ตอนที่ 491 งานเลี้ยง
ตอนที่ 491 งานเลี้ยง
“เร็วมาก! มีใครเห็นไหมว่าเขาเคลื่อนไหวได้ยังไง?”
“โหดมาก! นี่เขาถึงขนาดบดขยี้กระดูกของคู่ต่อสู้ได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธเลยงั้นเหรอ!!”
“เขาเป็นผู้ใช้ความเร็วระดับสูง พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
แม้ว่าเหล่าบรรดานักรบจะรู้สึกโกรธแต่มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะลงมือจู่โจมเข้าใส่เซี่ยเฟยเลยแม้แต่คนเดียว เพราะความเร็วที่เซี่ยเฟยแสดงออกมาอยู่ในระดับที่เหนือเกินกว่าพวกเขาจะมองเห็นได้ แล้วพวกเขาจะสามารถจัดการกับนักสู้ความเร็วสูงคนนี้ได้ยังไง
“ฉันไม่ได้มีปัญหาถ้าหากว่าใครจะมาพูดจาดูถูกอะไรใส่ฉัน สิ่งเดียวที่สำคัญคือเขาอ่อนแอมากเกินไป เขาก็เลยเสียชีวิตเพราะความโง่เขลาของตัวเอง” เซี่ยเฟยกล่าวขณะที่โยนศพทิ้งไปพร้อมกับกวาดสายตามองดูฝูงชนด้วยแววตาที่เย็นชา
ชายหนุ่มเดินกลับไปหาคอนสแตนตินอย่างสงบ และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องปกติสำหรับการฆ่าใครสักคนในอาณาจักรเทียนโลหิต แต่การทำแบบนั้นภายในพระราชวังก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอยู่เล็กน้อย สีหน้าของคอนสแตนตินจึงเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเขาก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องวางตัวแบบไหนในสถานการณ์ที่พลิกกลับไปกลับมานี้
“ท่านพ่อเขากล้าสังหารนายพลแลนซ์ในงานเลี้ยงของราชวงศ์! เขาสมควรถูกลงโทษ!!” เจ้าชายแคมปัสชี้นิ้วไปที่เซี่ยเฟยพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ
แคมปัสต่างจากคอนสแตนตินที่มีรูปร่างอันผอมแห้ง เพราะเจ้าชายคนนี้มีรูปร่างที่อ้วนท้วม, ตัวใหญ่, ผิวสีเข้มและเขาก็กำลังใช้ดวงตาคู่เล็กมองมายังเซี่ยเฟยอย่างมุ่งร้าย
เซี่ยเฟยเพียงแค่เหลือบสายตามองเจ้าชายคนเล็กอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งที่นั่งของตัวเองแล้วหยิบองุ่นโยนเข้าไปภายในปากราวกับต้องการจะบอกเจ้าชายคนนี้ว่า
“ถ้าแน่จริงก็มาจัดการกับฉันสิ!”
ในทางตรงกันข้ามราชินีผู้ซึ่งเป็นมารดาของเจ้าชายแคมปัสก็พอจะมีสายตาที่เฉียบแหลมอยู่บ้าง เธอจึงรู้ว่าเซี่ยเฟยไม่ใช่คนที่ควรเข้าไปยั่วยุหากทางฝั่งของเธอไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอ ดังนั้นเธอจึงสั่งให้ลูกชายของเธอนั่งลงและกระซิบข้อความอะไรบางอย่างที่หูของราชาเลสเตอร์
“ใช่แล้ว มันเป็นความผิดของแลนซ์เองที่มีความแข็งแกร่งไม่พอ ดังนั้นเขาจึงโทษอะไรใครไม่ได้เมื่อมีคนฆ่าเขาตาย เอาล่ะลากศพเขาออกไปทิ้งข้างนอกเดี๋ยวนี้” เลสเตอร์กล่าวหลังจากได้ยินสิ่งที่ราชินีกระซิบที่ข้างหู
ไม่นานก็มีทหารมาลากศพแลนซ์ออกไปแต่ชายคนนี้มีขนาดตัวที่ใหญ่มาก มันจึงจำเป็นจะต้องใช้ทหาร 2 คนเพื่อลากร่างของเขาออกไปอย่างยากลำบาก แต่ย้อนกลับไปชายคนนี้กลับถูกเซี่ยเฟยยกขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียวราวกับว่าตัวของเขาไม่ได้มีน้ำหนักสักนิดเลย
“ไม่ทราบว่าความเร็วของคุณเกินกว่า 10,000 เมตรต่อวินาทีไปแล้วใช่ไหม?” ราชินีหันไปถามเซี่ยเฟยด้วยรอยยิ้ม
“30,000 เมตรต่อวินาที” เซี่ยเฟยกล่าวตอบพร้อมกับชูนิ้วขึ้นมา 3 นิ้ว
แม้ว่าเสียงของชายหนุ่มจะไม่ดังนักแต่มันก็กระแทกใจทุกคนราวกับลูกกระสุน ท้ายที่สุดความเร็วก็เป็นพลังที่ฝึกฝนได้อย่างยากลำบากมากที่สุดในจักรวาล ผู้ที่สามารถฝึกฝนความเร็วได้เกินกว่า 10,000 เมตรต่อวินาทีจึงเป็นผู้ที่มีพลังที่น่าอัศจรรย์มาก แล้วมันจึงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงผู้ที่สามารถฝึกฝนพลังความเร็วได้ถึง 30,000 เมตรต่อวินาทีเลย
ด้วยเหตุนี้พวกนักรบที่เคยพูดจาดูถูกเซี่ยเฟยต่างก็ล้วนแล้วแต่มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาทั่วร่างกาย และพวกเขาก็ทำได้เพียงแต่คิดอยู่ในใจว่าโชคดีมากแล้วที่เซี่ยเฟยไม่ได้จัดการพวกเขาด้วย
“ฮ่า ๆ ๆ แข็งแกร่ง แข็งแกร่งมาก! พวกเรามาเริ่มเฉลิมฉลองต้อนรับการมาเยือนอาณาจักรเทียนโลหิตของคุณกันดีกว่า” ราชาเลสเตอร์หัวเราะขึ้นมาเสียงดังพร้อมกับยกแก้วแชมเปญขึ้นไปในอากาศ เพื่อพยายามเปลี่ยนบรรยากาศที่ตึงเครียดให้กลับมาเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
ระหว่างงานเลี้ยงเซี่ยเฟยได้สังเกตปฏิกิริยาของแขกทุกคน และได้พบว่าแขกในงานได้แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งอยู่ทางฝั่งราชินี อีกฝ่ายอยู่ตรงฝั่งคอนสแตนตินและมีคนอีกประมาณ 30-40 คนที่ยังคงไม่เลือกข้างเข้าหาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้สนับสนุนคอนสแตนติน มันก็ดูเหมือนกับว่าเจ้าชายคนนี้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้บุคลิกของคอนสแตนตินยังดูเหมือนกับนักวิชาการจากพันธมิตร แตกต่างจากเหล่าบรรดานักรบป่าเถื่อนภายในอาณาจักรเทียนโลหิต มันเลยทำให้ขุนนางฝ่ายทหารไม่เลือกที่จะเข้าข้างคอนสแตนตินเลยแม้แต่คนเดียว
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปสักพัก เซี่ยเฟยก็ส่งสัญญาณให้คอนสแตนตินเริ่มดำเนินการตามแผนการที่พูดคุยกันเอาไว้ เจ้าชายคนนี้จึงชูมือขึ้นกลางงานเลี้ยงเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง
“ท่านพ่ออัตราการผลิตเรดนาเร็ดภายในอาณาจักรเทียนโลหิตจัดอยู่ในระดับที่สูงมาก แต่เรากลับไม่สามารถขายโลหะพวกนั้นออกไปอย่างอิสระได้ ผมได้หารือเรื่องนี้กับเซี่ยเฟยแล้วและเขาก็ยินดีที่จะซื้อเรดนาเร็ดเป็นจำนวนมากไปใช้ในการก่อสร้างภายในภูมิภาคดาวเหวทมิฬ”
คำพูดของคอนสแตนตินทำให้ทั่วทั้งพระราชวังตกอยู่ในความเงียบสงัด เพราะสิ่งที่เด่นชัดมากที่สุดสำหรับอาณาจักรเทียนโลหิตคือความยากจน ท้ายที่สุดสิ่งที่ทุกคนต้องการก็คือการพยายามขายเรดนาเร็ดออกไป เพราะโลหะพวกนี้เป็นสิ่งที่เอามากินไม่ได้ และพวกเขาก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะแปรรูปมันให้กลายเป็นสินค้าอย่างอื่นด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าทางพันธมิตรจะส่งตัวแทนมาซื้อเรดนาเร็ดจากอาณาจักรเทียนโลหิตเป็นประจำทุกปี แต่ราคารับซื้อจากพันธมิตรก็จัดอยู่ในระดับที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก พวกเขาจึงยังไม่สามารถจัดหาเงินทุนมาพัฒนาอาณาจักรให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ได้
ถ้าหากเซี่ยเฟยสามารถรับซื้อเรดนาเร็ดจากพวกเขาได้เป็นจำนวนมากจริง ๆ มันย่อมช่วยกระตุ้นการเงินของอาณาจักรให้เฟื่องฟูขึ้นมาจากเดิมได้อย่างแน่นอน ท้ายที่สุดภูมิภาคดาวเหวทมิฬก็อยู่ใกล้กับอาณาจักรเทียนโลหิตมาก การขนส่งสินค้าพวกนี้จึงจำเป็นจะต้องใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
ส่วนปัญหาเรื่องอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวันก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในอาณาจักรเทียนโลหิตเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าหากพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนของพวกนี้กับเรดนาเร็ดได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของอาณาจักรเป็นอย่างมาก
ขุนนางทุกคนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน แล้วพวกเขาก็รู้สึกพึงพอใจกับการแลกเปลี่ยนที่เซี่ยเฟยเสนอมาให้
อย่างไรก็ตามข้อเสนอของเซี่ยเฟยก็ทำให้ใบหน้าของราชินีและแคมปัสเปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียด เพราะการที่เซี่ยเฟยให้คอนสแตนตินเป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ครองภูมิภาคดาวเหวทมิฬคนใหม่กำลังให้การสนับสนุนเจ้าชายคนไหนอยู่
“นี่คือเรื่องจริงงั้นเหรอ?” ราชาเลสเตอร์รีบถาม
“ทุกอย่างคือเรื่องจริง” เซี่ยเฟยกล่าวตอบพร้อมกับพยักหน้า
“ไม่ทราบว่าคุณต้องการที่จะซื้อเรดนาเร็ดจำนวนเท่าไหร่? พวกเรามีโรงงานถลุงโลหะทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่อยู่ทั่วทั้งอาณาจักร ดังนั้นไม่ว่าคุณจะต้องการเรดนาเร็ดมากเท่าไหร่ พวกเราก็มีมากพอจะเติมเต็มความต้องการของคุณได้อย่างแน่นอน” เลสเตอร์กล่าว
“ผมได้เห็นโรงงานถลุงโลหะพวกนั้นแล้ว แต่โลหะที่ถูกถลุงโดยโรงงานส่วนใหญ่ยังมีคุณภาพไม่สูงมากนัก อย่างดีที่สุดโลหะพวกนั้นก็สามารถนำไปใช้สร้างที่อยู่อาศัยได้เท่านั้น แต่คุณภาพของพวกมันยังห่างไกลจากการนำไปใช้ในการสร้างยานรบ ดังนั้นถึงแม้ว่าผมจะซื้อโลหะพวกนั้นมา แต่ผมก็ยังจะต้องเอาพวกมันไปหลอมเพื่อเพิ่มคุณภาพของพวกมันใหม่อยู่ดี” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขุนนางทุกคนต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะท้ายที่สุดระดับเทคโนโลยีภายในอาณาจักรของพวกเขาก็ค่อนข้างต่ำ มันจึงทำให้โรงงานถลุงโลหะส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐาน แน่นอนว่าเรดนาเร็ดที่ได้มาตรฐานทั้งหมดจะถูกส่งไปขายให้กับพันธมิตร ส่วนโลหะในส่วนที่เหลือก็จะถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนในอาณาจักร
เลสเตอร์ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อตระหนักว่าเซี่ยเฟยดูเหมือนจะดูถูกเรดนาเร็ดเกรดต่ำ เขาจึงคิดว่าชายหนุ่มคนนี้ก็คงจะไม่ต่างไปจากทางพันธมิตร ที่จะพยายามกดราคาแลกเปลี่ยนโลหะพวกนั้นด้วยทรัพยากรเพียงแค่เล็กน้อย
เซี่ยเฟยส่งเสียงกระแอมขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อดึงสติทุกคนกลับมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า
“ถึงแม้ว่าเรดนาเร็ดจากโรงงานส่วนใหญ่ภายในอาณาจักรเทียนโลหิตจะยังไม่ได้มาตรฐาน แต่ภูมิภาคดาวของเราก็ยังต้องการวัตถุดิบสำหรับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเป็นจำนวนมากอยู่ดี ดังนั้นผมไม่สนว่าอาณาจักรเทียนโลหิตจะมีเรดนาเร็ดขายจำนวนมากเท่าไหร่ เพราะผมจะขอซื้อโลหะพวกนั้นทั้งหมดแม้ว่าพวกคุณจะทำลายกำแพงหรือบ้านเรือนเพื่อเอาโลหะพวกนั้นมาขาย แต่ทั้งผมก็จะขอรับซื้อพวกมันทั้งหมดโดยไม่ติดปัญหา”
คำประกาศของเซี่ยเฟยในครั้งนี้ทำให้ทุกคนตกใจมาก เพราะทุกคนรู้ดีว่าเรดนาเร็ดภายในอาณาจักรของพวกเขาเป็นสิ่งที่มีเหลือมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่เอาโลหะนี้ไปสร้างเป็นกำแพงเมืองหรือแม้กระทั่งเอาไปปูเป็นพื้นของสนามบิน
เมื่อความตื่นเต้นพุ่งขึ้นสูงอย่างฉับพลัน ราชาเลสเตอร์ก็เริ่มไอออกมาอย่างรุนแรง ราชินีจึงรีบนำกระดาษทิชชู่มายื่นให้กับสามีขณะที่เธอได้จ้องมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยสายตาไม่พอใจ
“แม้ว่าคุณจะต้องการรับซื้อเรดนาเร็ดเป็นจำนวนมาก แต่ราคาของพวกมันก็ไม่ใช่ถูก ๆ นะ” ราชินีกล่าว
“ที่นี่คือเขตทุ่งดาวแห่งความตาย นอกเหนือจากอาหารกับอาวุธแม้แต่ชีวิตของมนุษย์ก็มีราคาที่ถูกมาก ดังนั้นถ้าหากราชินีต้องการขายโลหะพวกนั้นในราคาเดียวกันกับพันธมิตร พวกคุณก็เชิญไปหาลูกค้ารายอื่นได้เลย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นและเตรียมพร้อมที่จะเดินจากไป
การแสดงออกของชายหนุ่มในครั้งนี้ทำให้ทุกคนหันไปมองราชินีอย่างไม่พอใจ เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเรดนาเร็ดสูงเท่าภูเขาแต่โลหะพวกนั้นก็ไม่สามารถที่จะเอามากินได้ แล้วทำไมพวกเขาจะต้องเก็บโลหะพวกนั้นเอาไว้ไม่ยอมขายออกไปเพื่อแลกของกินด้วย
“ออกไปเดี๋ยวนี้! เป็นผู้หญิงอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของผู้ชาย” ราชาเลสเตอร์ผลักราชินีออกไปอย่างรุนแรงพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อราชินีถูกด่าว่าขึ้นมาอย่างฉับพลันเช่นนี้ เธอจึงรีบวิ่งหนีออกไปด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยหยดน้ำตา ขณะเดียวกันใบหน้าของเจ้าชายแคมปัสก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นสีซีดเผือดมากขึ้นกว่าเดิม และดวงตาของเขาก็กำลังจ้องมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่ดุร้ายมากยิ่งขึ้น
“อย่าไปสนใจเธอเลย ในอาณาจักรเทียนโลหิตฟังแค่ความคิดเห็นของผู้ชายก็พอ พวกผู้หญิงมีหน้าที่แค่อุ่นเตียงให้เราเท่านั้นแหละ”
ทันทีที่ราชาเลสเตอร์พูดจบเหล่าบรรดาขุนนางภายในวังต่างก็ส่งเสียงหัวเราะ เพราะพวกเขาทุกคนต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับราชาของพวกเขา
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เอาไว้พวกเราค่อยหาเวลาพูดคุยกันใหม่อีกครั้งดีไหม?” เลสเตอร์กล่าว
“ผมเป็นพวกขี้ระแวง ดังนั้นถ้าหากว่าผมไม่ไว้ใจใครแล้วผมก็จะไม่ไว้ใจใครคนนั้นอีกเลยตลอดชีวิต ขณะเดียวกันคอนสแตนตินเป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจ ดังนั้นผมขอมอบอำนาจให้เขาจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้เขาก็ยังเป็นลูกชายของคุณด้วย ผมเชื่อว่าคุณคงจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำอธิบายนี้ทำให้เหล่าบรรดาขุนนางตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะผู้ที่จะเข้ามากอบกู้วิกฤติในอาณาจักรกลับให้ความสำคัญคอนสแตนตินในระดับสูงสุด มันจึงทำให้แม้แต่เหล่าบรรดานักรบที่เคยดูถูกเจ้าชายนอกคอกคนนี้ก็ยังต้องมองคอนสแตนตินด้วยความรู้สึกใหม่ เพราะด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันเจ้าชายคนโตก็กลายเป็นตัวแปรสำคัญ ในการควบคุมเส้นชีวิตเศรษฐกิจของอาณาจักรทั้งหมดเอาไว้แล้ว
ขณะเดียวกันขุนนางหลาย ๆ คนภายในงานเลี้ยงยังเป็นเจ้าของโรงงานถลุงโลหะด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงรีบเข้ามาพูดคุยกับคอนสแตนตินอย่างเอาอกเอาใจ เพื่อหวังว่าพวกเขาจะทำกำไรจากเรดนาเร็ดได้มากยิ่งขึ้น
คอนสแตนตินมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ เพราะคำพูดของชายหนุ่มเพียงแค่ไม่กี่คำกลับเปลี่ยนแปลงสถานะของเขาจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
“ตราบใดก็ตามที่คุณไว้ใจเขาทางฝั่งของฉันก็ไม่มีปัญหา เอาล่ะคอนสแตนตินนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพ่อขอแต่งตั้งให้ลูกเป็นผู้นำการค้าระหว่างอาณาจักรเทียนโลหิตกับภูมิภาคดาวเหวทมิฬ หลังจากนี้ลูกมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ พ่อหวังว่าลูกจะไม่ปล่อยให้ใครคนอื่นมาดูหมิ่นอาณาจักรเทียนโลหิตของพวกเราได้” เลสเตอร์กล่าวพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
คอนสแตนตินพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น ซึ่งเหล่าบรรดาขุนนางต่างก็ยกแก้วให้กับเจ้าชายคนนี้อย่างยินดี และไม่ได้มองไปที่คอนสแตนตินด้วยแววตาดูถูกอีกต่อไป
หลังจากอยู่ในงานอีกไม่นานเซี่ยเฟยก็บอกกับทุกคนว่าวันนี้เขาเพลียมากแล้ว ก่อนที่เขาจะปลีกตัวออกมาจากงานเลี้ยง
“ฮ่า ๆ ๆ การเคลื่อนไหวของนายครั้งนี้ย่อมทำให้คอนสแตนตินรู้สึกติดหนี้บุญคุณนายแน่ ๆ และถึงแม้ว่าหลังจากนี้นายจะไม่ออกปากพูดอะไร แต่เขาย่อมลดราคาเรดนาเร็ดที่จะขายให้กับนายอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วถ้าหากว่าเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์เขาย่อมเชื่อฟังความเห็นของนายอย่างแน่นอน ในเวลานั้นทุกอย่างในอาณาจักรเทียนโลหิตก็คงจะไม่ต่างจากการอยู่ภายใต้การควบคุมของนาย” อันธกล่าวด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เซี่ยเฟยเดินออกมาจากงานเลี้ยง
—
เช้าตรู่ของวันถัดมา มันก็เริ่มมีนักรบเป็นจำนวนมากต้องการที่จะเข้ามาตีสนิทคอนสแตนตินกับเซี่ยเฟย แต่ด้วยคำสั่งจากเซี่ยเฟยคอนสแตนตินจึงปิดประตูวังของเขาเอาไว้แน่น เพราะพวกเขามีนัดกันแล้วว่าพวกเขาจะต้องเดินทางไปยังหอคอยแห่งคำสาป
***************
งานนี้พี่เฟยรับบทป๋าดันซะแล้ว