ตอนที่ 492 หอคอยคู่
ตอนที่ 492 หอคอยคู่
เมื่อมองจากระยะไกลเซี่ยเฟยก็ได้พบกับหอคอยตั้งตระหง่านอยู่สองแห่ง โดยพื้นผิวของหอคอยเป็นสีดำแล้วมันก็มียอดแหลมพุ่งสูงขึ้นไปจนทะลุก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
สองฟากฝั่งของถนนมุ่งหน้าสู่หอคอยเต็มไปด้วยพ่อแม่และเด็กทารก โดยคนที่พอมีเงินจะขับรถส่วนพวกคนจนส่วนใหญ่จะใช้การเดินเท้า
ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้หอคอยคู่มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งพบคนบนถนนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแววตาของคนที่กำลังเดินทางมาต่างก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความหวัง ส่วนแววตาของผู้ที่กำลังกลับมาก็มีทั้งสุขเศร้าคละเคล้ากันไป
“พวกเด็ก ๆ ถูกนำตัวไปแลกพลังพิเศษตั้งแต่อายุน้อยแค่นี้เองเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความประหลาดใจ เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่ถูกนำตัวไปยังหอคอยยังมีอายุไม่ถึง 1 ขวบด้วยซ้ำ แม้แต่เด็กที่โตที่สุดที่เขาเห็นระหว่างทางก็มีอายุเพียงแค่ประมาณ 2-3 ขวบ ซึ่งยังถือว่าเด็กเกินไปสำหรับเขาอยู่ดี
หากเทียบกับมาตรฐานในพันธมิตรประชาชนต้องรอจนกว่าเด็กจะมีอายุครบ 7 ขวบ พวกเขาถึงจะเริ่มทำการฝึกฝนมนตราดวงดาวได้ และถ้าหากว่าพวกเขายังไม่ได้รับพลังพิเศษจนกระทั่งอายุถึง 12 ปี พวกเขาจึงจะสามารถดื่มน้ำยาปรับสภาพยีนเพื่อลุ้นรับพลังพิเศษได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนหรือการดื่มน้ำยาต่างก็ล้วนแล้วแต่มีอันตราย พ่อแม่ของเด็กส่วนใหญ่จึงรอจนกว่าลูก ๆ ของพวกเขาจะโตมากพอ ถึงจะให้เริ่มฝึกฝนวิชาหรือยอมให้ดื่มน้ำยาปรับสภาพยีนเข้าไป
เกณฑ์อายุที่พันธมิตรตั้งไว้ถือว่าเป็นเกณฑ์อายุที่ปลอดภัยที่สุด หลังจากที่พวกเขาทำการวิจัยมันนานหลายร้อยปี แต่ภายในอาณาจักรเทียนโลหิตพ่อแม่กลับส่งเด็ก ๆ ที่มีอายุยังไม่ถึง 1 ปีไปแลกเปลี่ยนพลังพิเศษกับอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งในมุมมองของเซี่ยเฟยการทำแบบนี้เป็นเรื่องที่อันตรายต่อเด็ก ๆ มากเกินไป
“อาณาจักรเทียนโลหิตเป็นสถานที่ที่ป่าเถื่อนแบบนี้แหละ เด็กหลาย ๆ คนต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาให้ครอบครัวตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มเดินได้ สภาพแวดล้อมในอาณาจักรแห่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนภายนอกจะจินตนาการได้อย่างแท้จริง”
“ดังนั้นยิ่งพวกเขาได้รับพลังพิเศษเร็วเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นเท่านั้น และถ้าหากว่าพวกเขาสามารถใช้พลังพิเศษได้อย่างชำนาญ มันก็จะทำให้ครอบครัวของพวกเขาสามารถหาอาหารได้มากกว่าเดิม”
“ด้วยธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณมันจึงทำให้แม้แต่เด็ก ๆ ในราชวงศ์ก็ถูกกำหนดให้ต้องเข้าหอคอยแห่งคำสาปก่อนที่พวกเขาจะมีอายุครบ 2 ปีด้วยเหมือนกัน” คอนสแตนตินกล่าวอย่างหมดหนทาง เพราะในความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้ชื่นชอบความป่าเถื่อนของอาณาจักรบ้านเกิดของตัวเองเหมือนกัน
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจว่าเด็กในอาณาจักรนี้ก็คงจะต้องแบกรับภาระไม่ต่างไปจากผู้ใหญ่ มันเลยทำให้อุปนิสัยของผู้คนในอาณาจักรนี้แตกต่างไปจากผู้คนในพันธมิตร
สภาพภูมิประเทศเริ่มต่ำลงไปเรื่อย ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้พบว่าสถานที่ตั้งหอคอยคู่เป็นก้นหลุมที่ยุบลงไปใต้พื้นดิน ราวกับว่าพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่มาก่อน
ตัวหอคอยถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเรดนาเร็ดซึ่งหาพบได้โดยทั่วไปภายในอาณาจักรแห่งนี้ ด้านนอกของกำแพงมีเต็นท์ที่พักกางเอาไว้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน พ่อแม่หลาย ๆ คนก็ถึงกับอยู่อาศัยกลางแจ้งกับพวกลูก ๆ โดยอาศัยหิน 2-3 ก้อนมาสร้างกองไฟอย่างเรียบง่าย และใช้วัชพืชที่อยู่แถว ๆ นั้นมาเป็นฟืน
“มันมีคนต้องการส่งลูก ๆ เข้าสู่หอคอยแห่งคำสาปเป็นจำนวนมาก คนที่ไม่มีเงินจึงจำเป็นจะต้องต่อแถวเป็นเวลานาน ถ้าหากว่าใครโชคดีมาช่วงที่มีคนน้อย ๆ พวกเขาก็อาจจะต้องรอแค่ 4-5 วัน แต่ถ้าหากพวกเขาโชคร้ายมาตอนที่คนเยอะ ๆ มันก็เคยมีคนต้องรอเป็นเดือนหรืออาจจะถึง 2 เดือนได้เลย” คอนสแตนตินกล่าวอธิบายว่ามันมีคนมาตั้งเต็นท์พักอยู่แถว ๆ หอคอยแห่งคำสาปทำไม
รถลอยที่คอนสแตนตินกับเซี่ยเฟยใช้สัญจรมาเริ่มมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนสายพิเศษ มันจึงเรียกความสนใจของผู้คนได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
หลังจากที่เซี่ยเฟยลงจากรถเขาก็ได้พบว่าหอคอยหนึ่งมีคนเข้าแถวรออยู่เป็นจำนวนมาก แต่อีกหอคอยหนึ่งกลับไม่มีใครเข้าแถวรอเลยแม้แต่คนเดียว มันจึงมีฝุ่นหนา ๆ เกาะอยู่ที่กำแพงหน้าหอคอย ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงชี้ให้เห็นว่ามันไม่มีใครเข้ามาในหอคอยนี้เป็นเวลานานแล้ว
“นายบอกว่าหอคอยแห่งคำสาปมีอยู่ 2 แห่งไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมหอคอยนี้ไม่มีใครต้องการจะเข้าไปเลย แต่อีกหอคอยหนึ่งกลับมีคนต่อแถวรออยู่ยาวเหยียด?”
ทันทีที่เซี่ยเฟยพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นดังขึ้นมาจากหอคอยด้านข้าง ก่อนที่เขาจะได้พบกับเด็กที่มีอายุประมาณ 1 ขวบขว้างลูกไฟในมือเผาผมบนศีรษะของพ่อตัวเองจนผมไหม้ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ถึงกระนั้นพ่อของเขากลับไม่รู้สึกโกรธเคืองลูกชายของตัวเองเลย แต่เขาได้ใช้ทั้งสองมือยกลูกชายขึ้นไปเหนือศีรษะ พร้อมกับตะโกนต่อหน้าฝูงชนด้วยความตื่นเต้นและความภาคภูมิใจ
“เขาคือลูกชายของฉันเอง! เขาคือคนที่จะเติบโตเป็นนักรบผู้ใช้เปลวไฟ!!”
ผู้ชมบริเวณรอบด้านต่างก็ล้วนแล้วแต่มองไปยังชายคนนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา จากนั้นพ่อกับเด็กชายในอ้อมแขนก็เดินผ่านเซี่ยเฟยกับคอนสแตนตินไปอย่างนอบน้อม ซึ่งเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าหูซ้ายของลูกชายคนนี้แหว่งหายไปราวกับว่ามันถูกตัดออกด้วยของมีคม
“ที่เขาดีใจขนาดนั้น นั่นก็เพราะลูกชายของเขาได้รับพลังที่อาจจะทำให้เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมากลายเป็นนักสู้ได้ในอนาคต และถ้าหากว่าเด็กคนนั้นสอบเข้ากลายมาเป็นทหารของอาณาจักรได้ มันก็จะทำให้ชะตากรรมของครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” คอนสแตนตินกล่าวอธิบาย
เซี่ยเฟยยักไหล่โดยไม่ออกความเห็นอะไร ซึ่งหลังจากที่เขาได้ทำการพูดคุยสอบถามถึงข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ แล้ว เขาก็ได้พบว่าอาณาจักรเทียนโลหิตมีนักสู้ระดับสตาร์ฟิลด์อยู่อย่างมากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถพัฒนาพลังจนถึงระดับลีเจนด์ได้เลย เพราะระดับสูงสุดของนักรบในอาณาจักรนี้หยุดอยู่ที่สตาร์ริเวอร์เท่านั้น เนื่องมาจากพวกเขามักจะเสียชีวิตเสียก่อนที่จะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้
ทุก ๆ 2-3 ปีในพันธมิตรจะมีนักสู้ระดับอิมมอทอลลิตี้ถือกำเนิดขึ้นมา 1 คน และมีจำนวนของนักสู้ระดับต่ำลงมาเพิ่มพูนขึ้นไปตามระดับขั้นของนักรบ กราฟระดับพลังของนักรบในพันธมิตรจึงเป็นรูปทรงของพีระมิดที่มีฐานเป็นนักสู้ระดับสตาร์ไลท์และมียอดเป็นนักสู้ระดับอิมมอทอลลิตี้
ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าการแลกเปลี่ยนพลังในอาณาจักรเทียนโลหิตจะทำให้อาณาจักรนี้มีจำนวนของนักสู้ระดับสตาร์ฟิลด์สูงที่สุด แต่มันกลับไม่มีนักสู้ระดับลีเจนด์ถือกำเนิดขึ้นมาในอาณาจักรแห่งนี้เลย กราฟระดับพลังของนักสู้ในอาณาจักรนี้จึงกลายเป็นพีระมิดหัวตัดฐานกว้าง ที่ไม่มีใครสามารถพัฒนาจนขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวาลได้
“นายยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลยนะ ว่าทำไมหอคอยหนึ่งถึงมีคนเข้าแถวยาวเหยียด แต่อีกหอคอยหนึ่งกลับไม่มีใครต้องการจะเข้าไปในหอคอยนั้นเลย” เซี่ยเฟยถามอีกครั้ง
“หอคอยแห่งคำสาปในอาณาจักรเรามีอยู่ 2 หอคอยจริง ๆ แต่คนคนหนึ่งสามารถเลือกเข้าหอคอยได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น โดยหอคอยที่มีคนกำลังเข้าแถวรออยู่คือหอคอยที่จะมอบพลังพิเศษเกี่ยวกับการต่อสู้ ส่วนอีกหอคอยที่ไม่มีใครเข้าไปเลยคือหอคอยที่จะมอบพลังพิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยี”
“ในสายตาของประชาชนของอาณาจักรเทียนโลหิต พวกเขาบูชาความแข็งแกร่งเหนือสิ่งอื่นใด มันจึงไม่มีใครให้ความสนใจพลังพิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลยแม้แต่น้อย หอคอยนั่นจึงไม่มีใครเข้าไปมานานหลายปีแล้ว” คอนสแตนตินกล่าว
“หอคอยที่มอบพลังพิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็ต้องแลกเปลี่ยนอวัยวะในร่างกายกับพลังพิเศษหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“ไม่ว่าจะเป็นหอคอยไหนคนที่เข้าไปก็ต้องเสียสละอวัยวะของพวกเขาเพื่อแลกกับพลังพิเศษเหมือนกัน น่าเสียดายที่ความเป็นอยู่ในอาณาจักรของเราแร้นแค้นมากเกินไป มันจึงไม่มีใครต้องการได้รับพลังเกี่ยวกับเทคโนโลยี และมันก็ทำให้อาณาจักรของพวกเรากลายเป็นสถานที่ดักดานอยู่แบบนี้ นั่นก็เพราะว่าทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่แสวงหาพละกำลัง”
ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพลังพิเศษเกี่ยวกับการต่อสู้ที่อ่อนแอมากแค่ไหน แต่การเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 มันก็จะทำให้พวกเขาฉลาดมากขึ้น, อายุยืนนานขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งการปรับปรุงเพียงแค่เล็กน้อยนี้ช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนหลาย ๆ คน มันจึงมีน้อยคนมากที่จะยอมเสี่ยงกลายเป็นคนไร้ประโยชน์โดยการเลือกเข้าไปรับพลังพิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยี
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และถึงแม้ว่าการแลกเปลี่ยนพลังพิเศษกับอวัยวะส่วนหนึ่งจะทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงพลังพิเศษในระดับสูงได้ แต่การที่หอคอยแห่งคำสาปสามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ให้กับทุกคนได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากแล้ว
“ทักษะช่างกลของนายอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี นายได้รับพลังพิเศษมาจากหอคอยเทคโนโลยีอย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“ถูกต้อง ถึงแม้ว่ามันจะมีเพียงแค่ไม่กี่คนต้องการจะเข้าไปรับพลังพิเศษในหอคอยเทคโนโลยี แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีใครเข้าไปรับพลังพิเศษจากหอคอยนั้นเลย ในอดีตเคยมีครอบครัวหนึ่งส่งลูกของเขาเข้ามารับพลังพิเศษจากหอคอยนี้ และเขาก็ได้รับพลังพิเศษเกี่ยวกับช่างกลกลับไป”
“หลังจากที่เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมา เขาก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับช่างกลเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และความรู้ของฉันก็ได้รับมาจากงานเขียนของเขาคนนี้นี่เอง แต่น่าเสียดายที่พ่อของฉันไม่ชอบเรื่องอื่นนอกจากการต่อสู้ ฉันจึงมักจะถูกดุในระหว่างที่ฉันเรียนหนังสืออยู่เสมอ” คอนสแตนตินกล่าว
หลังจากเดินไปรอบ ๆ หอคอยเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าโลหะที่ใช้สร้างหอคอยนี้ไม่ใช่เรดนาเร็ดที่หาพบได้โดยทั่วไปในอาณาจักรเทียนโลหิต แต่เป็นโลหะโฟวรี่อัลลอยที่ใช้ในการผลิตดาบดราก้อนสเกล ซึ่งมันเป็นโลหะล้ำค่าที่ช่วยให้ผู้ใช้พลังจิตเหนี่ยวนำพลังผ่านโลหะชนิดนี้ได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
ปริมาณการใช้โลหะโฟวรี่อัลลอยในการสร้างหอคอยนี้จัดอยู่ในระดับที่น่าทึ่งมาก และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงมูลค่าว่าโลหะที่ใช้สร้างหอคอยทั้งหอคอยจะมีมูลค่ามากมายมหาศาลมากแค่ไหน
“ใครเป็นคนสร้างหอคอยแห่งคำสาปพวกนี้ขึ้นมา?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ไม่มีใครตอบคำถามนี้ของนายได้หรอก ว่ากันว่าหอคอยทั้งสองแห่งปรากฏตัวขึ้นมาในชั่วข้ามคืน และผู้คนก็ค่อย ๆ ค้นพบความลับของพวกมันในภายหลัง”
“ตอนแรกอาณาจักรของพวกเราใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากมาก แต่หลังจากที่หอคอยคู่นี้ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ผู้คนในอาณาจักรก็เริ่มมีอัตราการรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือมันอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าหอคอยคู่นี้คือวีรบุรุษของอาณาจักรของเราอย่างแท้จริง ที่ทำให้พวกเราสามารถดำเนินชีวิตมาได้จนถึงปัจจุบัน”
คอนสแตนตินนำเซี่ยเฟยเดินผ่านบันไดเข้าไปภายในตัวของหอคอย ก่อนที่พวกเขาจะได้พบกับห้องโถงกว้างขวางแต่ไม่มีบันไดหรือลิฟต์ที่จะนำพวกเขาขึ้นไปในพื้นที่ชั้นที่สูงกว่านี้ ในห้องโถงที่ว่างเปล่ามีภาชนะรูปร่างเหมือนไข่วางอยู่เพียงแค่ 99 อันเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่พ่อแม่ได้ใส่เด็กเข้าไปในภาชนะ ภาชนะพวกนั้นก็จะปิดตัวลงพร้อมกับเสียงเด็กร้องไห้ที่ค่อย ๆ จางหายไป
พ่อแม่ที่ส่งเด็กเข้าไปภายในภาชนะต่างก็ยืนรอรับลูกของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ เซี่ยเฟยจึงเข้าไปพูดคุยกับครอบครัว ๆ หนึ่งในระหว่างที่เด็กถูกนำตัวไปแลกเปลี่ยนอวัยวะกับพลังพิเศษ
จากการสนทนาทำให้เซี่ยเฟยได้รู้ว่าพวกเขาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ห่างไกล โดยการใช้เงินเก็บของครอบครัวก้อนสุดท้ายเดินทางมาเสี่ยงโชค หวังว่าลูกของพวกเขาจะได้รับพลังที่จะช่วยให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากยิ่งขึ้น
ภายในอาณาจักรเทียนโลหิตมีดาวมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น 3 ดวง แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามดวงดาวสำหรับประชาชนที่ยากจนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หมู่บ้านบางหมู่บ้านจึงรวมตัวเด็กทุกคนเพื่อเดินทางไปยังหอคอยแห่งนี้เพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น
เด็กที่ได้รับพลังที่เป็นประโยชน์จะถูกนำกลับไปฝึกฝนที่หมู่บ้านอย่างประคบประหงม แต่เด็กที่ได้รับพลังพิเศษที่ไร้ประโยชน์จะถูกทิ้งขว้างในทันที เพราะท้ายที่สุดการนำตัวเด็กกลับไปก็จะสร้างภาระค่าใช้จ่ายให้พวกเขามากยิ่งขึ้น สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์รวมของฝูงหมาป่าที่รอกินเหล่าเด็ก ๆ ที่ถูกทิ้งขว้างอย่างไร้เยื่อใย
“ดูเหมือนว่านายจะได้เห็นด้านที่เลวร้ายที่สุดในอาณาจักรของเราแล้ว” คอนสแตนตินส่ายหัวด้วยความอับอาย
ในฐานะที่เซี่ยเฟยเป็นชาวโลกเขาจึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการทอดทิ้งเด็กที่ไร้ความสามารถกับคนชราที่หมดประโยชน์แล้ว แต่เขาก็ยังเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไปตามสถานที่แต่ละแห่งในจักรวาล เพราะท้ายที่สุดมนุษย์ทุกคนก็ต้องแสวงหาวิธีที่จะทำให้พวกเขาอยู่รอด แม้ว่ามันจะต้องหมายถึงการทิ้งพ่อแม่หรือลูก ๆ ของพวกเขาไปก็ตาม
“ทำไมหอคอยนี้มันถึงมีห้องโถงเพียงแค่ชั้นเดียว? มันไม่มีทางที่จะขึ้นไปบนชั้นที่อยู่สูงกว่านี้งั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากที่เขาเดินออกมาด้านนอกของหอคอย และเงยหน้าขึ้นไปมองหอคอยที่สูงเสียดฟ้า
“หอคอยแห่งคำสาปกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนภายในอาณาจักรของพวกเรามาเนิ่นนานแล้ว ว่ากันว่าในอดีตมีคนอยากรู้อยากเห็นหลาย ๆ คนพยายามจะหาทางขึ้นไปดูว่าด้านบนของหอคอยมีอะไรซ่อนอยู่ แต่โชคร้ายที่คนพวกนั้นไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากนั้นมามันก็ไม่มีใครกล้าทำการสำรวจหอคอยแห่งนี้อีกเลย” คอนสแตนตินกล่าวพร้อมกับส่ายหัวแสดงว่าเขาก็ไม่รู้ว่าด้านบนของหอคอยมีอะไรอยู่เหมือนกัน
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินไปยังหอคอยอีกแห่ง แต่จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็สัมผัสได้ถึงใครบางคนที่กำลังมองเขามาจากทางด้านบนของหอคอย
“ด้านบนของหอคอยมีความผันผวนของพลังงานเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เด็กถูกส่งตัวเข้าไปด้านใน” อันธกล่าวกับเซี่ยเฟยด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ฉันรู้สึกว่ามันมีใครบางคนกำลังจ้องมองฉันมาจากด้านบนของหอคอย” เซี่ยเฟยกล่าว
“บนหอคอยไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียวเลยนะ แล้วใครมันจะมาแอบมองนายจากด้านบนของหอคอยได้?” อันธกล่าวออกมาด้วยความตกตะลึง
“มันไม่สำคัญหรอกว่าใครแอบดูฉันอยู่ เดี๋ยวคืนนี้พวกเราค่อยมาแอบสำรวจหอคอยกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“นายไม่ได้ยินรึไงว่าคนที่พยายามสำรวจหอคอยต่างก็ล้วนแล้วแต่เสียชีวิตทั้งหมด” อันธรีบห้ามปรามความคิดบ้า ๆ ของชายหนุ่ม
“ฉันเชื่อสิ่งที่ฉันสัมผัสได้เท่านั้น เรื่องเล่าพวกนั้นจะเป็นความจริงหรือเปล่า เดี๋ยวคืนนี้พวกเราก็ได้คำตอบเองนั่นแหละ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างดื้อรั้น
***************