ตอนที่แล้วตอนที่ 492 หอคอยคู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 494 เพราะรักจึงทำลาย?

ตอนที่ 493 ขอคำอธิบาย


ตอนที่ 493 ขอคำอธิบาย

หอคอยต่อสู้ถูกใช้งานอยู่เป็นประจำ พื้นที่ด้านในจึงถูกทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันหอคอยเทคโนโลยีไม่ได้มีใครเข้าใช้งานมานานหลายปีแล้ว ภาชนะรูปไข่ทั้ง 99 อันที่อยู่ด้านในจึงถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและหยากไย่เต็มไปหมด

เซี่ยเฟยเดินสำรวจทั่วทั้งห้องโถงและได้พบว่ามันไม่มีบันไดนำขึ้นไปสู่ชั้นบนจริง ๆ ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะนำเขาขึ้นไปยังด้านบนได้ก็คงจะมีเพียงแต่ภาชนะรูปไข่ปริศนาพวกนี้เท่านั้น

เมื่อสำรวจแล้วพบว่าพื้นที่ด้านในของหอคอยเทคโนโลยีเป็นเหมือนกับหอคอยต่อสู้ทุกประการ เซี่ยเฟยก็ออกไปด้านนอกซึ่งมีทหารได้ตั้งแคมป์รอเขากับคอนสแตนตินอยู่แล้ว

ระหว่างนั้นเซี่ยเฟยก็ขอคอนสแตนตินออกไปเดินสำรวจรอบ ๆ หอคอยเพื่อหาช่องทางที่จะเข้าไปยังพื้นที่ด้านบน ขณะที่คอนสแตนตินได้ไปพูดคุยกับชายคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนกับว่าชายคนนั้นกำลังพยายามขายเรดนาเร็ดที่เขาเก็บสะสมเอาไว้ออกไปโดยเร็วที่สุด

เซี่ยเฟยได้กำชับคอนสแตนตินเอาไว้แล้วว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องไปเสนอซื้อเรดนาเร็ดจากใครทั้งนั้น แต่รอให้มีคนเข้ามาติดต่อขอขายเรดนาเร็ดให้กับเขาก่อน เพราะมันจะทำให้เขามีความได้เปรียบในการเจรจามากขึ้นกว่าเดิม

“กำแพงของหอคอยหนาวมากและมันก็ไม่มีช่องหน้าต่างให้เล็ดลอดเข้าไปทางด้านในได้เลย หากนายต้องการจะสร้างช่องทางเข้าไปด้านในจริง ๆ ฉันก็คิดว่านายคงจะต้องใช้ดาบดราก้อนสเกลฟันเข้าใส่กำแพงซ้ำ ๆ หลายร้อยครั้ง” อันธกล่าว

ดาบดราก้อนสเกลคืออาวุธระดับอิมมอทอลลิตี้ที่แข็งแกร่งมาก และมันก็มีโอกาสที่จะตัดผ่านกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหะโฟวรี่อัลลอยเข้าไปได้ อย่างไรก็ตามการทำแบบนั้นจะทำให้เกิดช่องที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งการทำแบบนั้นเป็นการกระทำที่โดดเด่นมากจนเกินไป

ท้ายที่สุดเขาก็แค่ต้องการเข้าไปสำรวจด้านในด้วยความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงวิธีที่จะทำให้หอคอยได้รับความเสียหาย

“เดี๋ยวคืนนี้มาลองหาวิธีดูอีกที ไม่ว่าปัญหาจะคืออะไรสุดท้ายมันจะมีทางออกให้กับเราเสมอ” เซี่ยเฟยกล่าว

หลังจากที่ทั้งสองได้กลับไปนั่งยังเต็นท์ที่พัก คอนสแตนตินก็ถามว่าเซี่ยเฟยต้องการจะกลับไปที่พระราชวังไหม แน่นอนว่าเซี่ยเฟยยังคงไม่ตอบสนองอะไร คอนสแตนตินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องนั่งรอกับเซี่ยเฟยท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ

เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปจนถึงใกล้ค่ำ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มเหมือนกับฝนกำลังจะตก ซึ่งสภาพอากาศลักษณะนี้ทำให้เซี่ยเฟยแอบยิ้มอยู่ภายในใจ เพราะคืนฝนตกเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการแทรกซึม

เมื่อเห็นโอกาสในการแทรกซึมแล้วเซี่ยเฟยก็กลับไปที่เมืองหลวงพร้อมกับคอนสแตนติน และเขาก็พบกับขุนนางทุกระดับยืนรออยู่ด้านนอกวังที่เคยเงียบสงบของคอนสแตนติน ซึ่งแน่นอนว่าขุนนางพวกนี้ก็ต้องการที่จะขายเรดนาเร็ดที่มีอยู่ในมือของพวกเขาออกไป

ในที่สุดฝนก็เริ่มตกลงมาหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินไปเพียงแค่ไม่นาน ก่อนที่เม็ดฝนจะโหมกระหน่ำลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสภาพอากาศที่ดูคล้ายกับพายุกำลังเข้า

หลังจากรับประทานอาหารเซี่ยเฟยก็ขอตัวไปพักภายในห้องที่คอนสแตนตินได้จัดเอาไว้ให้ ซึ่งในระหว่างนั้นราชาเลสเตอร์ก็ได้เรียกคอนสแตนตินเข้าไปพูดคุยภายในวัง และมันก็คงจะไม่พ้นเรื่องของการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเรดนาเร็ด

แม้ภายนอกเลสเตอร์จะประกาศต่อหน้าขุนนางทุกคนว่าเขาได้มอบอำนาจให้คอนสแตนตินคอยดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริงเขาก็ไม่สามารถที่จะปล่อยให้คอนสแตนตินจัดการเรื่องนี้เพียงคนเดียวได้ เพราะมันคือเรื่องใหญ่มากเกินไปที่สามารถชี้ชะตาอาณาจักรเทียนโลหิตได้เลย

ในความเป็นจริงราชินีอาจจะคิดกลวิธีโต้กลับอยู่บ้าง แต่สถานการณ์โดยรวมก็คงจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก เพราะถ้าหากคนอื่นเข้ามาแทนที่คอนสแตนติน เซี่ยเฟยก็แค่บอกปัดธุรกรรมทั้งหมดไป นอกจากนี้เขายังมีท่าไม้ตายเอาไว้ใช้ในช่วงเวลาสำคัญอีกด้วย

อาณาจักรเทียนโลหิตคืออาณาจักรที่แห้งแล้งอยู่เสมอ และการที่จู่ ๆ มันได้มีฝนตกหนักลงมาแบบนี้ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับประชาชนทุกคนมาก มันจึงมีบางคนถึงขนาดออกมาจุดดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ

เซี่ยเฟยจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวและทิ้งตัวลงนอนเพื่อพักผ่อนจากอาการเหนื่อยล้า ซึ่งหลังจากที่เขาทิ้งตัวลงไปบนเตียงเพียงแค่ไม่นานร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป

กริ๊ง!

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาเที่ยงคืน เซี่ยเฟยจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง, เปิดหน้าต่างและกระโดดออกไปด้านนอกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด

ชายหนุ่มใช้เวลาในการเดินทางมายังหอคอยแห่งคำสาปเพียงแค่ไม่นาน และเขาก็ได้พบว่าแม้สายฝนบนฟ้าจะโหมกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว แต่มันก็ไม่สามารถที่จะขับไล่ผู้คนที่ตั้งเต็นท์อยู่รอบ ๆ หอคอยได้ และมันก็ดูเหมือนกับว่าหอคอยแห่งนี้จะต้องคอยให้บริการตลอดเวลา เว้นว่างแค่เฉพาะช่วงผลัดเปลี่ยนเวรยามวันละประมาณ 20 นาทีเท่านั้น

เมื่อได้รวมวิชาพรางจิต, สภาพอากาศที่ฝนตกหนักและความเร็วของเซี่ยเฟย มันจึงทำให้ชายหนุ่มสามารถปีนข้ามกำแพงเข้าไปยังพื้นที่ด้านในหอคอยเทคโนโลยีได้อย่างง่ายดาย

ประตูทางเข้าหอคอยไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปอย่างด้านในหอคอยอย่างเงียบ ๆ และด้วยระบบฟังก์ชั่นที่ติดมากับชุดต่อสู้ มันจึงทำให้ร่างกายของเขาแห้งอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าเขาเพิ่งจะเคลื่อนที่ท่ามกลางสายฝนในระหว่างที่เดินทางมายังที่นี่ก็ตาม

“ทำไมนายถึงไม่ปีนขึ้นไปบนหอคอยจากข้างนอกล่ะ? ความสูงของหอคอยเพียงเท่านี้มันก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาสำหรับนายอยู่แล้ว” อันธถามอย่างสับสน

“ฉันต้องการจะลองศึกษาพวกภาชนะรูปไข่พวกนั้นก่อน ฉันแค่อยากจะรู้ว่าพวกเด็ก ๆ ได้รับพลังพิเศษมาได้ยังไง หลังจากที่พวกเขาถูกส่งตัวเข้าไปในไข่เพียงแค่ไม่กี่นาที” เซี่ยเฟยกล่าว

“บางทีมันอาจจะเป็นเครื่องจักรอะไรบางอย่างที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ให้กับมนุษย์ก็ได้” อันธกล่าวพร้อมกับยักไหล่

เซี่ยเฟยเดินสำรวจภาชนะรูปไข่อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะทดลองกระโดดลงไปนั่งและสังเกตโครงสร้างด้านในของภาชนะอย่างระมัดระวัง

แต่ในทันใดนั้นเองสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะฝาครอบได้ปิดตัวลงอย่างฉับพลันพร้อมกับแขนกลที่ยื่นออกมาจับเซี่ยเฟยให้ยึดติดกับภาชนะด้านใน

ไม่กี่วินาทีต่อมาเบาะนั่งที่เขานั่งอยู่ก็หมุนตัว 180 องศา จากนั้นมันก็ขยับไปด้านข้างละเริ่มเคลื่อนที่ขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว

ระหว่างนั้นเซี่ยเฟยก็นำนิ้วแตะเอาไว้ที่แหวนมิติตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริงด้วยปฏิกิริยาการตอบสนองที่ว่องไวของเขา มันย่อมทำให้เขากระโดดหนีออกไปก่อนที่ภาชนะรูปไข่จะปิดตัวลงได้อย่างแน่นอน แต่เขาได้ตัดสินใจนั่งรอนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ เพราะเขาอยากรู้ว่าด้านในหอคอยนี้มีอะไรที่ซ่อนอยู่ด้านบนของหอคอยกันแน่

ไม่กี่วินาทีต่อมาฝาครอบที่เคยปิดตัวลงก็อ้าเปิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับที่นั่งที่ถูกยื่นออกไปยังห้องด้านหน้า

ภายในห้องอันแปลกประหลาดนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ไม่รู้จัก คล้ายกับอุปกรณ์ผ่าตัดและไฟสปอร์ตไลท์หลายดวงที่กำลังส่องสว่าง ทำให้เซี่ยเฟยสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าห้องนี้ถูกเช็ดจนสะอาด ไม่มีร่องรอยของเศษฝุ่นเศษหยากไย่แม้แต่นิดเดียว

เซี่ยเฟยรีบกระโดดออกไปจากที่นั่งพร้อมกับไฟสปอร์ตไลท์สีแดงที่เริ่มมีสัญญาณส่องกระพริบ ขณะเดียวกันมันก็มีเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นดังขึ้นมาจากระยะไกล

“ในที่สุดก็มีคนมาเรียนรู้เทคโนโลยีแล้ว”

เสียงที่ดังขึ้นคล้ายกับเสียงสังเคราะห์ของกระป๋อง เพียงแต่โทนเสียงดูจะมีความตื่นเต้นเก็บซ่อนอยู่ภายในนั้น

หลังจากนั้นไม่นานมันก็มีเสียงฝีเท้าหลายเสียงรีบวิ่งเข้ามาภายในห้องนี้ ซึ่งมันก็หมายความว่ามันไม่ได้มีเจ้าของเสียงอยู่เพียงแค่คนเดียว

“ความผันผวนพลังงานของคนพวกนั้นแปลกมาก คล้ายกับว่าพวกเขาจะไม่ใช่มนุษย์…” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความสงสัย

ฟุบ!

เซี่ยเฟยกระโดดตัวลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่จะใช้เดือยแหลมจากชุดยึดเกาะร่างของตัวเองอยู่บนมุมมืดของเพดานห้อง

ไม่นานมากนักหุ่นยนต์ตัวเล็กที่มีความสูงเพียงแค่ประมาณ 1 เมตรก็รีบวิ่งเข้ามาภายในห้อง ดวงตาอิเล็กทรอนิกส์ของมันมีขนาดใหญ่คล้ายกับว่ามันกำลังสวมใส่แว่น นอกจากนี้มันยังสวมเสื้อกราวน์สีขาวคล้ายกับพวกเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ซึ่งโดยภาพรวมแล้วมันก็เป็นเหมือนหุ่นยนต์เด็กที่พยายามจะเล่นเป็นหมอรักษาคนไข้

ต่อมามันก็มีหุ่นยนต์วิ่งเข้ามาภายในห้องเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหุ่นยนต์แต่ละตัวต่างก็ล้วนแล้วแต่มีขนาดที่แตกต่างกัน โดยบางตัวสวมเสื้อกราวน์สีขาว บางตัวสวมชุดผ่าตัดสีฟ้าอ่อน แต่โดยรวมแล้วเสื้อผ้าของพวกมันต่างก็ล้วนแล้วแต่ดูเป็นเสื้อผ้าของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เหมือนกันทั้งหมด และจำนวนของพวกมันที่เข้ามาในห้องก็มีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 20 ตัว

“ห๊ะ! จุดเคลื่อนย้ายทำงานอัตโนมัติแต่ไม่มีใครอยู่ข้างในงั้นเหรอ?” หุ่นยนต์ตัวน้อยที่มาถึงก่อนอุทานขึ้นมาอย่างสับสน

สหายหุ่นยนต์ของเขารีบวิ่งเข้าไปดูภาชนะรูปไข่ทีละคน และเมื่อพวกเขาไม่พบมนุษย์ที่ควรจะถูกขนส่งขึ้นมาพวกเขาก็เริ่มถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง

“เฮ้อ! ฉันก็คิดว่ามีคนอยากเรียนรู้เทคโนโลยี ที่แท้มันก็เป็นความผิดพลาดของจุดเคลื่อนย้ายนี่เอง”

“จะว่าไปครั้งสุดท้ายที่มีเด็กถูกส่งเข้ามาก็ตั้ง 7 ปีแล้ว น่าเสียดายที่ความสามารถของเขาไม่สูงพอ ทำให้เราไม่สามารถส่งเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดเข้าสู่สมองของเขาได้”

“แบบนี้พวกเราก็ไม่มีทางชนะเลยสินะ”

“พวกเราคงไม่มีทางชนะตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”

ยิ่งหุ่นยนต์พวกนี้พูดคุยกันมากเท่าไหร่เซี่ยเฟยก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขาไม่คิดมาก่อนว่าผู้อยู่เบื้องหลังการแลกเปลี่ยนอวัยวะกับพลังพิเศษจะเป็นหุ่นยนต์ และพวกมันยังไม่ใช่หุ่นยนต์เพียงตัวเดียว เพราะเพียงแค่หุ่นยนต์ในห้องนี้ก็มีจำนวนนับ 20 ตัวแล้ว

ที่สำคัญรูปร่างหน้าตาของพวกมันยังบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า พวกมันคือหุ่นยนต์ตั้งแต่สมัยอารยธรรมโบราณที่หายสาบสูญไปในจักรวาลเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว

ส่วนเรื่องการแข่งขันที่พวกหุ่นยนต์พูดถึงก็น่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างหอคอยทั้งสองแห่งที่มีหน้าที่มอบพลังพิเศษให้กับเด็ก ๆ ต่างชนิดกัน ซึ่งหุ่นยนต์กลุ่มหนึ่งก็คงจะถูกมอบหมายให้มอบพลังพิเศษเกี่ยวกับการต่อสู้ ส่วนหุ่นยนต์อีกกลุ่มหนึ่งก็ถูกมอบหมายให้มอบพลังพิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยี

“ไม่ใช่ว่าหุ่นยนต์พวกนี้เกลียดมนุษย์งั้นเหรอ? ทำไมพวกเขาถึงแอบมอบพลังการต่อสู้กับเทคโนโลยีให้กับชาวอาณาจักรเทียนโลหิตอย่างลับ ๆ แบบนี้ล่ะ จนถึงขนาดที่พวกเขาถูกขนาดนามว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอาณาจักรด้วยซ้ำ” อันธอุทานอย่างไม่เข้าใจ

“ถ้าพวกเขาแอบช่วยมนุษย์แล้วทำไมพวกเขาถึงจะต้องเอาอวัยวะของมนุษย์ไปเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนด้วย?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน และถึงแม้ว่าความสามารถในการวิเคราะห์ของเขาจะจัดอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องนี้ได้จริง ๆ

แต่ทันใดนั้นเองเซี่ยเฟยก็นึกถึงกระป๋องขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน ถ้าหากที่นี่คือที่ซ่อนตัวของพวกหุ่นยนต์โบราณ มันก็หมายความว่าเขาอาจจะสามารถหาวิธีซ่อมกระป๋องจากสถานที่แห่งนี้ได้

ไม่กี่วินาทีต่อมาหุ่นยนต์ตัวใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาภายในห้อง ซึ่งหุ่นยนต์ตัวเล็ก ๆ ที่ได้เข้ามาในก่อนหน้านี้ต่างก็รีบหลีกทางให้หุ่นยนต์ตัวใหญ่ทันที ราวกับว่าหุ่นยนต์ตัวนี้คือหุ่นยนต์ที่มีอำนาจสูงสุด

“เฮ้อ! พวกเราดีใจกันเก้อสินะ ท้ายที่สุดพวกคนในอาณาจักรเทียนโลหิตก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอยู่ดี” หุ่นยนต์ร่างใหญ่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ ซึ่งมันก็ทำให้หุ่นยนต์ทั้งหมดก้มหัวลงอย่างผิดหวังเช่นเดียวกัน

“เฮ้อ! ทำไมฉันต้องมาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดที่มองไม่เห็นแม้กระทั่งแสงของดวงอาทิตย์แบบนี้ ฉันคิดถึงเจ้านายของฉันจัง คิดถึงวันที่ฉันได้เดินเล่นกับเขาที่ริมชายหาด” หุ่นยนต์ตัวเล็กย่อตัวลงโอบแขนกอดตัวเองพร้อมกับบ่นพึมพำขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด

น้ำเสียงของหุ่นยนต์ตัวเล็กนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกใจอีกครั้ง เพราะเมื่อฟังจากน้ำเสียงที่เจ็บปวดของอีกฝ่าย มันก็แสดงว่าหุ่นยนต์ตัวนี้น่าจะไม่ได้มีความมุ่งร้ายต่อมนุษย์เหมือนกับกระป๋อง

“ฉันก็คิดถึงเจ้านายของฉันเหมือนกัน แต่เราก็คงจะทำอะไรไม่ได้เพราะเจ้านายของพวกเราตายกันไปหมดแล้ว”

“ใช่ พวกเราก็เป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ต้องสาปในสายตาของมนุษย์ แล้วเราจะออกไปไหนได้นอกจากจะต้องซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืด”

“พวกเราไม่ใช่หุ่นยนต์ต้องสาปสักหน่อย! พวกเหยี่ยวต่างหากที่ฆ่ามนุษย์ แล้วทำไมพวกเราถึงจะต้องมารับกรรมพร้อมกับพวกมันด้วย!!” หุ่นยนต์ตัวน้อยตะโกนอย่างขุ่นข้องใจ

“มนุษย์ไม่ยอมฟังคำแก้ตัวของเราหรอก ไม่ว่าจะเป็นพวกเหยี่ยวหรือพวกเราต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นหุ่นยนต์เหมือนกัน นี่คือชะตากรรมที่พวกเราต้องยอมรับเอาไว้และคงไม่มีใครสามารถที่จะแก้ไขเรื่องนี้ได้”

‘หุ่นยนต์แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายงั้นเหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดอย่างสับสนภายในใจ ก่อนที่เขาจะกัดฟันกระโดดลงมาจากเพดานอย่างกล้าหาญ

“ในฐานะที่ฉันเป็นมนุษย์ ฉันขอฟังคำอธิบายจากพวกคุณหน่อยได้ไหม?”

***************

พี่เฟยเผชิญหน้ากับหุ่นยนต์แล้ว! จะมีการนองเลือด เอ่อ… นองน้ำมันเครื่องไหมนะ?!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด