเจียนซิงเป็นอิสระเสมอทั้งในด้านความคิดและการกระทำ วิธีที่เขาคิดว่าเป็นที่ทราบกันดีว่าไม่ธรรมดา ดังนั้นเฟิงเสี่ยวจึงไม่สามารถไปเปลี่ยนอะไรได้
จ้าวหยู่และเหมี่ยวอิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเช่นกัน เมื่อได้ยินสิ่งที่ฝูเจียนซิงพูด ดูเหมือนว่าเขาได้พบเงื่อนงำใหม่แล้ว และไม่ต้องการข้อมูลจากนักโบราณคดีชราทั้งสาม
แล้ว… เขาพบเงื่อนงำอะไร?
“เอาล่ะ แยกย้าย ทุกคนแยกย้ายไปจากที่นี่ได้แล้ว”
เฟิงเสี่ยวรีบแยกนักสืบที่เหลือกับฝูงชนในสำนักโบราณวัตถุให้พวกเขากลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
ในหมู่พวกเขา มีเจ้าหน้าที่หญิงซึ่งสวมกระโปรงสีเหลืองเดินเข้ามาและยกนิ้วให้เหมี่ยวอิงอย่างชื่นชม อาจเป็นไปได้ว่าเธอไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่สามารถต่อกรกับผู้ชายจำนวนมากขนาดนี้ได้
“ผู้กองเหมี่ยว ทางสถานีโม่หยางไม่ถือสาอะไร ส่วนคนของฉันก็ไม่เข้าความเช่นกัน” เฟิงเสี่ยวล่าวกับเหมี่ยวอิงว่า "บางทีเฒ่าฝูอาจพูดถูก เราไม่ควรต่อสู้เป็นการภายในในเวลานี้ การไขคดีสำคัญกว่า แล้ว... คุณล่ะ คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”
เฟิงเสี่ยวพูดอย่างสุภาพมาก บางทีเขาคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับพละพลังของเหมี่ยวอิง ถึงแม้ว่าเหมี่ยวอิงจะละเมิดวินัยอย่างร้ายแรง แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ถึงพวกเขาจะคิดอย่างนั้น แต่ใช่ว่าพวกเราจะต้องคิดเหมือนกันกับพวกเขา ในเมื่อกฎมันออกแบบมาแบบนี้ พวกเราก็ต้องทำให้เต็มที่เหมือนกัน คุณอย่าลืมสิ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น พวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว!”
เหมี่ยวอิงไม่ซื้อความคิดอีกฝ่าย เธอส่งสัญญาณเรียกจ้าวหยู่ และคนอื่น ๆ ออกจากที่นี่
"จริง ๆ เลย!"
เฝิงเสี่ยวส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นสั่งให้ลูกน้องย้ายข้อมูลของนักโบราณคดีชราออกไป จากนั้นเขาก็เรียกหลันโบมาปลอบ ก่อนที่เขาจะออกจากสำนักโบราณวัตถุไป
“โธ่!” จ้าวหยู่รู้สึกเสียใจ และส่ายหัวตลอดเวลาในขณะที่เขาบอกกับเหมี่ยวอิงว่า "ถ้าฉันรู้ว่าการต่อสู้จะไม่สร้างปัญหาใด ๆ ฉันน่าจะมาให้เร็วกว่านี้! ฉันไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมากพักใหญ่แล้วนะ!”
"ฮึ! คุณนี่อยู่ทุกที่จริง ๆ“เหมี่ยวอิงหัวเราะอย่างเย็นชา แต่ทันใดนั้นเธอก็คว้าแขนของจ้าวหยู่และพูดเบา ๆ ว่า”จ้าวหยู่ เรามาพูดเรื่องต้องคุยกัน ฉันเพิ่งได้รับข้อมูลอัปเดตมา และมันอาจจะมีประโยชน์สำหรับคดีนี้”
"โอ้?" จ้าวหยู่รู้สึกประหลาดใจและรีบขอข้อมูลอัปเดต
"คุณจำได้ไหม? ในตอนนั้น นักโบราณคดีชราสามคนที่ไปเที่ยวเล่นที่ภูเขาแห่งหนึ่งในฉินชานตอนที่พวกเขายังหนุ่ม ๆ แต่ครั้งนั้นพวกเขาดันไปเจอน้ำท่วมฉับพลันเข้า”
“อืม ฉันจำได้” จ้าวหยู่พยักหน้า
“ฉันตรวจสอบมาแล้ว ในตอนนั้น ผู้ที่ประสบเหตุมีสี่คน ไม่ใช่สามคน!” เธอกล่าวด้วยดวงตาที่ดูลึกล้ำ “หลังจากน้ำท่วมฉับพลัน มีคนหนึ่งหายตัวไปและไม่กลับมาอีกเลย!”