บทที่ 121 เจ้าตำหนักสมาคมการค้าว่านเป่า
“นานน้อยหลิน ท่านบอกว่าเป็นนักปรุงยา ข้าเชื่อท่าน แถมท่านยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลอีก นี่เป็นอาชีพที่หายากมาก ส่วนพรสวรรค์ในการต่อสู้ ท่านก็ดีเช่นกัน ข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่พบท่าน ท่านเแ็นเพียวนักรบฝึกหัดเท่านั้น แต่เพียงเดือนเเดียว ท่านได้มาถึงนักรบแท้จริงขั้นสามแล้ว ความเร็วนี้ ไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะอีกงั้นหรือ?” ซุนซิงกล่าว
ในเมืองชิงหลิน ซุนซิงมองหลินเป้ยเป็นอัจฉริยะเหนือกว่าผู้อื่นมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับหลินเป้ยแล้ว อัจฉริยะชั้นนำของตระกูลใหญ่อื่นๆ ไม่สามารถเทียบเคียงได้เลย
หลินเป้ยสามารถกระโดดข้ามขอบเขต เพื่อสังหารโจวหยวนได้
แถมมันยังคงเป็นการสังหารแบบสบายๆ เขายังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดในเวลานั้น
“เจ้าของร้านซุน ขอบคุณที่คิดถึงข้า แต่ข้าไม่สนใจที่จะร่วมงานกับสมาคมการค้าว่านเป่า จริงๆ แล้ว ข้าชอบอยู่อย่างอิสระมากกว่า” หลินเป้ยพูดอย่างจริงจัง
หากเขาต้องการเข้าร่วมสมาคมการค้าว่านเป่าจริงๆ ก็ควรจะเป็นสาขาหลักมากกว่า ถ้าอยู่ที่สาขารองอย่างเมืองชิงหลินนี้ เขาคิดว่ามันไม่น่าสนใจ
ที่สำคัญ เขาต้องให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ซึ่งมันดูยุ่งยากสำหรับเขา
มันเลยเป็นไปไม่ได้เลยที่หลินเป้ยจะตกลง
หลินเป้ยต้องการเงินจำนวนมาก และสมาคมการค้าว่านเป่า คงไม่จัดหาทรัพยากรมากมายให้กับเขาอย่างแน่นอน
หลินเป้ยเองก็สิ้นเปลืองทรัพยากร ไม่ต้องพูดถึง หลินเป้ยต้องฝึกฝนสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณจำนวนมากมาย
สัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณเหล่านี้ตัวใหญ่และสิ้นเปลือง
แม้ว่าตอนนี้หลินเป้ยจะมีเงินหลายสิบล้านตำลึง แต่หากเงินจำนวนนี้ถูกใช้ไปกับการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณ มันก็จะอยู่ได้ไม่นาน
ขณะนี้สัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณจำนวนมากได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับ 3 แล้ว และตอนนี้หลินเป้ยกำลังให้อาหารด้วย โอสถหยางหยวน
ความกดดันด้านต้นทุนเพิ่มขึ้น และเขายังไม่สามารถเพิ่มจำนวนสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณได้อีกในตอนนี้
เมื่อถึงช่วงการประลองของตระกูล สัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณทุกตัวในมือของหลินเป้ย จะสามารถเข้าถึงระดับ 3 หรือสูงกว่าได้
เหลือเวลาอีกประมาณสิบวันก่อนการประลองของตระกูล
หลังจากจัดการกับเรื่องของเฟิงซินหยูแล้ว หลินเป้ยก็ต้องเริ่มเข้าร่วมการประลองของตระกูลอีกครั้ง และเขาไม่สามารถออกจากเมืองชิงหลินได้ไกลเกินไป
มิฉะนั้น หากมีความล่าช้าในตอนที่อยู่ในเทือกเขาเทียนหยาง หลินเป้ยจะพลาดการประลองของตระกูล
ด้วยระบบที่อยู่ในมือ หลินเป้ยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับกองกำลังอื่นเพื่อเป็นคนที่แข็งแกร่ง
“นายน้อยหลิน ข้ารู้ว่าท่านมีความสามารถมาก แต่โปรดคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่เป็นโอกาสที่หายากได้โปรดมากับข้าเพื่อพบกับเจ้าตำหนัก ข้าได้แนะนำให้ท่านกับเจ้าตำหนักแล้ว ถ้าท่านไม่ไป ข้าจะเสียคำพูดได้” ซุนซิงพูดอย่างช่วยไม่ได้
หลินเป้ยครุ่นคิด ถ้าเป็นอัจฉริยะอื่น เขาจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน สมาคมการค้าว่านเป่า แข็งแกร่งกว่า สำนักซวนตันมาก
แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกสาขา แต่เขาก็ยังคงเป็นสมาชิกของสมาคมการค้าว่านเป่า และอยู่ภายใต้การคุ้มครองของสมาคม
เขามีความสนใจเล็กน้อยในตัวเจ้าตำหนักลึกลับคนนี้ ดังนั้นการพบกันจึงน่าไม่เสียหาย
นอกจากนี้สมาคมการค้าว่านเป่ายังเป็นกำลังสำคัญ หากตระกูลหลินสามารถมีความสัมพันธ์กับสมาคมการค้าว่านเป่าได้ ตระกูลหลินก็สามารถพัฒนาได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ หลินเป้ยคิดว่า ถ้าออกจากเมืองชิงหลิน ในอนาคต เขาก็ไม่ได้คิดถึงตระกูลหลินมากนัก
เขาไม่คิดจะช่วยเหลือตระกูล
แต่เมื่อเห็นว่าเฟิงซินหยูมาถอนหมั้น ทุกคนในตระกูลหลินส่วนมาก ต่างอยู่เคียงข้างเขา ทำให้ความคิดของหลินเป้ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลินเป้ยก็คิดว่าจะไปพบเจ้าตำหนัก เพื่อปูทางให้ตระกูล
“นั่นไม่ใช่ปัญหา ข้าเองก็อยากรู้ว่า ใครคือเจ้าตำหนักในตำนาน” หลินเป้ยกล่าวพร้อมกับยิ้ม
เจ้าตำหนักสมาคมการค้าว่านเป่า มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นหญิงสาว ยกเว้นคนที่ได้พบนาง
ข้าคิดว่าเจ้าตำหนักจะต้องเป็นคนที่ทรงพลัง และอายุอย่างน้อย 30 - 40 ปี
“เอาล่ะ หลังจากดื่มชาถ้วยนี้เสร็จแล้ว เราไปพบเจ้าตำหนักด้วยกันกันเถอะ” ซุนซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาคิดว่าหลินเป้ยตกลงที่จะไปเพราะใบหน้าของเขา
ในเวลาเดียวกันหลินเป้ยก็อยากไปร้านค้าว่านเป่า เพื่อซื้อของบางอย่าง
วัสดุเสริมบางอย่างสำหรับการกลั่นโอสถหยางหยวน กำลังจะหมดลง ดังนั้นหลินเป้ยจึงต้องซื้อสมุนไพร
หลินเป้ยยังต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์อีกหนึ่งชุดด้วย เพื่อเสริมในขั้นตอนปรุงโอสถหยางหยวน จากนั้นเขาก็จะปลูกเมล็ดพันธุ์ในไร่นาเซียน ด้วยวิธีนี้ เขาก็ไม่ต้องซื้อหาพวกมันตลอดเวลา
หลินเป้ยพูดคุยกับซุนซิงอยู่อีกพักหนึ่ง และหลังจากดื่มชาวิญญาณหมด เขาก็ติดตามซุนซิงไปที่ ร้านค้าว่านเป่า
หลินเป้ยเดินตามซุนซิงไปจนถึงชั้น 7 ของร้านค้าว่านเป่า ซึ่งเป็นชั้นบนสุด
ที่หน้าประตู มีชายสองคนในชุดสีดำยืนเฝ้าอยู่
หลินเป้ยรู้สึกถึงการฝึกฝนของชายชุดดำสองคนนี้ และเขาก็ประหลาดใจเช่นกัน การฝึกฝนของคนสองคนนี้แข็งแกร่งมากในขอบเขตมหาปรมาจารย์นักรบ(หวู่ซ่ง)
พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้เชี่ยวชาญในขั้น 2 ของมหาปรมาจารย์นักรบ
ขนาดผู้พิทักษ์ของเจ้าตำหนักยังทรงพลังขนาดนี้ ทำให้รู้เลยว่าเจ้าตำหนักที่นี่ ทรงพลังขนาดไหน
เจ้าต้องรู้ว่าบุคคลที่มีฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลหลิน ของพวกเขาคือผู้เฒ่าหลินวู่จี้ และเขาอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้น 10 ปรมาจารย์นักรบ(หวู่ฉี) ซึ่งเทียบเท่ากับครึ่งก้าวมหาปรมาจารย์นักรบ(หวู่ซ่ง) .
หากการฝึกฝนของคนๆ หนึ่งถึงจุดสูงสุดของขั้น 10 ปรมาจารย์นักรบ(หวู่ฉี) ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทะลุผ่านขั้นตอนนั้น และก้าวเข้าสู่ขอบเขตมหาปรมาจารย์นักรบ(หวู่ซ่ง) เมื่อใดก็ได้
อย่างไรก็ตาม มหาปรมาจารย์นักรบ ที่แข็งแกร่งกว่าหัวหน้าตระกูลหลิน ได้เฝ้าประตูให้กับเจ้าตำหนักลึกลับคนนี้
ตามที่คาดไว้สมาคมการค้าว่านเป่า มีเงินและความมั่งคั่งมากมาย เพียงแค่สาขาเล็กๆ ในเมืองชิงหลิน ก็มีมหาปรมาจารย์นักรบที่แข็งแกร่งคอยดูแล และมีมากกว่าหนึ่งคน
ส่วนว่ามีมหาปรมาจารย์นักรบคนอื่นๆ อีกหรือไม่ ก็น่าจะมี!
“โปรดไปบอกเจ้าตำหนัก ข้า ซุนซิง เชิญหลินเป้ยมาที่นี่” ซุนซิงพูดกับคนทั้งสองที่อยู่หน้าประตู
โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าตำหนัก ทั้งสองคนก็จะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป
“กรุณารอสักครู่” ชายชุดดำคนหนึ่งกล่าว
หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับมาและเปิดประตูเพื่อเข้าไปข้างใน และแจ้งกับเจ้าตำหนัก เกี่ยวกับคำขอของซุนซิงที่จะพบนาง
ไม่ช้าชายชุดดำก็ออกมา
“เจ้าตำหนักตกลงที่จะพบเจ้า” ชายชุดดำปล่อยให้พวกเขาทั้งสองคนเข้าไป ดังนั้นเขาจึงเปิดทางให้ซุนซิงและหลินเป้ย
หลินเป้ยติดตามซุนซิงและดูแผนผังภายใน มันถูกตกแต่งด้วยสีขาวเป็นหลักและมีกลิ่นหอมจางๆ ในอากาศ
เมื่อมองแวบแรก นี่คือที่ที่ผู้หญิงอาศัยอยู่
เจ้าตำหนักผู้นี้คือหญิงสาวงั้นเหรอ?
หลินเป้ยเดาได้แล้ว ในเวลานี้
ในไม่ช้า หลินเป้ยก็ผู้หญิงสาวคนหนึ่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าหญิงสาวผู้นี้มีรูปร่างเพรียวสมส่วน มีคิ้วหลิวที่มนโค้ง และดวงตาคู่หนึ่งเผยออกมา สรุป นางดูงดงามมาก
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวผู้นี้ คลุมใบหน้าของนางด้วยผ้าคลุม ทำให้ยากต่อการมองเห็นลักษณะเฉพาะของนาง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ถูกเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองตาของหญิงสาว หลินเป้ยก็จินตนาการได้ว่าผู้หญิงตรงหน้า เขาต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมาก
หลินเป้ยยังรู้สึกถึงฐานบ่มเพาะของหญิงสาว ซึ่งเป็นปรมาจารยืนักรบขั้น 8
อายุของหญิงสาวผู้นี้ ไม่ควรแก่มาก
“ท่านเจ้าตำหนัก ข้านำหลินเป้ยมาพบแล้ว” ซุนชิงกล่าว
“คารวะท่านเจ้าตำหรัก ข้าคือหลินเป้ย” หลินเป้ยประสานหมัดแน่นแล้วพูด
สำหรับสิ่งที่เรียกว่าเจ้าตำหนักนี้ หลินเป้ยไม่มีความเกรงกลัวเลย
“ขอบเขตนักรบแท้จริงขั้น 3 ระดับพลังยุทธ์ไม่สูงมาก แต่หลินเป้ย ข้าอยากรู้เกี่ยวกับเจ้านิดหน่อย เจ้าช่วยอธิบายข้อสงสัยของข้าได้ไหม?” เจ้าตำหนักพูดเบาๆ เสียงของนางฟังรื่นหู