ตอนที่ 957 ฉิน หลิง
ตอนที่ 957 ฉิน หลิง
ระหว่างทางโจวเหวินใช้วิญญาณชีวิตประกายดาวตลอดทาง เมื่อเขามาถึงเมืองกุ๋ยไห่วิญญาณชีวิตประกายดาวก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่ายังขาดอีกเล็กน้อยกว่าจะถึงขั้นสมบูรณ์
ทุกครั้งที่เขาหยุดพักโจวเหวินจะเปลี่ยนไปฝึกฝนวิชาสกัดลมปราณและดูดซับผลึกลมปราณในเกมเพื่อเพิ่มลมปราณของเม็ดยาดาบ
เนื่องจากผลึกลมปราณจำนวนมากที่โจวเหวินดูดซับในเกมนั้นเป็นระดับตำนาน ดังนั้นพลังของเม็ดยาดาบ จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โจวเหวินรู้สึกได้ว่าพลังของเม็ดยาดาบใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
แต่โจวเหวินก็ไม่รู้ว่าจะทำยังให้เม็ดยาดาบเป็นขั้นสมบูรณ์ได้ยังไง
ครั้งที่เขาวิวัฒนาการเป็นขั้นพัฒนา โจวเหวินฝึกฝนเจตจำนงแห่งดาบ 3,000 กระบวนท่า หากเขาฝึกฝนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล ดูเหมือนว่ากุญแจสำคัญในวิวัฒนาการเป็นขั้นสมบูรณ์ นั้นไม่สามารถใช้เจตจำนงแห่งดาบ 3,000 กระบวนท่าได้
“ในเมื่อมันถูกเรียกว่าเม็ดยาดาบ คิดว่ามันน่าเกี่ยวอะไรกับดาบ คราวนี้เม็ดยาดาบจะกลายเป็นดาบจริงๆหรือเปล่านะ?” โจวเหวินคิดในใจ
โจวเหวิน ได้พิจารณาปัญหานี้มาหลายครั้ง เขาไม่ชอบดาบเป็นพิเศษ ถ้าเม็ดยาดาบจะกลายเป็นดาบจริงๆ โจวเหวิน วางแผนที่จะใช้ดาบแสงเป็นต้นแบบของมัน
เป็นผลให้เม็ดยาดาบไม่สามารถสร้างรูปร่างและไม่สามารถวิวัฒนาการเป็นขั้นสมบูรณ์ได้
“ถ้าไม่ใช่รูปทรงดาบ เม็ดยาดาบจะวิวัฒนาการได้ยังไง” โจวเหวิน พิจารณาความเป็นไปได้ต่างๆ และลองหลายวิธี แต่ทั้งหมดล้มเหลว
ในที่สุดที่ก็ถึงเมืองกุ้ยไห่เฟิง ชิวเยี่ยนเชิญโจวเหวินและหลี่ ซวน มาพักที่ตระกูลของเขา
โจวเหวินและหลี่ ซวนก็ไม่สุภาพเช่นกันและไปที่ตระกูลเฟิง กับเฟิง ชิวเยี่ยน
ในเมืองกุ้ยไห่มีที่พักอาศัยไม่มากนักหากพวกเขาไม่ไปตระกูลเฟิง ทางเลือกเดียวของพวกเขาคือโรงแรมในเมืองเมืองกุ๋ยไห่ และเป็นโรงแรมแห่งเดียว
ตระกูลเฟิงที่มีชื่อเสียงมีอยู่ 2 ตระกูล ตระกูลหนึ่งอยู่ในเมืองหลวงและอีกตระกูลหนึ่งคือตระกูลเฟิงที่อยู่ที่กุ้ยไห่
เนื่องจากกุ้ยไห่อยู่ใกล้ทะเลและสิ่งมีชีวิตต่างมิติในน่านน้ำใกล้เคียงมักขึ้นฝั่ง ทำให้บริเวณรอบๆเมืองกุ้ยไห่จึงรกร้าง และไม่ค่อยเห็นคนเดินบนถนน
ผู้คนจากตระกูลเฟิงดีใจมากเมื่อเห็นเฟิง ชิวเยี่ยนกลับมา ดูเหมือนว่าเฟิง ชิวเยี่ยนได้รับความชื่นชอบอย่างมากในตระกูลเฟิง
พวกเขาได้ยินมาว่าโจวเหวินและหลี่ ซวนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยของเฟิง ชิวเยี่ยน ตระกูลเฟิงก็ใส่ใจกับพวกเขามากขึ้น
“เสี่ยวเยี่ยน สถานะของนายในตระกูลค่อนข้างสูง ถึงกับมีห้องรับรองพิเศษด้วย” หลี่ซวนพูดขณะมองไปในห้อง
"ผมเป็นลูกหลานคนโตของตระกูลและผมมีสิทธิ์บางอย่าง ในอนาคตความรับผิดชอบของตระกูลเฟิง ก็จะตกเป็นของผมเช่นกัน"เฟิง ชิวเยี่ยนกล่าวตอบ
“ชิวเยี่ยน นายกลับมาแล้ว” ในขณะที่ทั้งสามกำลังคุยกัน ผู้หญิงที่ดูสวยและสง่างามก็เดินเข้ามา
“พี่หลิงผมเพิ่งกลับมา ตอนแรกผมตั้งใจจะไปหาพี่หลังจากที่ผมคุยกับเพื่อนแล้ว” เฟิง ชิวเยี่ยนพูดตอบกับผู้หญิงคนนั้น
“เสี่ยวเยี่ยน ทำไมนายไม่แนะนำผู้หญิงที่สวยอย่างนี้ให้เรารู้จัก นี่พี่สาวของนายหรอ เธอสวยมาก” หลี่ซวนพูดชมผู้หญิงคนนั้นขณะที่มองเธอ
หลี่ซวนไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ไม่พอใจ แต่ผู้หญิงคนนี้สวยมากจริงๆ และแม้แต่โจวเหวินก็ต้องหันมามองเป็นครั้งที่สอง
“นี่คือพี่สาวผมฉิน หลิง, พี่หลิงนี่คือเพื่อนผมที่มหาลัย โจวเหวินและหลี่ ซวนพวกเขาช่วยผมมามากในวิทยาลัย” เฟิง ชิวเยี่ยนแนะนำทั้งสามคนให้รู้จักกัน
ฉิน หลิงเป็นผู้หญิงที่สุภาพมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนทำให้คนเข้าใกล้ได้ยาก แม้ว่าเธอจะดูอ่อนโยน แต่เธอก็รักษาระยะห่างจากคนอื่นเสมอ เพื่อไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้เธอมากเกินไป
หลังจากที่ฉิน หลิงจากไปหลี่ซวนก็ถามเฟิง ชิวเยี่ยน “เสี่ยวเยี่ยน นี่ไม่ใช่พี่สาวนายใช้ไหม?”
“ทำไมถึงรู้” เฟิง ชิวเยี่ยน ประหลาดใจเล็กน้อย
“นอกจากเรื่องฝึกวิชาต่อสู้แล้ว นายเป็นคนงี่เง่าจริงๆ แซ่ของเธอคือฉินและแซ่ของนายคือเฟิง ดังนั้นเธอจะเป็นพี่สาวของนายได้ยังไง” หลี่ซวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ที่ประธานคึดนั้นผิดแล้ว ตระกูลเฟิงของเรามีประเพณีว่าแซ่ของผู้ชายคือเฟิง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงแซ่จะต้องเป็นฉิน" เฟิง ชิวเยี่ยน อธิบาย
“ทำไมถึงมีประเพณีแปลก ๆ แบบนี้ เป็นไปได้ว่าแซ่ของแม่นายคือฉิน นั้นไม่ถูกต้อง ผู้หญิงที่แต่งงานกับตระกูลเฟิงของนายไม่ได้ใช้แซ่ ฉินทั้งหมด” หลี่ซวนกล่าวอย่างสงสัย
“อันที่จริง ผมก็ไม่รู้สาเหตุแค่ฟังมาจากพวกผู้อาวุโส ดูเหมือนว่าคนแซ่ฉิน จะเป็นมีบุญคุณต่อตระกูลเฟิงของเรา ดังนั้นเพื่อเป็นการขอบคุณบุคคลนั้น ผู้หญิงทุกคนในตระกูลเฟิงจึงมีแซ่ว่าฉิน ประเพณีนี้มีมาหลายปีก่อนพายุสุริยะจะมาถึง จนจวบปัจจุบัน” เฟิง ชิวเยี่ยนกล่าวตอบ
หลังจากหยุดชั่วคราว เฟิง ชิวเยี่ยน กล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย "แต่ฉิน หลิงไม่ใช่พี่สาวของผมและเธอก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตระกูลเฟิงของเรา"
“แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับนายเป็นแบบไหน ฉันคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติระหว่างคุณสองคน” หลี่ซวนถามเชิงซุบซิบ
"ที่จริง พี่หลิงเป็นคู่หมั้นของผม" เฟิง ชิวเยี่ยนหน้าแดง
“นายกำลังบอกว่า แต่เดียวนายอายุแค่สิบเจ็ด ทำไมนายถึงมีคู่หมั้นแล้วและเธอก็ยังสวยมาก! เธอดูแก่กว่านายมาก น่าจะอายุยี่สิบ?” ดวงตาของหลี่ซวนเบิกกว้าง
"เมืองกุ๋ยไห่มีประเพณีแบบดั้งเดิม พ่อของผมและพ่อแม่ของ พี่สาวหลิงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและการแต่งงานครั้งนี้เป็นคำสั่งของตระกูล" เฟิง ชิวเยี่ยน อธิบาย
“นี่พึ่งอายุเท่าไหร่กันและยังจะมีการแต่งงานกันอีก...ดีจัง ทำไมเราไม่เจอคู่หมั้นที่สวยแบบนี้บ้าง พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรม!” หลี่ ซวน ถอนหายใจ
“ไม่ใช่แบบที่ประธานคึด เหตุผลที่เราหมั้นหมายกันนั้นเกี่ยวข้องกับวิญญาณชีวิตของเราไม่ใช่การแต่งงานแบบปกติ” การแสดงออกของ เฟิง ชิวเยี่ยน มืดลง
“วิญญาณชีวิต? ฉันจำได้ว่าวิญญาณชีวิตของนายคือราชาดาบเร็ว เป็นไปได้ไหมว่าวิญญาณชีวิตของเธอคือ ราชินีดาบเร็วและเธอก็ถูกกำหนดมาให้เป็นคู่กับนาย ถ้าอย่างนั้นนายก็โชคดีเกินไปแล้ว” หลี่ซวนกล่าว
“หยุดพูด ให้เสี่ยวเยี่ยน พูดให้จบก่อน” โจวเหวินเห็นว่าอารมณ์ของเฟิง ชิวเยี่ยนผิดปกติเล็กน้อย
"ชะตาชีวิตของเธอคือฝักดาบและวิญญาณชีวิตของเธอคือนักดาบผู้เสียสละ ดาบใดๆ ที่เธอถือครองจะแข็งแกร่งขึ้น เหตุผลที่พ่อของผมให้เธอเป็นคู่หมั้นของผมคือต้องการให้วิญญาณชีวิตของเธอช่วยผม" เฟิง ชิวเยี่ยนกล่าว
“ถึงแม้ว่านายจะพูดอย่างนั้นแต่ฉิน หลิงก็สวยมาก แม้ว่าเธอจะแก่กว่าเล็ก นายโชคดีมาก” หลี่ ซวนปลอบโยน
“พี่หลิงแข็งแกร่งมาก” เฟิง ชิวเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ
"แต่นายไม่ชอบ" หลี่ซวนพูด
“ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบ แต่ควรจะบอกว่าผมไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย ตอนนี้ผมแค่ต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น” เฟิง ชิวเยี่ยนกล่าว
“นี่เป็นแค่ข้อแก้ตัว ถ้านายชอบเธอจริงๆ นายก็จะไม่มีความคิดแบบนั้นหรือนายไม่ชอบเธอ” หลี่ซวนหน้าบึ้งแล้วพูด
"ผมจะบอกอะไรอย่างหนึ่งแต่ว่าจะต้องไม่บอกใครอีก" เฟิง ชิวเยี่ยน มองออกไปนอกประตูและเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่ เขาจึงลดเสียงของเขาและพูดกับโจวเหวินและหลี่ ซวน
“อย่ากังวล นายเชื่อใจพวกเราได้เสมอ เราจะไม่ใคร บอกทีว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้ไหมว่า ฉิน หลิงมีความสัมพันธ์กับคนภายนอก ไม่น่าแปลกใจที่เธออายุ 20 กว่าแล้วถึงจะมีคู่หมั้น” หลี่ซวนพูดอย่างตื่นเต้น
“ไม่ใช้อย่างนั้น พี่หลิงไม่ใช่คนแบบนั้น” เฟิง ชิวเยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ผมคิดว่าพี่หลิงไม่ใช้มนุษย์”
โจวเหวินและหลี่ ซวนต่างตกใจและมองไปที่ เฟิง ชิวเยี่ยน อย่างว่างเปล่า ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร