บทที่ 6: ห้องฮีโร่ (2)
บทที่ 6: ห้องฮีโร่ (2)
มารีออกจากห้องเรียนด้วยอาการอึ้งเล็กน้อย
คาบแรกสิ้นสุดลงแล้ว
ดังนั้นจะมีเวลาพักเบรก 15 นาที
โดยปกตินักเรียนจะคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่วันนี้พวกเขาทั้งหมดต่างพากันเงียบ
แถมพวกเขายังแอบชำเลืองมองธีโอด้วย
วิชาที่สองคือ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์
ในห้องเรียนมีบรรยากาศเดียวกับคาบแรก
ในห้องเรียนยามนี้เงียบเป็นอย่างมาก
เอี๊ยด-
ก่อนที่คาบเรียนจะเริ่ม ฉันลุกขึ้นเพื่อย้ายไปนั่งที่ด้านหลัง
ฉันรู้สึกได้ถึงสายตาของนักเรียนคนอื่นๆ
พวกเขาทั้งหมดแอบมองมาที่ฉัน
มันรู้สึกอึดอัดมาก
ราวกับว่าฉันทำอะไรผิด
แต่ในมุมตรงกันข้าม ฉันกลับรู้สึกอีกอย่าง
[ศักดิ์ศรีของขุนนางที่บิดเบี้ยว]
เนื่องจากนิสัยนี้ ร่างกายของฉันจึงคล้ายกับกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ
ความมั่นใจหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของฉัน
มันควบคุมการแสดงออกทางท่าทางของฉัน ฉันเดินผ่านพวกเขาราวกับนายแบบ
ในขณะเดียวกัน ฉันก็ค่อยๆ หันศีรษะไปมองรอบๆ
ฉันสบตากับนักเรียนคนอื่นๆ
สายตาของพวกเขาไม่ต่างจากเมื่อเช้านี้เลย
ส่วนใหญ่มองมาที่ฉันเหมือนไม่พอใจ
ทว่าก็มีบางคนมองมาที่ฉันด้วยความสับสน
ก็เข้าใจได้ที่พวกเขามองมาแบบนี้
คงจะดีถ้าภาพลักษณ์ของฉันเปลี่ยนไป
ไม่ใช่ธีโอที่เกียจคร้านและไร้ความสามารถทั้งในด้านภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ แต่เป็นธีโอที่ขยันขันแข็งและมีความสามารถโดดเด่น
อันที่จริง ฉันไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำชมในระดับเดียวกับนีกี้จากคนส่วนใหญ่หรอก ฉันแค่ปรารถนาที่จะเป็นคนธรรมดา
เพราะร่างกายนี้ได้ทำความผิดมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่ฉันจะเข้ายึดร่างนี้
ฉันคิดอะไรมากมายและต้องการหาที่เพื่อคิดแผนการในอนาคตต่อ
พื้นที่หลังห้องถูกสงวนไว้สำหรับออร์คและมนุษย์กิ้งก่าที่เรียนทฤษฎีไม่เก่ง
ถ้าฉันอยู่ระหว่างเจ้าพวกนี้ แม้จะไม่ตั้งใจเรียน แต่อาจารย์ก็คงไม่สนใจฉัน
เมื่อฉันนึกขึ้นได้ ฉันจึงย้ายไปที่ด้านหลังของห้องและนั่งระหว่างพวกเขา
พวกเขาชำเลืองมองมาที่ฉัน และกอดอก ก่อนจะหลบสายตาอย่างรวดเร็ว
พวกออร์คและมนุษย์กิ้งก่ามีกลิ่นตัวแรง ซึ่งโชยเข้าจมูกฉันอย่างจังๆ
ทันทีที่ฉันได้กลิ่นนั่น ร่างกายของฉันก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนิสัยของร่างกายเขาเกลียดการอยู่ใกล้เผ่าพันธุ์ที่ไร้อารยธรรมและโง่เขลา เช่น ออร์คและมนุษย์กิ้งก่า
ซึ่งร่างกายนี้เป็นประเภทที่จะไวต่อกลิ่น เพราะต้องใช้น้ำหอมกว่า 10 ชนิด
ไม่มีทางเลยที่ฉันจะไม่รู้สึกเจ็บปวด
แม้แต่ฉันที่เพียงเข้ามาสิงร่าง ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายเลย
เฮ้อ น่าปวดหัวซะจริง
ด้วยนิสัยเดิมของร่างกายนี้ ไม่มีทางหรอกที่ฉันจะทนได้ถึงสามปีครึ่ง
ทว่าลักษณะนิสัยของตัวละครหรือร่างกายสามารถเปลี่ยนไปได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับนิสัยและพฤติกรรม
แต่เท่านี้ก็ยากจะเกินทนแล้ว
แต่ยังดีที่อาการเจ็บของฉันมันน้อยกว่าตอนที่ก้มศีรษะให้นีกี้
ฉันกัดฟันแล้วเปิดหนังสือเรียนอ่านต่อ
***
"ฉันไม่ได้คาดหวังให้พวกเธอเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนกันมา แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็หวังว่าพวกคุณจะทบทวนภาคทฤษฎีมาด้วย เพราะทฤษฎีก็สำคัญ ไม่น้อยไปกว่าภาคปฏิบัติ นั่นคือการสรุปการบรรยายของวันนี้"
“ครับ/ค่ะ ศาสตราจารย์”
นักเรียนตอบกลับออกมาอย่างพร้อมเพีรยง
ศาสตราจารย์ที่ดูเคร่งขรึมเดินออกจากห้องเรียนไป
ขณะนี้เวลา 16:30 น. ชั้นเรียนทั้งหมดของวันนี้ได้สิ้นสุดลง
ทันทีที่อาจารย์ออกไป ห้องเรียนก็มีเสียงพูดคุยมากมายจากเหล่านักเรียน
"เธอจะไปทำอะไรต่อเหรอ?"
"อืม~ ฉันจะไปอ่านหนังสือในห้องของฉันน่ะ นักเขียนคนโปรดของฉันเพิ่งออกผลงานใหม่มาด้วย! กว่าฉันจะซื้อมาได้ฉันต้องไปยืนต่อแถวยาวถึงข้างนอกร้านเลย ว่าแต่แล้วเธอล่ะ?"
"ฉันจะไปกินของหวาน ฉันได้ยินว่ามีเมนูใหม่ที่ 'สวนนารุ' ด้วย!"
"โอ้ ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีของอร่อยมาก...ฉันขอไปด้วยได้ไหม?"
นักเรียนทุกคนเดินคุยกันขณะออกจากห้องเรียนไป
พวกเขาทำให้ฉันนึกถึงตอนฉันเรียนอยู่สมัยมัธยม
ถึงในอนาคตพวกเขาอาจจะกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งทวีป แต่นักเรียนพวกนี้ก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนกลาง เป็นวัยหนุ่มสาวที่ยังไม่ถูกแตะต้องจากความเป็นจริงอันโหดร้ายของสังคม
เป็นวัยที่สร้างความทรงจำที่แสนสนุกสนานกับเพื่อน
เป็นช่วงเวลาที่ดี ...
ฉันอิจฉาพวกเขามาก
แต่ตัวฉันกลับต้องมาเข้าโรงเรียนอีกครั้ง...
สายตาของฉันยังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือเรียนขณะที่ฉันหมกมุ่นอยู่กับความคิด
คาบบรรยายทั้งหมดเป็นอะไรที่ง่ายมาก
มันคือบทนำสู่การเป็นฮีโร่ ซึ่งเป็นเนื้อหาทั้งหมดที่ฉันรู้อยู่แล้ว
ดังนั้นฉันจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสรุปแผน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไปเก็บชิ้นส่วนที่ซ่อนอยู่
ทว่าชิ้นส่วนที่ซ่อนอยู่เพียงชิ้นเดียวที่ฉันสามารถไปเก็บได้ด้วยค่าสถานะอันน่าสมเพชของฉันอยู่ในป่าตะวันออกของสถาบัน
คงจะใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการไปและกลับ
ฉันขาดเรียนไปไม่ได้
การเข้าเรียนเป็นข้อบังคับในห้องฮีโร่
การขาดเรียนจะส่งผลให้ถูกลงโทษ
จะแก้ตัวอย่างรู้สึกไม่สบายก็ใช้ไม่ได้ผลเช่นกัน
ไม่ใช่แค่อาจารย์ แต่รวมถึงเพื่อนนักเรียนด้วยที่จะต่อว่าฉันว่าละเลยเรื่องสุขภาพร่างกาย
การออกเดินทางในคืนวันศุกร์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
จนกว่าจะถึงเวลานั้น ควรมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเพียงอย่างเดียวเสียก่อน
ฉันต้องการหาภารกิจมาทำ แต่แทบจะไม่มีภารกิจใดที่เหมาะกับสถานะของฉันเลย
ภารกิจลับมีหลายรูปแบบ แต่ภารกิจที่สามารถทำได้ด้วยความสามารถปัจจุบันของฉันไม่คุ้มกับความเหนื่อยและเวลา
ไว้ค่อยไปทำภารกิจพวกนี้หลังจากที่ฉันเสริมพลังของตัวเองด้วยชิ้นส่วนที่ซ่อนอยู่
ดังนั้นการฝึกพลังจึงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันในตอนนี้ทำได้
เนื่องจากค่าสถานะของฉันต่ำ ฉันจึงได้แต่ต้องยกระดับผ่านการฝึกฝน
ขณะที่ฉันกำลังจะมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อม
"เฮ้ ธีโอ นายแก้ปัญหานี้ได้ไหม?"
ออร์คที่นั่งถัดจากฉัน น็อคตาร์ ได้พูดขึ้น
ฉันหันหน้าไปทางเขา
น็อคตาร์ สวมแว่นตาทรงกลม ซึ่งไม่ปกติเลยสำหรับออร์ค เขากำลังจ้องเขม็งไปที่หนังสือเรียน
หลังจากคาบแรกจบลง น็อคตาร์ เป็นหนึ่งในคนที่มองฉันด้วยสายตาที่สับสน
เขาเป็นออร์คที่แปลกมาก
ในเนื้อเรื่องเดิม เขาเป็นตัวละครพิเศษที่ตายก่อนเวลาอันควร เพราะเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ในช่วงปลายปีแรก
ในเส้นทางผู้ใช้หอก ตัวเขาก็มีสภาพแบบเดียวกับธีโอ มีเพียงคำอธิบายสั้นๆ ถึงเรื่องการตายของเขาปรากฏขึ้น
ด้วยบทบาทของเขา อย่างน้อยเขาก็ควรจะเป็นตัวละครที่มีชื่อสิ
จากนั้นฉันก็นึกถึงคำพูดของผู้พัฒนาเกมที่มักจะกล่าวว่า "เราไม่ได้สร้างตัวละครพิเศษขึ้นมาอย่างง่ายๆ นะ!"
ขณะที่กำลังคิดอยู่ น็อคตาร์ ก็ถามเสียงดังว่า
"นายก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้เหมือนกันเหรอ?"
เสียงของเขาดังมาก
ด้วยความตกใจ ฉันจึงหันมองไปรอบๆ
ไม่มีใครอยู่ที่นั่น มีเพียงน็อคตาร์ และฉันเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องเรียน
ออร์คและมนุษย์กิ้งก่าที่นั่งอยู่ด้านหลังห้องออกจากห้องเรียนไปนานแล้ว
"...คำถามข้อนี้มันไม่ได้ยากขนาดนั้น"
ฉันก้มศีรษะลง
มันเป็นปัญหาที่แก้ง่ายนิดเดียว
แต่ออร์คมีสติปัญญาต่ำกว่ามนุษย์
กระทั่งออร์คชั้นยอดที่เข้าร่วมห้องฮีโร่ของโรงเรียนเอลิเนีย พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจเนื้อหาของคาบบรรยายห้องฮีโร่เลย
การที่จะได้เห็นออร์คเรียนอย่างขยันขันแข็งจึงเป็นเรื่องหายากกว่าการเห็นยูนิคอร์นเสียอีก
พวกเขาไม่ฉลาดพอที่จะคิดค้นกลวิธี กลยุทธ์หรือวิธีการรวบรวมข้อมูลที่ซับซ้อน
พวกเขายังขาดความสามารถในการสั่งการผู้ช่วยด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะทางเผ่าพันธุ์ที่ไม่อาจลบเลือนไปได้
ฮีโร่ที่ดีจำเป็นต้องใช้สมองในการทำอะไรหลายอย่าง
พวกเขาต้องมีความสามารถในการสั่งการผู้คน
แต่ออร์คไม่มีทั้งสองอย่าง
นับตั้งแต่ก่อตั้งสถาบัน ไม่มีออร์คแม้แต่ตัวเดียวที่สำเร็จการศึกษาจากห้องฮีโร่
ทั้งหมดถูกไล่ออกเพราะขาดคุณสมบัติการเป็นฮีโร่
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถสอบเข้าได้ตามที่ รยูค ผู้ก่อตั้งหลักตั้งใจไว้ก็ตาม
ออร์คที่นั่งข้างหลังฉันในวันนี้คงจะหายไปก่อนที่จะถึงปีที่สาม
เขาไม่มีใครให้ถามแล้วเหรอ?
"...ส่วนไหนที่นายไม่เข้าใจ?"
“เอ่อ บรรทัดที่แปด เมื่อเผชิญหน้ากับนักเวทย์ระดับ 6 ที่ใช้เวทย์ไฟเป็นหลัก ฉันควรทำยังไง ฉันไม่รู้วิธีจัดการจริงๆ”
ฉันพิจารณาระดับสติปัญญาของเขาและอธิบายให้ง่ายที่สุด
"อืม... ฉันไม่ค่อยเข้าใจแฮะว่าฉันจะสามารถฟันหัวพวกมันด้วยขวานก่อนที่พวกมันจะยกไม้เท้าขึ้นมาได้ไหม แต่ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถผ่าเหล็กด้วยขวานของฉันได้"
ดูเหมือนน็อคตาร์จะมีปัญหาในการทำความเข้าใจ คงน่าจะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อที่เขาจะเข้าใจทั้งหมด....
แต่เนื่องจากฉันตัดสินใจที่จะสอนเขา ฉันควรใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
ทว่าเอ่อ...ร่างกายของฉันเริ่มรู้สึกเจ็บปวด
ความอดทนของฉันได้มาถึงขีดสุดแล้ว
แต่ถ้าฉันจะต้องพูดตามแบบฉบับธีโอว่า "แกมันก็เป็นแค่ออร์คโง่เขลาตัวใหญ่ที่ไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ แบบนี้ อย่าทำให้ชื่อของฮีโร่เสื่อมเสีย จงออกไปจากโรงเรียนแห่งนี้ซะ"
น็อคตาร์คงโกรธจัด
ออร์คอาจจะดูปัญญาอ่อนไปหน่อย แต่พวกมันมีพละกำลังที่ดุร้าย
ฉันอดทนต่อความเจ็บปวดและอธิบายรายละเอียดทุกอย่าง ราวกับสอนลูกพี่ลูกน้องในโรงเรียนประถมที่อายุน้อยกว่ามาก
ฉันใช้การเปรียบเทียบต่างๆ และอธิบายให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง “อ้าว! ทำเสร็จแล้วเหรอเนี่ย!? ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าจะไวขนาดนี้”
ฉันทำให้น็อคตาร์เข้าใจได้สำเร็จ
เขาดีใจจนมุมปากยกขึ้น
กรามของเขาใหญ่เป็นอย่างมาก
ออร์ค มักจะยิ้มเมื่อพวกเขามีส่วนร่วมในการกระทำที่ทำลายล้างและรุนแรง
แค่เข้าใจคำถามเดียวก็มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ?
“น็อคตาร์ นายเรียนไปทำไม? ฉันไม่ได้ว่านะ อย่าเข้าใจผิด”
“แน่นอนว่าก็ต้องเพื่อการจบการศึกษาจากสถาบันและกลายเป็นฮีโร่ออร์คคนแรก นายไม่สามารถเป็นฮีโร่ได้หากไม่ฉลาดใช่ไหมล่ะ? โรงเรียนเอลิเนียเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในทวีป เพื่อที่จะเป็นออร์คที่เก่งที่สุด ฉันต้องพิชิตภูเขาลูกเล็กๆ ที่มีชื่อว่าการเรียนให้จงได้”
"ฉันเห็นด้วยนะ"
ฉันพยักหน้าด้วยสีหน้าเฉยเมย
มันเป็นความทะเยอทะยานที่น่าทึ่งมากสำหรับออร์คที่มักจะไม่คิดเรื่องอะไรแบบนี้
แน่นอนว่าพวกออร์คต้องการเป็นฮีโร่เช่นเดียวกับมนุษย์
สิทธิพิเศษที่มาพร้อมกับการเป็นฮีโร่นั้นน่าดึงดูดยิ่ง
ทว่าเป็นเรื่องยากสำหรับออร์คมากที่จะมาร่ำเรียนอะไรเช่นนี้
พวกเขาตระหนักถึงขีดจำกัดอย่างรวดเร็ว สิ้นหวังและยอมแพ้
แมวไม่สามารถเอาชนะเสือได้ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนไม่ใช่เหรอ?
ถึงเสือจะเกียจคร้านและโง่เขลา แต่พวกนายคิดว่ามันจะแพ้แมวหรอ?
ก็เช่นเดียวกับความแตกต่างในด้านความฉลาดของมนุษย์และออร์ค
น็อคตาร์มองมาที่ฉันแล้วพูดขึ้น
“ธีโอ ฉันรู้ว่าทำไมนายถึงถามคำถามนั้น ฉันคงดูโง่มาก แต่ฉันสาบานกับตัวเองและเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ยิ่งใหญ่ว่าฉันจะเป็นวีรบุรุษ และฉันก็เป็นความหวังของคนมากมายในชนเผ่า ฉันจะเป็นฮีโร่ แม้ว่าฉันจะล้มลงระหว่างทาง ฉันก็จะลุกขึ้นสู้ต่อไป”
"อย่างนั้นเหรอ?"
ฉันผงกศีรษะอย่างแรง
คำพูดของน็อคตาร์โดนใจฉันอย่างมาก
แม้ว่าฉันจะไม่ได้แบกรับความหวังของชนเผ่านับไม่ถ้วน ทว่าคำพูดของเขาก็มีผลกับฉันเช่นกัน
ดังที่ออตลันกากล่าว พรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดนั้นไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว
แต่นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวของการไม่พยายาม
แม้ว่าจะต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง เราก็ต้องลุกขึ้นและเดินหน้าต่อไป
ทำให้ดีที่สุดตราบเท่าที่ยังสามารถทำได้
"นายทำให้ฉันคิดได้หลายอย่าง ขอบคุณนะน็อคตาร์ "
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
น็อคตาร์หัวเราะขึ้นมา
***
ภายในห้องของธีโอ เอมี่ยืนตัวแข็งทื่อ
เธอจ้องมองตะเกียงวิเศษในมือด้วยสีหน้าสับสน
เพื่อทำตามคำขอของธีโอ เอมี่ได้พยายามซ่อมแซมตะเกียงวิเศษ
มันเป็นงานที่ง่ายๆ
สาเหตุที่ตะเกียงวิเศษส่วนใหญ่ดับก็เพราะมานาของหินวิเศษหมดลง
สิ่งที่เธอต้องทำคือเติมมานาให้เต็ม
ทว่าตะเกียงวิเศษอันนี้กลับปกติดี แต่ตัวอาคมเวทย์มนตร์ภายในหายไปจนหมด
ราวกับว่ามันเป็นอย่างนั้นมาตลอด
"..."
ไม่ว่าเธอจะครุ่นคิดมากเพียงใด ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
เธอนำมือทั้งสองข้างมากุมศีรษะตัวเองด้วยความเครียด
ธีโอไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ไม่สิ เขาไม่มีมานาเลยต่างหาก
แม้ว่าเขาจะสามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้
ถ้ามีวิธีอื่นที่เขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ เธอซึ่งรับใช้เขาตั้งแต่เขาอายุสิบขวบคงจะไม่มีทางไม่รู้
แม้จะเกิดในตระกูลวัลเดอร์กที่ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับไม่มีพรสวรรค์อะไรเลย
เขาเป็นคนเกียจคร้านที่ไม่คิดพยายามอะไรสักนิดเดียว
ในระหว่างการประเมินเปิดเทอมของโรงเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาพบว่าเขาไม่มีมานาเลย
เขาจึงออกจากศูนย์การประเมินด้วยใบหน้าที่โกรธจัดและโยนรายงานการประเมินใส่เธอ
แน่นอนเธออ่านมัน ไม่มีมานา ไม่มีความสามารถพิเศษเช่นกัน
'หรือว่า...? พลังเขาตื่นแล้วยังงั้นเหรอ?
การตื่นขึ้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮีโร่ส่วนน้อยที่มักพยายามฝึกฝนตัวเองตลอดเวลา
ไร้สาระน่า
แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว มันก็เป็นการคาดเดาที่สมเหตุสมผล
ตลอดหกปีที่ผ่านมา เขามักจะดูถูกและเหยียดหยามเธอแทบทุกวัน
เธอคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งขององค์กรและฆ่าเขาหลายร้อยครั้ง
แต่เมื่อคืนนี้และแม้กระทั่งเมื่อเช้านี้...
น้ำเสียงของเขานุ่มนวลขึ้น และดูมีน้ำใจมากขึ้น
ในหัวเค้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นเหรอ? หรือเขาแค่สวมหน้ากากเพื่อหลอกลวงเธอ?
'เฮ้อ ฉันไม่สามารถเดาอะไรง่ายๆ ได้เลย'
เอมี่มองไปที่ตะเกียงวิเศษอีกครั้ง
มันดูสะอาดสะอ้านเกินไป
เท่าที่เธอรู้ มีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้นที่ทำให้มันมีสภาพเช่นนี้
อย่างแรกคือคาถาวงเวทย์ที่ 8 ผลาญมานา
ในทวีปนี้มีแค่ไม่ถึงสิบคนที่สามารถใช้คาถานี้ได้
อย่างที่สองคือความสามารถของหัวหน้ากลุ่มลอบสังหารที่เธอเป็นสมาชิก
แน่นอนว่ามีไม่กี่คนทั่วทั้งทวีปที่มีความสามารถนี้เช่นกัน
ทว่าผู้ที่สามารถใช้มันได้อย่างชำนาญนั้นหายากมาก
'ฉันต้องคิดออกให้เร็วที่สุด'
ขณะที่ถือตะเกียงวิเศษในมือ เอมี่ก็กลับไปที่ห้องของเธอ
เธอเริ่มเขียนจดหมายทันที