บทที่ 56 ยึดศพด้วยด้ายไหม
บทที่ 56 ยึดศพด้วยด้ายไหม
“ใต้เท้าหยาง รอคอยดวงดาวแล้วยังรอคอยดวงจันทร์ ข้าถือว่ารอคอยท่านมานานแล้ว!”
สองมืออวบอ้วน คว้าข้อเท้าของหยางจิ่วอย่างรวดเร็ว
หยางจิ่วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และเมื่อเขามองลงไป เขาเห็นใบหน้าอ้วนท้วนพร้อมน้ำตาไหลอาบหน้า
"ใต้เท้าเทียนทำเช่นนี้ไม่ได้"หยางจิ่วรีบพยุงเทียนซ่งไป๋ขึ้นมา
เทียนซ่งไป๋ผู้นี้ อ้วนมากเกินไปแล้ว!
"เสวียนไท่เย่ว(ขุนนางปกครองเทศมณฑล) เทียนซ่งไป๋ คารวะใต้เท้าหยาง"เทียนซ่งไป๋สงบลง และทำความเคารพอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
เมื่อวานนี้ เขาได้รับเอกสารทางการจากตงฉ่าง โดยบอกว่า ทางตงฉ่างได้ส่งหยางจิ่ว ช่างเย็บศพระดับขุนนางเทียน มายังเทศมณฑลไป่เหอ เพื่อให้ทางนี้ร่วมมืออย่างเต็มที่ในการเย็บศพ
ช่างเย็บศพระดับเทียน เป็นขุนนางขั้น 6 และเขาเป็นขุนนางขั้น 7 เท่านั้น ว่ากันว่าแม้ต่างกันหนึ่งขั้น ก็สามารถบดขยี้ผู้คนจนตายได้ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เขาจะต้องดูแลหยางจิ่วอย่างดี
ขุนนางจากทั่วอาณาจักร ต่างเยาะเย้ยสำนักตงฉ่าง ที่นำช่างเย็บศพเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก
ในมุมมองของพวกเขา ช่างเย็บเป็นคนประเภทที่เลวร้ายที่สุด
ก่อนหน้านี้ เทียนซ่งไป๋ก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน จนกระทั่งมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นในเขตไป่เหอของเขา เขารู้สึกได้ทันทีว่า ช่างเย็บศพคือบิดาของเขาเอง ตราบใดที่ช่างเย็บศพสามารถกำจัดศพทั้งสองทิ้งได้ เขาก็เต็มใจเป็นทาสสัตว์เลี้ยงของหยางจิ่วได้ด้วยซ้ำ
ตราบใดที่หยางจิ่วชอบ พรหมจรรย์ครั้งแรกของเขา ก็สามารถมอบให้หยางจิ่วได้
เทียนซ่งไป๋จัดงานเลี้ยงทันทีที่จวนขุนนางเพื่อต้อนรับหยางจิ่วและกานซือซือ
เทียนซ่งไป๋ผู้นอบน้อม ไม่กล้ามองกานซือซือโดยตรง เพียงแต่รู้สึกว่า ใต้เท้าหยางเป็นผู้ได้รับพรจากสวรรค์จริงๆ
เมื่อเวลาที่ต้องจัดห้องให้พวกเขาหลังอาหารเย็น เทียนซ่งไป๋ได้จัดห้องเดียวสำหรับพวกเขาสองคนอย่างรอบคอบ
แต่ตามคำขอของหยางจิ่ว เขาต้องการผ้านวมทั้งหมดมาไว้ในห้อง
มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ สำหรับคนหนุ่มสาวที่จะเป็นคนผิวบางในตอนกลางคืน แต่พวกเขาต้องนอนกอดบนเตียงเดียวกันไม่ใช่หรือ แล้วมันจะหนาวจนต้องขอผ้านวนเพิ่มทำไม?
อาหารเย็นมีความหรูหรามาก และเหล้าก็เป็นเหล้าที่มีอายุร่วมศตวรรษด้วย แค่กลิ่นก็ทำให้ผู้คนน้ำลายไหลแล้ว
สิ่งที่เด่นชัดที่สุดบนโต๊ะอาหารเย็นคือ อาหารจู๋สุนัข
ในบรรดาอาหารอันโอชะมากมาย อาหารจานนี้ มีรสเผ็ดเป็นพิเศษ
"ใต้เท้าหยาง ลองดู กินนี่สิ อร่อยดีนะ..." เทียนซงไป๋แนะนำจู๋สุนัขให้หยางจิ่ว และยังใส่จู๋สุนัขลงในชามของหยางจิ่วด้วย
กานซือซือก้มศีรษะลงเพื่อกินอาหารอย่างอื่น แต่ใบหน้าของนาง รู้สึกร้อนจนออกหู
ทักษะการทำอาหารของพ่อครัวนั้นดีมาก และเขาทำให้จู๋สุนัขเต็มไปด้วยสีสัน มีกลิ่นหอม และรสชาติเยี่ยมมาก
แต่หยางจิ่วไม่สามารถอ้าปากเพื่อกินได้
ดูจากขนาดแล้ว ต้องใช้กัดหลายครั้ง กว่าจะกินมันได้
ถึงไม่เคยกิน แต่มันก็น่าขยะแขยง
"ใต้เท้าเทียน ท่านทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้นท่านควรกินเพื่อบำรุงร่างกายนะ" หยางจิ่วย้ายจู๋สุนัข ลงในชามให้เทียนซ่งไป๋
เทียนซ่งไป๋ยิ้มอย่างหยาบคาย และกินหมดชิ้นเดียวเพียงการกัดสองครั้ง ดูท่าทางแล้ว น่าจะเพลิดเพลินมาก
พวกเขารับประทานอาหารตั้งแต่เย็นจนถึงค่ำ
หลังจากไปที่ห้องแล้ว หยางจิ่วก็เตรียมเย็บศพ
“ใต้เท้าหยาง ข้ารู้สึกเป็นหวัดเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่ออกจากที่ทำงาน หมอบอกว่า ข้าไม่สามารถโดนลมหนาวได้ ดังนั้นข้าจะไม่ไปกับเจ้า หากเจ้าต้องการอะไร เพียงแค่ถามจ้าวปู่โต่ว” เห็นได้ชัดว่าเทียนซ่งไป๋กลัวผีและไม่กล้าออกไปข้างนอก
จ้าวปู่โต่วคือเสมียนที่ต้อนรับพวกเขาเข้ามา
หยางจิ่วประสานหมัดแน่นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: "เรื่องเย็บศพ ท่านปล่อยให้ข้าจัดการเอง"
ข้าหวังว่ามันจะได้ผล
เทียนซ่งไป๋เฝ้าดูหยางจิ่วจากไป และสวดภาวนาในใจอย่างเงียบ ๆ
“ใต้เท้าหยาง นั่นคือจุดที่ คนเคาะยามหูเหลาฉี ถูกค้นพบเป็นครั้งแรก ในเวลานั้น เราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะขยับร่างกายของเขา ก้ไม่สามารถยกขึ้นได้ แล้วตอนที่เหยินโต่วเฉิงกำลังเย็บร่างกายของเขา ข้าก็อยู่ข้างนอก และเสียงกรีดร้องก็ดัง…”จ้าวปู่โต่วเดินตามหลังหยางจิ่วและพูดอย่างฉะฉาน
กานซือซือถามอย่างสงสัย: "เมื่อท่านได้ยินเสียงกรีดร้องของช่างเย็บศพ ท่านไม่ได้เข้าไปช่วยหรอกเหรอ?"
"ตอนที่เย็บศพ เราจะไม่อนุญาตให้คนที่สองอยู่ข้างๆ" หยางจิ่วตอบแทนจ้าวปู่โต่ว
จ้าวปู่โต่วพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าและพูดว่า "นั่นคือสิ่งที่เหยินโต่วเฉิงบอกเรา ไม่ว่าเราจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม เราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโรงเก็บของ"
กานซือซือคิดอยู่ในใจ หากเกิดอะไรขึ้นกับหยางจิ่วในภายหลัง นางจะรีบเข้าไปอย่างแน่นอน
"ไม่ ไม่ อย่าคิดแบบนั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นกับพี่จิ่วได้ยังไง!" นางส่ายหัวอย่างรวดเร็ว หวังว่านางจะตบหัวตัวเองได้สองครั้ง
บนถนนในเขตไป๋เหอ ตอนกลางวันไม่มีผู้คน และไม่มีแม้แต่ผีในตอนดึก
จ้าวปู่โต่วยังนำเจ้าหน้าที่ของจวนขุนนางมาเจ็ดคนด้วย ทุกคนมีดาบอยู่ในมือ เฝ้าดูทุกทิศทาง
หัวใจของข้าเต้นแรง ขาของข้าสั่น ข้าเหงื่อออก และข้าก็อยากจะฉี่ราดด้วยซ้ำ
นี่คือการแสดงภาพที่แท้จริงของจ้าวปู่โต่วและคนอื่นๆ
รูปร่างของศพทั้งสองนั้นเหมือนกันทุกประการ
หยางจิ่วตัดสินใจเย็บหูเล่าฉีก่อน และหลังจากตักเตือนพวกเขาแล้ว หยางจิ่วก็เข้าไปในโรงเก็บของที่สร้างปกคลุมหูเล่าฉี
กานซือซือ จ้าวปู่โต่ว และคนอื่นๆ เฝ้าอยู่ข้างนอกด้วยความกังวลใจมาก
รอยฉีกของร่างกายหูเล่าฉีนั้นหยาบมาก มันไม่ได้ถูกตัดด้วยอาวุธมีคม แต่เหมือนถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ มากกว่า
หยางจิ่วมองไปรอบๆ ด้วยตาหยินหยาง แต่ไม่พบสิ่งใด
แต่ศพของหูเล่าฉีก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
ไม่สามารถเย็บตัวเข้ากันได้ หากไม่ได้ขยับส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าหากัน
หยางจิ่วกลั้นลมหายใจ และพยายามยกชิ้นส่วนศพทีละส่วน
แต่ก็ไม่สามารถขยับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้
ในท้ายที่สุด เหลือเพียงลองกับศีรษะของหูเล่าฉีเท่านั้น
หยางจิ่วเดินไป ก้าวย่าง ตั้งสมาธิในทักษะภูษาเหล็กของเขา คว้าศีรษะของหูเล่าฉี แล้วดึงมันขึ้นมาอย่างแรง
โดยไม่คาดคิด ศีรษะไม่ได้ยึดติดกับพื้น เนื่องจากเขาใช้แรงมากเกินไป ทั้งคนทั้งศีรษะ ก็ล้มลงไปข้างหลัง
แต่ใต้ศีรษะนั้น มีการเชื่อมต่อด้วยเส้นใยที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ชิ้นส่วนศพที่เหลือ สั่นสะท้าน และลอยขึ้นมาพร้อมกัน ขับเส้นไหมจำนวนมากมาสานเป็นตาข่าย และพุ่งไปทางหยางจิ่วอย่างรวดเร็ว
เส้นไหมตกลงบนร่างของหยางจิ่วทำให้เกิดเสียงหึ่งๆ
ภายใต้การปกป้องของทักษะภูษาเหล็ก ตาข่ายไหมไม่ได้ทำร้ายหยางจิ่วเลยแม้แต่น้อย
แต่เหยินโต่วเฉิงที่มาเย็บศพในคืนนั้น ไม่มีพละกำลังเท่าหยางจิ่ว และทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมอันน่าเศร้าของการถูกตาข่ายไหมตัดตัวเขาออกเป็นชิ้น ๆ
ชิ้นส่วนของร่างกายแต่ละส่วน จะถูกยึดไว้กับพื้นด้วยเส้นไหมชนิดนี้ การใช้เส้นไหมนั้น ทำให้ส่วนของร่างกายเหล่านี้ สามารถจัดวางเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ตามต้องการ
นี่เป็นเคล็ดลับที่ฉลาดมาก
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หยางจิ่วก็ชักดาบออกมา และตัดเส้นไหมทั้งหมดออกด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
ชิ้นส่วนศพที่ลอยอยู่ในอากาศ ตกลงมาทีละชิ้น
ทักษะเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ไม่สามารถทำอะไรกับทักษะภูษาเหล็กของเขาได้
หยางจิ่วปะติดปะต่อทุกส่วนของร่างกาย จุดธูปหอม และเริ่มเย็บร่างกาย
ซากศพที่ดูเหมือนกระจัดกระจายนั้นเย็บได้ไม่ยาก
ธูปหอมถูกเผาเพียงครึ่งเดียว และร่างของหูเล่าฉีก็ถูกเย็บ
"คัมภีร์แห่งชีวิตและความตาย" เริ่มบันทึกชีวิตของหูเล่าฉี
หูเล่าฉีเกิดมาขี้เหร่ และเมื่อบิดามารดาของเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็มีชีวิตที่ค่อนข้างสุขสบาย
ต่อมา บิดามารดาของเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วยทีละคน และหลังจากที่หูเล่าฉีทำลายทรัพย์สินของครอบครัว เขาก็กังวลเกี่ยวกับอาหารสามมื้อต่อวันตลอดทั้งวัน
มันบังเอิญที่คนเคาะยามในเทศมณฑลถูกขโมยฆ่า และไม่มีใครกล้าเป็นคนเคาะยามอยู่พักหนึ่ง ดังนั้นสิ่งดีๆ นี้ จึงตกอยู่กับหูเล่าฉี
หูเล่าฉีทำสิ่งนี้มานานกว่ายี่สิบปี
เพราะเขาขี้เหร่ เขาจึงไม่เคยคิดที่จะแต่งงานมีภรรยาเลย เขาอยากได้ผู้หญิงจริงๆ เขาจึงเอาเริ่มเก็บเงินที่หามาได้จากการใช้ชีวิตและการออมเงิน แล้วไปที่เหยาซือเพื่อซื้อหญิงสาวมาแต่งงาน
(เหยาซือ คือซ่องโสเภนีที่ชั้นต่ำที่สุดในสมัยจีนโบราณ ส่วนมากจะเป็นกระท่อมหรือบ้านร้างเก่าๆ ที่เปิดให้บริการ)
วันนั้นเขาจะได้มีความสุขและไร้กังวล.
ในคืนที่เกิดเหตุ เขาออกไปทำงานกะตามปกติ
แต่เมื่อไปถึงถนนสายหลักเหมือนเมื่อสองคืนก่อน เขาเห็นกองทัพผีดิบ(เจียงซือ)
ผีดิบพวกนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าขาด ทั้งหมดต่างก็ยกมือขึ้น และกระเด้งไปข้างหน้าเป็นแถวเรียบร้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพผีดิบเป็นเวลาสามคืนติดต่อกัน หูเล่าฉีเริ่มคุ้นเคยกับมัน ตราบใดที่เขายืนอยู่กับกำแพง รอให้กองทัพผีดิบเดินผ่าน มันจะไม่สนใจเขาเลย
ว่ากันว่าหยินและหยางแยกจากกัน หยินและหยางก็เปรียบเสมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง
เมื่อกองทัพผีดิบกำลังจะผ่านไป หูเล่าฉีก็อดไม่ได้ที่จะจาม
ผีดิบทั้งหมดหยุดกระโดด และหัวของพวกมัน ก็หันไปทางหูเล่าฉี