บทที่ 8: คู่หมั้น
บทที่ 8: คู่หมั้น
ไอรีนสวมเครื่องแบบห้องอัศวิน และกำลังยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์หอพักหญิง
'นี่มันวันศุกร์แล้วเหรอ?'
กริ๊ง กริ๊ง─
เสียงรถม้าที่วิ่งวนมาแต่ไกลเริ่มแว่วเข้าหูเธอ
เธอยังไม่เห็นรถด้วยตาด้วยซ้ำ แต่สายตาของเธอก็จับจ้องไปทางทิศทางนั้น
'...ทำไมวันนี้ฉันถึงเป็นแบบนี้เรื่อยเลยนะ?'
จนถึงตอนนี้ ชีวิตประจำวันของฉันเรียบง่ายกว่าทุกคน จนผู้คนรอบตัวฉันมักถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า "ชีวิตของเธอรู้สึกสนุกไปกับอะไรบ้างเนี่ย?"
ฉันปฏิเสธคำชวนนับไม่ถ้วนจากเพื่อนร่วมชั้นเรื่องการไปเดตแบบกลุ่ม
ฉันปฏิเสธคำสารภาพของเพื่อนร่วมชั้น รุ่นพี่ นักเรียนจากห้องอื่น และแม้แต่ผู้ช่วยศาสตราจารย์
อาจเพราะการประกาศหมั้นของฉันสั้นๆ แต่ไม่มีรูปภาพคู่แม้แต่รูปเดียว และฉันไม่ได้พูดถึงการมีอยู่ของคู่หมั้นของฉันกับใครก็ตามในสถาบัน ทำให้ไม่นานมานี้เพื่อนร่วมชั้นสารภาพรักกับฉันด้วยความมั่นใจ ทั้งยังกล้าประกาศว่าเขาจะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่กว่าวัลเดอร์ก
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี
ตระกูลวัลเดอร์กเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง ถ้าฉันอยากเลิกหมั้นแค่ฝ่ายเดียว มันจะสร้างเรื่องไม่พอใจเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เธอได้แต่ต้องขอโทษและไม่อาจรับความรู้สึกนั้นมา
ดังนั้นฉันจึงรักษาระยะห่างจากคนอื่นๆ
ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นมีความสุขกับการเป็นนักเรียน ออกไปกินขนมด้วยกัน เข้าชมรม จีบรุ่นพี่สุดหล่อ และออกเดตกับห้องอื่น
แต่ตั้งแต่ฉันเข้าโรงเรียนมา ฉันใช้เวลาไปกับการฝึกฝนในสนามซ้อม
นอกจาก หอพัก ห้องเรียน โรงอาหาร สนามฝึกซ้อม ฉันไม่ได้ไปที่อื่นเลย
มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นในการใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อเช่นนี้ เพื่อเป็นอัศวินที่ยิ่งใหญ่
ผู้สำเร็จการศึกษาสูงสุดของสายอัศวินจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมการจัดลำดับทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
หากเป็นเช่นนั้น ฉันอาจมีโอกาสทำลายงานหมั้นที่ทางตระกูลจัดไว้เมื่อสามปีก่อน
'วัลเดอร์ค...'
ตระกูลวัลเดอร์ค...ครอบครัวของคู่หมั้นของฉัน ธีโอมีอิทธิพลไม่เพียงแต่ในจักรวรรดิเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลทั่วทั้งทวีปด้วย
ตระกูลอัสลานของฉันก็เป็นตระกูลอัศวินอันทรงเกียรติเช่นกัน แต่เป็นเพียงตระกูลในจักรวรรดิเท่านั้น เมื่อเทียบกับตระกูลวัลเดอร์ค มันแทบไม่มีความสำคัญเลย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การถอนหมั้นด้วยวิธีธรรมดานั้นเป็นไปไม่ได้
แต่ธีโอที่เป็นคู่หมั้นของฉัน เป็นพวกล้มเหลว
จากความคิดของฉัน ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับล่างสุดของชั้นเรียน ดังนั้นเขาน่าจะถูกไล่ออกในไม่ช้า
หากเป็นเช่นนี้...ถ้าฉันสร้างรากฐานที่มั่นคงได้ การถอนหมั้นจะเป็นไปได้หรือเปล่านะ?
โชคดีที่มีความหวัง ชีวิตที่ไร้ความหมายได้มอบรางวัลให้แก่ฉัน
เทอมที่แล้ว ฉันสอบได้คะแนนสูงสุด
ฉันไม่ได้นิ่งนอนใจ ตรงกันข้าม ในช่วงพักสองเดือน ฉันอยู่หอพักแทนที่จะกลับบ้าน และฝึกฝนวิชาดาบอย่างหนัก
สองสัปดาห์ผ่านไปนับตั้งแต่เปิดภาคเรียน เพื่อนร่วมชั้นของฉันส่วนใหญ่ยังคงพูดคุยถึงเรื่องความทรงจำมากมายของพวกเขาในช่วงพักร้อน
ทว่าฉันไม่มีความทรงจำที่สดใสหรอก ทั้งหมดที่ฉันจำได้คือกวัดแกว่งดาบไม้เพียงลำพังในโรงฝึก และพยายามลืมความรู้สึกที่ฉันเคยมีต่อเขา
มันเป็นช่วงเวลาที่อ้างว้างจนฉันอยากจะกรีดร้องออกมา อยากเล่าความลำบากของฉันให้ใครสักคนฟัง แต่ฉันกลั้นอารมณ์ไว้และยังคงแกว่งดาบต่อไป
ผลก็คือ ตอนนี้ทุกคน—ทั้งอาจารย์ เพื่อนร่วมชั้น และรุ่นพี่—ต่างก็คิดว่าฉันเป็นคนที่จะไม่ยอมให้เลือดออกแม้แต่หยดเดียวแม้ถูกแทง
ศาสตราจารย์คนหนึ่งถึงกับปาดน้ำตาและพูดว่า "ตลอดระยะเวลาที่ฉันเป็นศาสตราจารย์ ฉันไม่เคยเห็นนักเรียนคนไหนทั้งเรียนแล้วก็ฝึกหนักเท่าเธอเลย"
แต่จริงแล้วฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ทั้งหมดเป็นเพราะเขา ธีโอ
'ทำไมฉันถึงไร้เดียงสาขนาดนี้'
ครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาคือในพิธีหมั้นของเราเมื่อสามปีที่แล้ว ฉันตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น
นั่นคือตอนที่ฉันเข้าใจความหมายของคำว่า "คนที่เปล่งประกาย" เป็นครั้งแรก ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับทับทิม ราวกับมีจักรวาลอยู่ในตัว แม้แต่ตอนที่เขายืนอยู่เฉยๆ เขาก็สามารถเปลี่ยนฉันซึ่งเป็นสาวห้าวให้กลายเป็นกุลสตรีได้
เมื่อก่อนเขาถูกมองว่าไร้ความสามารถหลายอย่างในการเป็นฮีโร่ แต่ฉันก็ไม่สนใจ
อันที่จริงฉันชอบเสียด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าฉันสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้
ตอนที่ฉันคิดจะเปลี่ยนเขา ฉันยังหัวเราะชอบใจอยู่เลย
ในหัวใจของฉัน เขาเป็นอัศวินและเจ้าชายที่เปล่งประกาย
แต่เมื่อฉันโตขึ้น ฉันต้องเผชิญกับความจริงที่ฉันพยายามเมินเฉยอย่างยิ่ง เมื่อแว่นตาสีกุหลาบของฉันหลุดออก ก็เผยให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงที่น่ารังเกียจของเขา
การเปลี่ยนเขานั้นยากเกินไป—ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อฉันเผชิญความจริงครั้งแรก ฉันขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ร้องไห้และไม่ยอมกินข้าว
เขาเป็นคนเลวร้ายที่สุด เต็มไปด้วยความใจร้าย
ถึงกระนั้นความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขาก็ยังไม่หายไป ในส่วนลึกของหัวใจของฉัน เขายังคงเปล่งประกายอย่างแผ่วเบาอยู่
แต่ใจคนนี่สิแปลก ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาซึ่งไม่ยอมจางหายไป มันกลับหายไปทันทีหลังจากเหตุการณ์เมื่อเจ็ดเดือนก่อน ขณะที่ฉันกำลังรอที่ทางเข้าโรงเรียน
'ทำไมเขาถึงกวนใจฉันมากขนาดนี้'
ฉันคิดว่าคนที่ฉันฉีกออกจากหัวใจอย่างไร้ความปรานีจะกลายเป็นผุยผงไปแล้ว ฉันเชื่อว่าหัวใจของฉันซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความรักจะกลายเป็นเถ้าธุลี
แต่ทุกเช้าฉันกลับเฝ้ารอ โอกาสที่จะได้พบเขา
ครืด!!!!
เสียงรถม้าที่กำลังแล่นเข้ามาทำให้ฉันหลุดจากภวังค์
ลมพัดเข้ามาแรง และฉันก็ขึ้นรถม้าไป ปล่อยผมให้ปลิวไปตามสายลม
'ฉันหวังว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่นะ'
ตรงกันข้ามกับความปรารถนาของฉัน สายตาของฉันจ้องมองไปยังเบาะหลังโดยสัญชาตญาณที่เขาเคยนั่งเสมอ
ธีโอ เขาอยู่ที่นั่น
'วันนี้เขาอ่านหนังสือด้วย เขากำลังจะไปไหน? กระเป๋าของเขาดูหนักกว่าปกติแฮะ'
มันช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาพยายามฝึกฝนตนเองมาหลายสิบครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเลิกไปภายในเวลาสามวัน
คำว่า "ความพยายาม" คงเป็นคำที่ไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด
แต่วันนี้นับว่าเป็นวันที่ห้าแล้วที่เขาตั้งใจเรียน
ดูเหมือนเขาจะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วย
อันที่จริง ตั้งแต่เทอมที่แล้ว ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาบนรถม้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว
[เรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว]
เอี๊ยด เอี๊ยด─
รถม้าเริ่มเคลื่อนที่
รวมฉันด้วยก็มีผู้โดยสารยืนอยู่ห้าคน ข้างๆ เขามีเพียงที่นั่งว่างเปล่า
แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าเขามีนิสัยที่น่ากลัว จึงไม่มีใครอยากนั่งข้างเขา
แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้นั่งเหมือนกัน ที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากนั่งเองแหละ
ถ้าไปนั่ง เขาอาจจะคิดว่าฉันยกโทษให้เขาแล้ว
ขณะที่ฉันยืน ก็ได้จ้องมองไปทางเขา
ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว การจ้องมองเขาอ่านหนังสือก็กลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว
ฉันหันหน้าไปมองเขาอย่างเปิดเผย
ฉันไม่รู้ว่าเขาหมกมุ่นอยู่กับหนังสือหรือหลงอยู่ในห้วงความคิด เพราะตั้งแต่วันจันทร์มา เขาก็ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองมาที่ฉันเลยด้วยซ้ำ
แต่แล้ว
"......!"
เราสบสายตากันขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น
ฉันรีบหันหน้าหนีตามสัญชาตญาณ
'ฉ-ฉัน... ฉันจะทำยังไงดี'
ฉันอายมาก ใบหน้าของฉันแดงขึ้นในทันที
ใจของฉันเต้นรัวด้วยความเขินอาย
หลังจากผ่านไปประมาณห้านาที ฉันก็พอจะสงบลงบ้างแล้ว
...ตอนนี้เขาคงจะอ่านหนังสือของเขาอีกครั้ง ฉันจึงได้ชำเลืองมองเขาอีกที
"!!"
เขายังคงมองมาที่ฉัน
ฉันผงะ ตัวฉันตอนนี้เหมือนเห็นผีแล้วรีบหันไปทางอื่น
แต่...การเบี่ยงหน้าหนีเหมือนครั้งก่อนยังคงจะชัดเจนเกินไป เขาอาจจะคิดว่าฉันมองเขา
ฉันจึงไม่หันไปสบตากับเขาในทันที
ดวงตาของเขาแดงราวกับทับทิม หนักอึ้งและเศร้าหมอง เหมือนกับตอนที่ฉันตกหลุมรักเขาครั้งแรกเมื่อยังเป็นเด็ก ดวงตาที่แห้งผากของเขาดูเหมือนจะพูดว่า 'ลาก่อนนะ'
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้สึกราวกับอยากจะร้องไห้
แต่ฉันกลั้นไว้เอาไว้
ฉันไม่อยากรู้สึกอายอีกต่อไปแล้ว ฉันยอมตายดีกว่า
ขณะที่ฉันกลั้นน้ำตา
"......นั่งสิ"
ฉันได้ยินเสียงของเขา
"......ฮะ?"
เขากำลังคุยกับฉัน เขามองตรงมาที่ฉัน
[ป้ายนี้อยู่หน้าสายฮีโร่ รถกำลังจอดอยู่หน้าสายฮีโร่ โปรดตรวจเช็คสัมภาระทั้งหมดของคุณก่อนเมื่อลงจากรถ]
ฉันยัดหนังสือเรียนวิชาเอกใส่กระเป๋าใบใหญ่แล้วก้าวลงจากรถ
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่รอคอยมานาน
วันที่ฉันจะออกไปเก็บชิ้นส่วน
ไอรีน เธอช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ
ฉันคิดว่าฉันจะรักษาระยะห่างไว้แล้ว แต่เธอกลับยืนนิ่ง จ้องเขม็งราวกับกำลังครุ่นคิดหาวิธีที่จะฆ่าฉัน
แต่จะทำเป็นเมินเธอก็คงไม่ได้
ฉันจึงรู้สึกว่าฉันควรจะเป็นคนเริ่มพูดก่อน
แต่ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ฉันจึงเชิญเธอนั่งลง
โชคดีที่ไอรีนเดินมานั่งข้างฉัน
ทว่าทันทีที่เธอนั่งลง เธอก็จ้องมาที่ฉันอย่างจริงจัง โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ราวกับว่ามีความโกรธแค้นซ่อนอยู่ในดวงตาของเธอ
พวกเขากล่าวว่าผู้ล่าสามารถข่มขู่เหยื่อได้ด้วยการจ้องมอง
ฉันในตอนนี้รู้สึกถึงความสิ้นหวังของเหยื่ออย่างแท้จริง
ฉันถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ไม่ว่าเธอจะไม่ชอบเจ้าของร่างนี้แค่ไหน แต่เธอก็ไม่ควรจ้องมาที่ฉันปานจะฆ่าเพราะฉันพูดด้วยสิ
ถามจริงๆ ธีโอ นายไปทำอะไรผิดมา
“ฟู่วว...”
ฉันสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์
จากนั้นฉันก็มองไปที่นาฬิกาข้อมือ
ตามที่คาดไว้ เวลา 08.40 น.
ฉันควรจะรีบไปแล้วสิ
น็อคตาร์รอให้ฉันช่วยแก้ปัญหาที่เขาไม่เข้าใจอยู่
***